ตอนนั้นหลี่ไหวที่มองดูอยู่อดรู้สึกเห็นใจไม่ได้ รู้สึกสงสารผู้อาวุโสหลงซานกงที่ขยันหมั่นเพียรผู้นี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ รวมไปถึงการที่อีกฝ่ายเป็น…คนไร้บ้าน หลี่ไหวจึงบอกว่ากระท่อมหลังใหม่ให้ทำสองห้อง พวกเราพักอยู่ด้วยกัน อีกทั้งเขาสามารถช่วยสร้างที่พักแห่งนั้นได้ด้วย ถึงอย่างไรแค่บังลมบังฝนได้ก็พอแล้ว
ผลคือพอผู้เฒ่าชุดเหลืองได้ยินว่าหลี่ไหวจะช่วยก็ราวกับเกิดการช่วงชิงบนมหามรรคาขึ้นมา ผู้เฒ่าพูดอย่างเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอม บอกว่านายน้อยมีเรือนกายล้ำค่าดุจทองพันชั่ง สองมือจะมาสัมผัสงานชั้นต่ำพวกนี้ได้อย่างไร แล้วยังบอกด้วยว่าเขาหรือจะกล้าพักอยู่กับนายน้อย มีแต่จะรบกวนการอ่านตำราของนายน้อยเท่านั้น อีกทั้งตรงรั้วไม้นั่น อันที่จริงก็เย็นสบายดี
ดังนั้นตอนที่ผู้เฒ่าทำงานง่วนอยู่นั้น หลี่ไหวจึงนั่งยองอยู่ด้านข้าง ชวนอีกฝ่ายคุยไปด้วย ถึงได้รู้ว่าผู้อาวุโสขอบเขตบินทะยานที่มีฉายาว่าหลงซานกง ชื่อชั่วคราวว่าโอ่วหลูผู้นี้ ถึงกับไปเตร็ดเตร่อยู่ในใต้หล้าไพศาลมาสิบกว่าปี เพียงแค่เพื่อได้พูดคุยกับเขาไม่กี่ประโยค หลี่ไหวจึงอดไม่ไหวถามว่าผู้อาวุโสต้องการอะไรกันแน่? ผู้เฒ่าเกือบจะหลั่งน้ำตาแห่งความทุกข์ยากสิบจินออกมาทันที ก้มหน้าผ่าฟืน สีหน้าเปลี่ยวเหงาจนราวกับกลายเป็นภูเขาที่โดดเดี่ยวลูกหนึ่ง
ที่แท้ผู้เฒ่าชุดเหลืองคนนี้ แม้ว่าทุกวันนี้จะมีฉายาว่าหลงซานกง แต่อันที่จริงในอดีตตอนที่อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้มีร่างจำแลงมากมายนับไม่ถ้วน นามแฝงก็มีมากมาย เถาถง เฮ้อจวิน เกิงอวิ๋น บวกกับโอ่วหลูอย่างในทุกวันนี้…ฟังแล้วล้วนไพเราะสง่างาม
เพียงแต่ว่าทุกครั้งหลี่ไหวก็ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสพูดผิดตรงไหน อยู่ดีๆ ถึงได้มีเสียงประทัดระเบิดดังต่อเนื่องเป็นระลอก จากนั้นก็ถูกบีบให้กลับคืนสู่ร่างเดิม กลิ้งไถลไปทั่วพื้น หรือไม่ก็ถูกเฒ่าตาบอดที่เป็นอาจารย์ครึ่งตัวของเขาเตะโด่งออกไปนอกยอดเขา ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่อย่างนี้ กว่าจะรอจนกระท่อมสร้างเสร็จได้ไม่ใช่เรื่องง่าย มีที่พักของหลี่ไหวแค่คนเดียวจริงๆ เพราะห้องฝั่งตรงข้ามกลายมาเป็นห้องหนังสือของหลี่ไหว หลี่ไหวชำเลืองตามองตำราที่ชวนให้คนปวดหัวพวกนั้น ผู้เฒ่ากลับยังถามเขาอีกว่าขาดหนังสืออะไร เขาสามารถช่วยหามาให้ได้ ต่อให้จะเป็นหนังสือฉบับสมบูรณ์หรือหนังสือที่มีเล่มเดียวซึ่งล้ำค่าหายากแค่ไหน ขอแค่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างมี นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว ตอนนั้นหลี่ไหวก็รู้สึกแล้วว่าผู้อาวุโสท่านนี้อยู่ในยุทธภพแล้วยังไม่ได้ดิบได้ดี ก็นับว่ามีเหตุผลแล้ว ข้าหลี่ไหวเหมือนคนที่ชอบอ่านตำราอย่างนั้นหรือ?
