ขอแค่ผ่านขั้นตอนแรกอย่างการกลั่นยาน้ำไปแล้ว เช่นนั้นเมื่อถึงขั้นตอนสุดท้ายอย่างการสำเร็จโอสถนั้น ตวนมู่ชางก็มีความมั่นใจเต็มร้อย เนื่องจากการที่ตระกูลตวนมู่ของพวกเขาสามารถกลายเป็นตระกูลกลั่นยาอันดับหนึ่งของมหาโลกายอดอัมพรได้นั้น ก็เป็นเพราะยึดกุมวิชายาที่พิเศษวิชาหนึ่ง ซึ่งสามารถยกระดับอัตราการสำเร็จโอสถได้สูงมาก ๆ

ตวนมู่ชางใช้มือทั้งสองข้างร่ายวิชายาพลางหาเวลาว่างมองไปทางหลัวซิว

เมื่อหันมามองแล้ว เขาก็ค้นพบอย่างตะลึงว่าสายตาของทุกคนที่อยู่ในงาน ล้วนเพ่งเล็งไปทางหลัวซิวอย่างนั้นหรือ ส่งผลให้ไม่มีผู้ใดมองมาทางตัวเองเลย

นะ……นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?

ตวนมู่ชางผงะไปเล็กน้อย เขาสามารถยืนยันได้ว่าขั้นตอนการกลั่นแปรยาน้ำในเมื่อครู่นี้ของตนเรียกได้ว่าเป็นตัวอย่างเหมือนในหนังสือเรียนเลย ไม่นึกเลยว่าจะไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้แม้แต่น้อยหรือ?

แต่ทว่าเมื่อเขาเห็นกิริยาท่าทางของหลัวซิวแล้ว ร่างเขาก็ผงะไปภายในชั่วพริบตาเดียวเลย

เนื่องจากวิธีการของหลัวซิวแตกต่างจากเขาที่กลั่นแปรยาเซียนทีละต้นโดยสิ้นเชิงเลย หลัวซิว ณ วินาทีนี้ถึงกับโยนยาเซียนระดับมกุฎทั้งห้าต้นเข้าไปในเตายาทีเดียว

“กลั่นแปรยาเซียนระดับมกุฎทั้งห้าชนิดพร้อมกัน เจ้าหมอนั่นบ้าไปแล้วหรือ?”

“พระเจ้า เมื่อครู่ขณะที่เขาโยนยาเซียนระดับ 9 สิบกว่าต้นเข้าไปในทีเดียว พวกเจ้าเห็นหรือไม่ว่าสีหน้าของอาจารย์เสวียนคงถึงกับเปลี่ยนไปเลย?”

“แต่ว่านึกไม่ถึงจริง ๆ เลยนะว่าโยนยาเซียนสิบกว่าต้นเข้าไปในทีเดียวแล้วเตาไม่ระเบิดไม่ว่า แต่ยังกลั่นสำเร็จด้วย”

“ยาเซียนระดับมกุฎไม่ใช่สิ่งที่ยาเซียนระดับ 9 สามารถเทียบเคียงได้ มาตรแม้นว่าเป็นอาจารย์ยาเซียนขั้นสุดยอดก็ไม่กล้าทำเช่นนี้”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการกระทำในครั้งนี้ของหลัวซิวนั้น เป็นสิ่งที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง

และเขาก็ทราบเช่นกันว่าในขณะที่เขาคุ้นเคยกับการควบคุมระดับความร้อนของไฟ เขาก็ถูกตวนมู่ชางทิ้งห่างจากขั้นตอนแรกของการกลั่นยาแล้ว ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่คิดค้นวิธีใหม่ขึ้นมา

อาศัยตัวสำนึกอันแข็งแกร่งที่ฝึกมากจากเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณ บวกกับความเข้าใจและการตระหนักรู้ในกฎชีวิต เขากลั่นแปรยาเซียนระดับ 9 สิบกว่าต้นพร้อมกัน เวลาที่ต้องใช้ในขั้นตอนการกลั่นแปรยาน้ำจึงลดลงไปเกือบครึ่งภายในทีเดียว

เมื่อมีตัวอย่างของการทำสำเร็จครั้งแรก แววตาของหลัวซิวก็เป็นประกายขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงโยนยาเซียนระดับมกุฎอีกห้าต้นที่เหลือเข้าไปในทีเดียวเสียเลย วางแผนที่จะกลั่นแปรมันพร้อมกัน

“เจ้าเด็กเวร!”

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ จีเสวียนคงก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้

จากฝีมือในวิถียาของเขา ก็ต้องทราบวิธีในการเร่งความเร็วกลั่นยาเช่นนี้อยู่แล้ว แต่ทว่าข้อแม้แรกของการใช้วิธีการเช่นนี้ ก็คือผลการฝึกตนของตัวเองของสูงมากพอ

เนื่องจากสิ่งที่กลั่นคือโอสถมกุฎเซียน ดังนั้นสาเหตุที่ตวนมู่ชางที่มีผลการฝึกตนกึ่งมกุฎเทพก็ไม่กล้าทำเช่นนี้นั้น เป็นเพราะการกลั่นแปรยาเซียนหลายชนิดพร้อมกัน จะทำให้ผลการฝึกตนของตัวเองสูญเสียรวดเร็วมาก ๆ

อาศัยผลการฝึกตนกึ่งมกุฎเทพ การที่เขากลั่นโอสถมกุฎเซียนตามขั้นตอนได้หนึ่งเตานั้น ส่วนใหญ่ผลการฝึกตนของตัวเองก็แทบจะแห้งเหือดแล้ว ยิ่งกว่านั้นคือระหว่างขั้นตอนการกลั่นยายังต้องกินยาฟื้นฟูผลการฝึกตนด้วย ถึงจะสามารถยืนหยัดจนถึงวินาทีสุดท้ายได้

แต่เห็นได้ชัดเจนเลยว่าพลังเวทย์ผลการฝึกตนของหลัวซิวนี่เทียบตวนมู่ชางไม่ได้ นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้าใช้วิธีการเช่นนี้ หรือว่าเขาไม่กลัวว่าผลการฝึกตนของตัวเองจะประคองไม่ไหว แล้วส่งผลให้กลั่นยาล้มเหลวหรือ?

เวลาผ่านพ้นไปทีละวินาที ๆ หากหลัวซิวพ่ายแพ้การดวลวิถียาในครั้งนี้เพราะสถานการณ์เช่นนี้ละก็ มันต้องเป็นเรื่องที่อับอายขายหน้ามาก ๆ อย่างแน่นอน เนื่องจากผู้อื่นจะรู้สึกว่าเขาที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เสวียนคงผู้สง่าผ่าเผย ถึงกับไม่เข้าใจแม้กระทั่งความรู้พื้นฐานในการกลั่นยา เพื่อให้ได้ชัยชนะมาถึงกับใช้วิธีการที่ใจร้อนจนต้องการที่จะเห็นผลสำเร็จในทันที

“ฮ่า!”

ตวนมู่ชางหัวเราะ เขานึกไม่ถึงเลยว่าเพื่อเป็นการเอาชนะตัวเองหลัวซิวถึงขั้นกระทำเช่นนี้ มิน่าล่ะสายตาของทุกคนจึงถูกเขาดึงดูดไป เพราะเจ้าหมอนั่นมันเป็นบ้าไปแล้วชัด ๆ มองไม่เห็นหรือไงว่าแววตาของผู้คนที่อยู่รอบ ๆ มีความเย้ยหยันและสงสารปนอยู่เล็กน้อย?