ตอนที่ 3372

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3372 : บีบคั้นให้แต่ง

 

“คิดไม่ถึงจริงๆ…ว่าครั้งนี้ท่านปู่จะให้อาเล่ยมาด้วย”

 

หลานจี้เหนียนที่ควบขี่สัตว์อมตะอยู่ มองไปยังร่างชายวัยกลางคนที่นั่งบนหลังสัตว์อมตะไม่ไกล ด้วยสายตายําเกรง ลอบกล่าวในใจ

 

ชายวัยกลางคนผู้นี้ชื่อว่า เหลยเจิ้นซาน เป็นศิษย์ปิดสํานักของหลานเหิง ปู่มัน ถึงแม้อีกฝ่ายจะยังมีอายุน้อย กระทั่งไม่ได้มากไปกว่าตัวมันสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นจักรพรรดิอมตะมือดีคนหนึ่ง”

 

นอกจากนั้น ในบรรดาจักรพรรดิอมตะของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็ง พลังฝีมือของอีกฝ่ายก็เป็นรองแต่ปู่มันคนเดียวเท่านั้น

 

“อาเล่ย…ในนิกายยอมตะทะเลเยือกแข็งเรา ไม่ใช่แค่ท่านปู่ แต่อาวุโสคนอื่นๆยังกล่าวเห็นพ้องต้องกันว่า ท่านมีโอกาสจะเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามมากกว่าใครในอนาคต”

 

หลานจี้เหนียนหันไปมองถามเหลยเจิ้นซานด้วยรอยยิ้มสดใส “เรื่องนี้ท่านมั่นใจหรือไม่?”

 

ได้ยินคําถามดังกล่าว เหลยเจิ้นซานก็หันไปมองตอบหลานจี้เหนียนเสียงเบาว่า “ภายใน 3,000 ปี ข้าจะไปรับสมญานามที่วิหารเฟิงฮาว”

 

“ข้าเชื่อว่าอาเล่ยต้องทําได้”

 

หลานจี้เหนียนเร่งพยักหน้าเออออปานลูกเจี๊ยบจิกข้าว ต่อหน้าเหลยเจิ้นซาน มันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ํา

 

ถึงแม้ตอนนี้หลานเหิง ปู่ของมันจะยังแข็งแกร่งเหนือกว่าอีกฝ่าย แต่หลังจากนี้อีกไม่กี่ร้อยเต็มที่ก็พันปี ความแข็งแกร่งของเหลยเจิ้นซานย่อมก้าวข้ามปู่มันไปได้แน่ๆ!

 

นอกจากนั้น ไม่ว่าจะปู่มันก็ดีหรือบิดามันก็ดีต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็เป็นครอบครัวเดียวกัน จะอย่างไรทั้ง 2 คนก็ไม่มีวันทําร้ายมันแน่นอน

 

ทว่าเหลยเจิ้นซานแม้จะไม่ถือว่าเป็นคนนอก แต่ก็ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันกับมัน!

 

หากไม่มีปู่ของมัน น่ากลัวเหลยเจิ้นชานคงไม่ใส่ใจมันเลย กระทั่งหางตายังไม่มองด้วยซ้ํา!

 

หลานจี้เหนียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังคิดถึงเรื่องหนึ่ง มันก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มบางๆ ลอบดีใจอย่างเงียบๆ โชคดีที่อาเล่ยเข้านิกายช้า…ไม่งั้นน่ากลัวตําแหน่งประมุขนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งคงไม่ตกมาถึงมือท่านพ่อแน่”

 

เหลยเจิ้นซานเข้าร่วมนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งได้ไม่ทันไร หลานเหิงก็ก้าวลงจากตําแหน่งประมุข และส่งต่อตําแหน่งประมุขไปให้ลูกชายอย่างหลานข่งเชวียนที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นทันที

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทำให้หลายๆคนในนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งอดสงสัยไม่ได้

 

ว่าการที่หลานเหิงรีบก้าวลงจากตําแหน่งประมุขแบบนี้ ไม่พ้นเพราะกลัวว่าหากลูกศิษย์ปิดสํานักอย่างเหลยเจิ้นซานเติบโตขึ้น จะมานั่งตําแหน่งประมุขที่สมควรจะเป็นของลูกชายมันไปหรือไม่?