วันนี้อยู่ในห้องหนังสือ ผู้เฒ่าชุดเหลืองที่ตั้งฉายาให้ตัวเองใหม่ว่า ‘อู๋เฝิงสือ’ ได้ย้ายเก้าอี้มานั่งที่หน้าประตู ไม่กล้ารบกวนนายน้อยของตัวเองที่กำลังศึกษาหาความรู้ดั่งอริยะปราชญ์ เงียบงันอยู่นานมาก เห็นว่าหลี่ไหววางตำราในมือลง นวดคลึงหว่างคิ้ว ผู้เฒ่าถึงได้เอ่ยอย่างเลื่อมใสด้วยใจจริงว่า “นายน้อยอายุไม่มาก จิตใจมั่นคงจริงๆ เกิดมามีความอัศจรรย์ไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง ไม่เหมือนข้า อายุก็ตั้งหลายพันปีแล้ว เอาชีวิตไปใช้บนร่างหมาหมดจริงๆ เลย”
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมถึงตั้งชื่อว่าอู่เฝิงสือ แน่นอนว่าก็เพื่อหวังให้เป็นนิมิตหมายอันดี หวังว่าเมื่อมีหลี่ไหวนายท่านใหญ่หลี่เพิ่มเข้ามา เขาจะได้พึ่งใบบุญ เมื่อโอกาสมาถึงโชคชะตาก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
หลี่ไหววางหนังสือลง พูดอย่างจริงใจว่า “เรื่องรับลูกศิษย์เรื่องกราบไหว้อาจารย์อะไรนั่น ข้าล้วนไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง ไม่ว่าผู้อาวุโสผู้เฒ่าตาบอดจะยินดีรับลูกศิษย์อะไร ข้าก็ยังคงเป็นข้าคนนั้นอยู่ดีไม่ใช่หรือ หากข้าทำให้เขาผิดหวังก็ต้องขอโทษด้วย ยังจะทำอย่างไรได้อีกเล่า ไม่ทำให้เขาผิดหวัง แน่นอนว่าข้าต้องดีใจ ผู้เฒ่าตาบอดที่เป็นอาจารย์ครึ่งตัวก็ไม่ต้องขอบคุณอะไรข้า ก็เป็นแค่อาจารย์และลูกศิษย์กันครึ่งตัวนี่นะ จะต้องเกรงใจกันไปไย”
คำก็ตาบอดสองคำก็ตาบอด ผู้เฒ่าชุดเหลืองฟังด้วยความอกสั่นขวัญผวา นายท่านใหญ่หลี่ไหวผู้นี้เกินครึ่งคงไม่เป็นไรหรอก แต่ตนนี่แหละที่รับรองว่าเป็นแน่
ผู้เฒ่ารู้สึกว่าควรต้องทำอะไรบางอย่างจึงรีบลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้อ วัตถุกองใหญ่จึงถูกสะบัดออกมากองไว้บนโต๊ะหนังสือ
กลุ่มกิ่งกุ้ยแห่งภูเขากว่างหันโยว ตัดออกเป็นเส้น หยิบเอาแก่นไฟมาใส่ หลอมเป็นที่วางพู่กัน
เทียบอักษรเขียนด้วยตัวอักษรฉ่าวซูที่คลี่กางออก ด้านบนมีกลอนอยู่หนึ่งบท ตรงกลางวาดเป็นภาพที่วางพู่กันปะการัง สองนิ้วของผู้เฒ่าคีบที่วางพู่กันปะการังชิ้นนั้น แล้วก็ถึงกับหยิบออกมาจากภาพวาดแล้ววางลงบนโต๊ะเบาๆ
และยังมีแท่นฝนหมึกมังกรเฒ่านอนขวางสระน้ำ ตัวอักษรที่แกะสลักมีความองอาจไม่น้อย ‘หล่อเลี้ยงกระดูกหยก วัตถุพันปี ยามเจ้านายใช้แสงสีหลากหลายสาดส่อง’
และยังมีที่ล้างพู่กันลักษณะเป็นสระบัวทำจากหยกอีกชิ้นหนึ่ง ตัวอักษรตรงก้นด้านล่างคือคำว่า ‘เนิ่นเต้าเหริน’ ใช้พู่กันอย่างอ่อนโยนละมุนละไม บอบบางน่าเอ็นดู
หลี่ไหวถามอย่างสงสัย “ผู้อาวุโสจะทำอะไร?”