 

หากหลานเหิงพึ่งจะมาก้าวลงจากตําแหน่งประมุขเอาตอนนี้ เกรงว่าตําแหน่งประมุขจะไม่ตกถึงมือหลานข่งเชวียนจริงๆ และถูกลิขิตให้มองเหลยเจิ้นซานขึ้นดํารงตําแหน่งประมุขแทน

 

เพราะถึงแม้หลานเหิงจะแข็งแกร่งที่สุดในนิกายอมตะทะเลเยือกแข็ง แต่ก็ใช่ว่าจะปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือได้ ยิ่งไม่อาจขัดต่อหลักการของนิกายอย่างปิดกั้นลูกศิษย์ ให้ลูกชายของตัวรับสืบทอดตําแหน่งประมุขต่ออะไรแบบนั้น

 

เช่นนั้นมันจึงชิงวางมือ ลงจากตําแหน่งตั้งแต่เนิ่นๆ

 

ด้วยวิธีนี้ เหลยเจิ้นซานที่ยังไม่ทันเติบโตมากพอ พลังฝีมือยังไม่ก้าวข้ามหลานข่งเชวียนลูกชายมัน ย่อมไม่อาจแย่งชิงเก้าอี้ประมุขได้

 

“หึหึหึ…วันนี้ข้าหลานเหนียนกําลังจะได้เมียคนงามแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมากล้นไปด้วยพรสวรรค์ทั้งเข้าใจกฏแห่งเวลาอีก!!”

 

หลานจี้เหนียนพอหันไปมองร่างคน 6 คนที่แบกสิ่งของเบื้องหลังก็อดไม่ได้ที่จะลอบคึกคักในใจ แน่นอนว่าสิ่งของที่ว่าก็คือสินทอดทองหมั้นของมัน

 

ถึงแม้ทุกอย่างจะสามารถใส่ลงแหวนพื้นที่ได้

 

ทว่าเพื่อสร้างบรรยากาศ หลายคนก็เลือกจะจัดขบวนให้เป็นเรื่องเป็นราวดูคึกครื้นเช่นนี้

 

“แม่เทพธิดาน้อยที่กําลังจะเป็นเมียข้าคนนั้น พรสวรรค์ยังสูงส่งกว่าอาเล่ยเสียอีก…ความสําเร็จของนางในวันหน้าย่อมไม่มีทางด้อยไปกว่าอาเล่ยแน่”

 

หลานจี้เหนียน พอหันกลับมามองเหลยเจิ้นซานผ่านตา ก็ลอบคิดใจอย่างเชื่อมั่น

 

นิกากระบี่เมฆรุ้ง ไม่ถือว่าอยู่ห่างจากนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งมากมายอะไร ดังนั้นขบวนของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งใช้เวลาเดินทางไม่กี่ชั่วยามก็มาถึงแล้ว

 

“หลานเหิง แห่งนิกายอมตะทะเลเยือกแข็ง พาหลานจี้เหนียนมาสู่ขอศิษย์นิกายกระบี่เมฆรุ้งเพื่อเข้าพิธีวิวาห์!”

 

เมื่อมาถึงด้านหน้าประตูใหญ่ของนิกายกระบี่เมฆรุ้ง ขบวนของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งที่นําโดยพวกหลานเหิงทั้ง 3 ก็หยุดลง จากนั้นก็เป็นหลานเหิงที่กล่าวแจ้งเหตุการมาน้ําเสียงของมัน ราวกับมีเวทมนตร์ ไม่ว่าจะผู้ใดหรือกําลังทําอะไรในนิกายกระบี่เมฆรุ้งล้วนได้ยินชัดถนัดหู

 

ชั่วพริบตา ทั่วทั้งนิกายยกระบี่เมฆรุ้งก็ฮือฮากันใหญ่

 

“คนของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็ง!?”

 

“หลานเหิง? นั่นมิใช่อดีตประมุขคนก่อนของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งหรอกหรือ ยังเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ท่ามกลางจักรพรรดิอมตะทั้งหลายของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งมิใช่รึไร?”

 

“มันพาหลานชายอย่างหลานจี้เหนียนมาสู่ขอศิษย์นิกายกระบี่เมฆรุ้งงเรา? มันจะตบแต่งกับผู้ใดกัน? ว่าแต่หลานจี้เหนียนนั่นมิใช่คุณชายเสเพลหรือไร? บุรุษเช่นนี้ยังมีผู้ใดชมชอบมันได้ลงคอกัน?”

 

“มิรู้แหล่ะ ข้าขอไปดูก่อน พวกเจ้าเองก็รีบมาเร็วๆ!”

 

“อื้อ ข้าก็อยากเห็นยิ่งว่าพี่สาวน้องสาวคนใดกันแน่ถึงได้กล้าหาญนัก ถึงกับกล้าตบแต่งกับคนทรามเช่นหลานจี้เหนียนผู้นั้น!”

 

จากทั่วทุกมุมของนิกายกระบี่เมฆรุ้ง ทั้งศิษย์และอาวุโสทั้งหลายก็พากันเร่งรุดเห็นร่างขึ้นฟ้ากันจ้าละหวั่นด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่นานทั้งหมดก็พากันมาออบริเวณหน้าประตูใหญ่

 

“ที่ต้องมา ก็มาได้เสียที”

 

ประมุขนิกายกระบี่เมฆรุ้ง อวี่เหวินชิง ที่บ่มเพาะพลังอยู่ในที่พัก พอได้ยินเสียงแจ้งเมื่อครู่ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ถึงแม้นางอยากจะซ่อนตัวไม่พบหน้าผู้คนแค่ไหน แต่ก็รู้ดีว่าการหลบหน้าไม่อาจใช้กับอีกฝ่ายได้ เพราะอีกฝ่ายไม่มีทางเลิกราง่ายๆแน่!

 

ครูต่อมา อวี่เหวินชิงก็ออกจากสถานที่พักบ่มเพาะ และมุ่งหน้าไปยังต้นเสียงทันที

 

ระหว่างทาง อวี่เหวินชิงก็เห็นหญิงชราเดินมาไวๆ และสีหน้าของอีกฝ่ายก็แลดูไม่ค่อยจะสู้ดีเช่นกัน “ท่านอาจารย์”

 

หญิงชรานางนี้ก็คืออาจารย์ของอวี่เหวินชิง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายกระบี่เมฆรุ้งโหยวูไป๋เฟิ่ง

 

“วันนี้หากหลานเหิงไม่เหลือทางรอดให้พวกเราจริงๆเช่นนั้นก็พยายามลงมือเต็มที่ ฆ่าหลานจี้เหนียน หลานชายของมันเสีย!”

 

สีหน้าของโหยวไป๋เฟิงฉายชัดถึงความดุร้ายบ้าคลั่งอยู่บ้าง ถึงแม้วันนี้ตัวนางรวมถึงนิกายกระบี่เมฆรุ้งอาจจะต้องพินาศ แต่นางก็คิดจะให้อีกฝ่ายจ่ายราคาอย่างงาม!

 

สองตาอวี่เหวินชิงก็เผยความกระหายเลือดออกมาเช่นกัน ยามสุนัขจนตรอกแล้วจริงๆยังกระโดดข้ามกําแพงได้ นับประสาอะไรกับผู้คน?

 

กระทั่งคนธรรมดา หากถูกไล่ต้อนกดดันหนักเข้า ก็สามารถทําเรื่องบ้าดีเดือดไม่คิดชีวิตได้

 

นับประสาอะไรกับเซียนอมตะที่มีพลังฝีมือพอตัว?

 

“ท่านประมุขมานุ่นแล้ว!”