ของบนโต๊ะดีหรือไม่ดี หลี่ไหวยังพอจะมองออกได้คร่าวๆ
เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ในใจของหลี่ไหวก็ยิ่งโอดครวญไม่หยุด ไม่จบไม่สิ้นสักทีนะ ข้ามาที่นี่ก็แค่มาเที่ยวเล่นเท่านั้น ถูกท่านผู้อาวุโสทำให้เดือดร้อนจนต้องแสร้งมานั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจอยู่ทุกวันก็แล้วไปเถอะ หรือนี่ยังจะให้ข้าต้องฝึกเขียนตัวอักษรฝึกวาดภาพให้ดูสง่างามมีความรู้อีกด้วย?
ผู้เฒ่าชุดเหลืองยังคงกล่าวด้วยสีหน้าประจบเอาใจ “นายน้อยคือเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่พันปีก็ยากจะพานพบ ของขวัญพบหน้าน้อยนิดแค่นี้ไม่แสดงความจริงใจได้มากพอ ไม่แสดงความจริงใจได้มากพอเลยจริงๆ”
ยากจะจินตนาการได้ว่าคนผู้นี้ก็คือปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ในบรรดาปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ในอดีต สตรีอย่างเฟยเฟย และยังมีหวงหลวนที่เคยเป็นพี่น้องกันแต่แล้วก็ชักสีหน้าแตกหักกันผู้นั้น บวกกับเฒ่าหูหนวกอีกคน เขาล้วนสนิทสนมคุ้นเคยเป็นอย่างดี
แม่นางน้อยที่นครจินชุ่ยผู้นั้นก็ยิ่งเคยมีเรื่องราวในอดีตร่วมกับเขา
แม้แต่ตาเฒ่าต่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนที่เพิ่งมาท่องเที่ยวใต้หล้าเปลี่ยวร้างช่วงแรกๆ ก็ยังเคยถูกเขาไล่กัดมาก่อน
ส่วนอาเหลียงก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขอแค่ทุกครั้งที่เจ้าชาติสุนัขผู้นี้ผ่านภูเขาแสนลี้ เฒ่าตาบอดก็จะต้องให้เขาปลดปล่อยฝีมืออย่างเต็มที่
ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาถึงได้มีนามแฝงว่าเถาถิง
เถาถิงแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กู้ชิงซงแห่งใต้หล้าไพศาล
ทั้งสองคนนี้ต่างคนก็ต่างพอจะมีชื่อเสียงในใต้หล้าของแต่ละคนอยู่บ้าง
เฒ่าตาบอดเอาสองมือไพล่หลังเดินเข้ามาในกระท่อม ยืนอยู่หน้าประตูห้อง ชำเลืองตามองข้าวของบนโต๊ะแล้วขมวดคิ้วพูดกับหมาเฝ้าประตูตัวนั้น “ลวดลายเยอะนักนะ คาบกระดูกจากบนถนนกลับมาบ้าน เจ้ารนหาที่ตายงั้นรึ?”