 

“อาวุโสใหญ่ก็มาด้วย”

 

เมื่ออวี่เหวินชิง กับโหยวไป๋เฟิงปรากฏตัวด้านหน้าประตูใหญ่นิกายกระบี่เมฆรุ้ง เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายกระบี่เมฆรุ้งก็สังเกตเห็นได้ทันที เร่งประสานมือโค้งคารวะกันด้วยความเคารพ

 

ทั้ง 2 ไม่ใช่เพียงผู้ที่มีฐานะสูงส่งที่สุดในนิกายกระบี่เมฆรุ้งเท่านั้น แต่ยังเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายกระบี่เมฆรุ้งอีกด้วย จึงมีความสําคัญอย่างยิ่งสําหรับคนนิกายกระบี่เมฆรุ้ง

 

“คารวะอดีตประมุขหลาน”

 

“ไม่พบกันเสียนาน อดีตประมุขหลาน”

 

ท่ามกลางสายตามองชมของเหล่าศิษย์และอาวุโสนิกายกระบี่เมฆรุ้ง อวี่เหวินชิง กับโหยวไป๋เฟิงก็ประสานมือโค้งคารวะกล่าววคําทักทายชายชราพร้อมๆกัน อย่างไรก็ตามขณะที่หางตา ทั้งคู่เหลือบไปเห็นเหลยเจิ้นซาน ร่างบางของทั้งคู่ก็สะท้านไปทันใด

 

“ให้ตายเถิด…มิคิดเลยว่าเหลยเจิ้นซานผู้นั้นก็มาด้วย”

 

ขณะที่โหยวไป๋เฟิงส่งเสียงผ่านพลังไปหาอวี่เหวินชิง น้ําเสียงนางสั่นไปไม่น้อย เพราะเหลยเจิ้นซานเบื้องหน้า แม้จะพึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาในละแวกนี้ไม่นาน แต่ในบรรดาจักรพรรดิอมตะของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็ง ชื่อเสียงของมันดั่งประหนึ่งฟ้าร้องในหูก็ว่า ถึงขั้นชื่อเสียงกําลังโด่งดังไล่ตามหลานเหิง ที่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของนิกายอมตะทะเลเยียอกแข็งใกล้ทันแล้ว!

 

ในแววตาของอวี่เหวินชิงก็ฉายชัดถึงความสิ้นหวังเช่นกัน

 

หากวันนี้คนของนิกายยอมตะทะเลเยือกแข็งมีชนชั้นยอดฝีมืออย่างหลานเหิงมาแค่คนเดียว และถ้าหลานเหิงยืนกรานจะทําลายนิกายกระบี่เมฆรุ้งของพวกนาง เช่นนั้นพวกนางก็จะสู้สุดชีวิต กระทั่งจะพยายามลากหลานจี้เหนียน หลานชายตัวดีของอีกฝ่ายให้ร่วมกลบฝังไปกับพวกนางให้จงได้

 

แต่ตอนนี้ เมื่อเหลยเจิ้นซานมาด้วย เท่ากับว่าจักรพรรดิอมตะชนชั้นยอดฝีมือของนิกายอมตะ ทะเลเยือกแข็งมาด้วยถึง 2 ต่อให้พวกนางคิดสู้ตายหมายก่อการอันใด ก็คงยากที่จะแตะต้องได้แม้แต่ปลายเส้นขนของหลานจี้เหนียน!

 

“อืม”

 

หลานเหิงเหลือบมองสตรีทั้ง 2 เบื้องหน้าผ่านๆด้วยสายตาเฉยเมย จากนั้นก็หันไปเหลือบมองอวี่เหวินชิง กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าคือประมุขนิกายกระบี่เมฆรุ้งคนปัจจุบันใช่หรือไม่?”

 

“ก่อนหน้านี้ ข้าได้ส่งคนมาบอกกล่าวต่อพวกเจ้าแล้ว คิดว่าพวกเจ้าคงเตรียมพร้อมแล้วกระมัง?”

 

“เรียกศิษย์ตัวนซื่อหลิงของพวกเจ้าออกมาเสีย วันนี้ข้านําสินสอดทองมั่นตามธรรมเนียมมามอบให้พวกเจ้าแล้ว เช่นนั้นก็ส่งนางให้ติดตามพวกเรากลับไปนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งแต่โดยดี”

 

“พวกเรา 2 จักรพรรดิอมตะแห่งนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งถึงกับมารับนางเป็นการส่วนตัว ถือว่าให้หน้านางมากแล้ว”

 