ทำเอาผู้เฒ่าชุดเหลืองที่ได้ยินหนังตากระตุกริกๆ อุตส่าห์ซื่อสัตย์จริงใจ สร้างคุณความชอบแล้วเอามาบอก จงรักภักดีอย่างสุดจิตสุดใจ แต่กลับถูกน้ำเย็นๆ ราดใส่หัวเช่นนี้
หลี่ไหวลุกขึ้นยืน ถือว่าช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้กับผู้อาวุโส ด้วยการยิ้มถามว่า “ไม่มีชื่อบ้างเลยหรือ จะให้เอาแต่เรียกท่านว่าเฒ่าตาบอดทุกวันก็คงไม่ได้กระมัง?”
เฒ่าตาบอดยิ้มเอ่ย “เฒ่าตาบอดก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ เรียกแบบนี้แหละ”
หลี่ไหวยกนิ้วโป้งให้ “ยิ่งนานก็ยิ่งถูกใจ! เป็นอาจารย์เกินครึ่งตัวแล้ว!”
ผู้เฒ่าชุดเหลืองชำเลืองตามองเฒ่าตาบอดที่ยิ้มจนใบหน้าแก่ๆ เกือบจะมีบุปผาผลิบานออกมาอยู่แล้ว จากนั้นจึงมองหลี่ไหวที่รนหาที่ตายครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่เคยตาย สุดท้ายก็นึกถึงสภาพอันน่าสังเวชของตน แล้วก็ให้รู้สึกว่าชีวิตช่างยากเย็นจริงๆ
วันนี้บนยอดเขาแห่งนี้มีควันไฟอย่างที่หาได้ยาก สุดท้ายบนโต๊ะก็วางเนื้อตุ๋นหม้อใหญ่เอาไว้ ไอร้อนลอยกรุ่น กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก
ตอนแรกหลี่ไหวยังรู้สึกเกรงใจจึงไม่กล้าขยับตะเกียบ แต่พอเขาเห็นผู้เฒ่าตาบอดขยับตะเกียบนำไปก่อน และผู้เฒ่าชุดเหลืองเองก็จ้วงตะเกียบอย่างว่องไวไม่มีเลอะเลือน หลี่ไหวจึงไม่เกรงใจอีก
เฒ่าตาบอดชำเลืองตามองมา ผู้เฒ่าชุดเหลืองก็รีบยกถ้วยออกไปจากโต๊ะทันใด หลี่ไหวยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนม้านั่งตัวยาว คีบเนื้อหมาคำใหญ่ใส่ชามแล้วตบโต๊ะเอ่ยอย่างเดือดดาล “อะไรกัน เฒ่าตาบอดท่านจะไม่มีน้ำใจบ้างเลยหรือ?!”
จากนั้นหลี่ไหวก็หันหน้ามายิ้มให้ผู้อาวุโส ช่วยพูดหนุนหลังให้ “ไม่ต้องลุก พวกเรานั่งกินไปด้วยกันนี่แหละ อย่าไปสนใจเฒ่าตาบอดเลย ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ไม่รู้จะโอ้อวดบารมีให้ใครดูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”
กินอาหารของคนอื่น ถึงอย่างไรก็ต้องปากอ่อน
แน่นอนว่าไม่ใช่เนื้อหมาที่เฉือนออกมาจากร่างของผู้เฒ่าชุดเหลืองจริงๆ แต่เป็นในภูเขาแสนลี้แห่งนี้ที่ยังมีของล้ำค่าหายากบนภูเขาอยู่มากมาย ไม่อย่างนั้นหลี่ไหวก็คงไม่กล้าแม้แต่จะจับตะเกียบแล้ว น่าขนลุกเกินไป
ผู้เฒ่าชุดเหลืองคิดแล้วก็รู้สึกว่าตนยกชามไปข้างนอกน่าจะสบายใจกว่า ไม่เกะกะตา จะดีจะชั่วก็ยังสามารถกินอิ่มได้หนึ่งชาม คิดไม่ถึงว่าเฒ่าตาบอดจะแค่นเสียงหัวเราะเอ่ยว่า “เนื้อที่วางบนโต๊ะไม่ยอมกิน จะไปขุดดินกินขี้นอกประตูงั้นหรือ?”