ขณะกล่าวคําน้ําเสียงทั้งสีหน้าของหลานเหิงก็สงบราวเมฆคล้อยลอยเคลื่อน อย่างไรก็ตามน้ําเสียงสบายๆของมันกลับแฝงไว้ด้วยความเด็ดขาด ไม่อนุญาตให้สงสัยคลางแคลง มองอวี่เหวินชิงด้วยสายตาราวพร้อมจะกลืนกินนางได้ทุกเมื่อ

 

และพอเสียงกล่าวคําประโยคนี้ของหลานเหิงดังจบคํา ผู้คนของนิกากระบี่เมฆรุ้งด้านหลังก็ฮือฮากันยกใหญ่

 

“ต้วน….ต้วนซื่อหลิงหรือ!?”

 

“ห๊า ต้วนชื่อหลิงจักตบแต่งกับหลานจี้เหนียนหรือเนี่ย? ให้ตายเถอะ จริงหรือหลอกกัน?”

 

“เท่าที่ข้ารู้มา…เมื่อมินานมานี้ ประมุขนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งก็ได้มาเยือนนิกายกระบี่เมฆรุ้งเราเป็นการส่วนตัว เพื่อสู่ขอศิษย์น้องซื้อหลิงจากประมุขให้ตบแต่งกับลูกชายอย่างหลานจี้เหนียน แต่ทว่าท่านประมุขกลับยืนกรานปฏิเสธไป”

 

“มิน่าล่ะ ข้าก็ว่าแล้วเชียวว่าไฉนสีหน้าของท่านประมุขกับอาวุโสสูงสุดถึงแลดูไม่ค่อยจะสู้ดี ดูเหมือนว่าคนของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งนั่น ที่มาวันนี้ก็เพื่อบีบคั้นให้ศิษย์น้องตบแต่งแล้วล่ะ!”

 

หลังจากได้ยินเรื่องราว และเห็นสถานการณ์เบื้องหน้า เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายยกระบี่เมฆรุ้งที่ทราบเรื่องแต่แรก ก็หน้าเปลี่ยนสีกันทันที พอมองไปยังคนของงนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งอีกครั้ง สายตาก็เต็มไปด้วยความเป็นปรปักษ์ชัดเจน!

 

“ผู้อาวุโสหลานเหิง”

 

อวี่เหวินชิงส่ายหัวไปมา พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เรื่องนี้บังเอิญยิ่ง…พอศิษย์ข้าต้วนซื่อหลิงได้กระทําผิดอย่างไม่อาจให้อภัย อารามข้าหัวเสีย นางจึงถูกข้าขับไล่ออกจากนิกายไปแล้ว”

“แต่ภายหลังข้าบังเกิดความเสียใจ จึงได้ส่งศิษย์น้องเฟิงเทียนหวี่ออกไปเพื่อตามตัวนางกลับมา แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวใดๆหลานชายของท่านเกรงว่…”

 

ไม่ทันที่อวี่เหวินชิงจะทันได้กล่าวจบคํา หลานเหิงก็โพล่งขัดออกมาด้วยโทสะ “อวี่เหวินชิง ยาโถวเจ้าเห็นข้าหน้าตาเหมือนเด็ก 3 ขวบนักหรือ!?”

 

“เจ้าพล่ามวาจาผายลมพรรค์นี้ออกมา ใช้สิ่งใดคิดว่าข้าจักเชื่อ!?”

 

เมื่อหลานเหิงบังเกิดโทสะ พลังทั่วร่างของมันก็ปะทุขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด เพาะสร้างเป็นแรงกดดันพลังไร้สภาพขุมหนึ่ง แผ่กําจายออกไปปกคลุมทั่วอาณาบริเวณ ยังผลให้เหล่าศิษย์อาวุโสของนิกายกระบี่เมฆรุ้งที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยด้านหลัง เร่งรุดล่าถอยกันจ้าละหวั่น แต่ละคนหน้าเสียไปตามๆกัน

 

“ประมุขอวี่เหวิน”

 

ตอนนี้เอง หลานจี้เหนียนที่อยู่เบื้องหลังก็ก้าวออกมากล่าวคํา สองตายังหลงเผยความเคร่งขรึม “ข้ามาครั้งนี้ ข้ามาด้วยใจจริงข้ารู้ดีว่าศิษย์น้องซื้อหลิงเป็นศิษย์ที่ท่านรักมากที่สุด แต่หากนางแต่งกับข้า ข้าย่อมต้องดูแลนางอย่างดี”

 

“ข้ารู้ตัวดีว่าก่อนหน้าชื่อเสียงข้าไม่ค่อยจะดีนัก แต่เพื่อศิษย์น้องซื่อหลิงแล้ว หลังจากนี้ข้าจักพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง”

 

ถึงแม้หลานจี้เหนียนจะกล่าวออกมาด้วยยน้ําเสียงสุภาพจริงจัง แต่ในแววตากลับแฝงไว้ด้วยความเย็นชา มุมปากก็ยกยิ้มแสยะดูแคลนขึ้นเบาๆ

 

“เช่นนั้น ท่านควรเรียกศิษย์น้องซื่อหลิงออกมาเถอะ”

 

“หรือ…ท่านคิดให้พวกเราเข้าไปตามหาตัวนางด้วยตัวเอง?”

 

กล่าวถึงงประโยคท้าย หลานจี้เหนียนก็มองจ้องอวี่เหวินชิงตาเขม็ง

 

“อวี่เหวินชิง!!”

 

และไม่ทันที่อวี่เหวินชิงจะได้พูดอะไรตอบกลับ หลานเหิงที่แลแล้วใกล้สิ้นความอดทนเต็มที่ ก็โพล่งออกมาด้วยน้ําเสียงเปี่ยมโทสะ “ข้าจักให้เวลาเจ้า 1 เค่อ รีบไปพาศิษย์ตัวดีของงเจ้าออกมาเสีย! หากหมดเค่อแล้วข้ายังไม่เห็นหน้านาง ทุกสิบๆลมหายใจข้าจักสุ่มฆ่าคนนิกายกระบี่เมฆรุ้งเจ้าที่ละคน!!”

 

เสียงโพล่งด้วยโทสะของหลานเหิง เห็นได้ชัดว่าฉีกหน้าอวี่เหวินชิง ประมุขนิกายกระบี่เมฆ รุ้งแหลกไม่มีชิ้นดี!

 

และสิ้นคํากล่าวด้วยน้ําเสียงเดือดดาลของมัน สีหน้าทุกคนของนิกายกระบี่เมฆรุ้งก็เปลี่ยนไปทันที ร้อยพันหมื่นคาดพวกนางก็ไม่เคยคิดว่าอดีตประมุขนิกายอมตะทะเลเยือกแข็ง กลับเผด็จการทั้งปาเถื่อนได้ถึงขนาดนี้

 

หากนี่ไม่ใช่การรังแกกัน บีบคั้นให้ผู้อื่นตบแต่งอย่างไม่สมยอม แล้วแบบไหนจึงใช่?

 

“อาวุโสหลานเหิง”

 

อวี่เหวินชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ค่อยกล่าว “ หรือท่านคิดว่าข้าโกหกท่าน? หากท่านไม่เชื่อ เช่นนั้นก็เชิญส่งคนเข้าไปค้นดูในนิกายกระบี่เมฆรุ้งของข้าเองเถอะ ดูว่าศิษย์ไม่รักดีต้วนซื่อหลิงของข้ายังอยู่ที่นี่หรือไม่”

 

“หากอาวุโสหลานเหิงพบตัวนาง เช่นนั้นท่านจะพานางไปตบแต่งหรืออันใดก็เชิญท่านตามสะดวก นิกายกระบี่เมฆรุ้งของพวกเราไม่คิดขัดขวาง

 

อวี่เหวินชิงกล่าว

 

“นายน้อยหลาน”

 

ตอนนี้เองโหยวไป๋เฟิงก็มองไปยังหลานจี้เหนียน มุมปากชรายังยกยิ้มประชดประชันขึ้น “หากท่านอยากแต่งงานกับชื่อหลิง เช่นนั้นท่านก็ไปหาตัวนางแล้วพาไปเข้าพิธีวิวาห์เองเถอะ!”

 

“ตอนนี้ นางมิใช่ศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆรุ้งของพวกเราอีกต่อไป!!”