ผู้เฒ่าชุดเหลืองทั้งรู้สึกดีใจและเศร้าใจปะปนกัน ได้แต่ก้มหน้ากินเนื้อไปเงียบๆ เอ๊ะ ดูเหมือนว่ารสชาติจะไม่เลวเลย กลมกล่อมพอเหมาะพอดี เจ้าตะพาบน้อยหลี่ไหวนี่มีฝีมือทำอาหารใช้ได้เลยจริงๆ
เฒ่าตาบอดขยับตะเกียบไม่มากนัก เคี้ยวอย่างละเอียดกลืนช้าๆ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “หลี่ไหวกลับบ้านเกิดคราวนี้เจ้าก็ตามไปด้วย ผลได้ผลเสียหรือความหนักเบาอะไร เจ้าก็ช่างน้ำหนักเอาเอง ทำดี บัญชีเก่าก็ให้แล้วกันไป”
ส่วนหากทำไม่ดีแล้วจะเป็นอย่างไร เฒ่าตาบอดคร้านจะพูด
ผู้เฒ่าชุดเหลืองพยักหน้ารับอย่างแรง เห็นหลี่ไหวคีบอาหารให้เฒ่าตาบอดที่นั่งตรงตำแหน่งประธานก็เอาอย่าง รีบคีบเนื้อคำใหญ่ให้กับนายท่านใหญ่หลี่
จู่ๆ ก็ค้นพบว่าติดตามอยู่ข้างกายนายท่านใหญ่หลี่ก็ไม่เลวเลยนี่นา นี่ก็ยังได้นั่งกินเนื้อตุ๋นร่วมโต๊ะกับเฒ่าตาบอดมื้อหนึ่งเลยไม่ใช่หรือ?
เพียงแต่ว่าภายหลังผู้เฒ่าชุดเหลืองที่สายตาดีเยี่ยมกลับสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่เจ้าเด็กหลี่ไหวคีบอาหารให้เฒ่าตาบอด กลับคล้ายกำลังคีบอาหารให้ผู้เฒ่าอีกคนหนึ่ง
บนใบหน้าของคนหนุ่มเต็มไปด้วยรอยยิ้มร่าเริง ปากก็พูดจาเหลวไหลไปเรื่อยเปื่อย เพียงแต่ว่ายังคงไม่โชกโชนมากพอ เพราะสายตาไม่อาจเก็บกลั้นคำพูดเอาไว้ได้
……
ม่านฟ้าของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางพลันมีเรือนกายที่เล็กเท่าเมล็ดงาเรือนกายหนึ่งปรากฏขึ้น แล้วทิ้งตัวดิ่งลงมาเบื้องล่าง
ระหว่างที่ร่วงลงมานี้ชายฉกรรจ์ได้กางสองแขนออก ร่างจึงหมุนติ้วๆ ไม่หยุด
พลิ้วกายลงบนพื้น อยู่ในท่าก้มหน้า
สองนิ้วของมือข้างหนึ่งประกบกันยันไว้ตรงหน้าผาก ฝ่ามือของมืออีกข้างแบกระดกไปข้างหลัง
ส่วนเรื่องที่ว่าอยู่ในสายตาคนอื่น ท่าทางเช่นนี้จะสง่างามหรือไม่ก็บอกได้ยากแล้ว
ถึงอย่างไรเขาก็ขบคิดเรื่องวิธีการปรากฏตัวนี้มานานมากแล้ว
ทว่ามารดามันเถอะ นี่มันบนลานกว้างนอกศาลบุ๋นแผ่นดินกลางนะ
อริยะปราชญ์คนหนึ่งที่มีเทวรูปตั้งวางในศาลบุ๋นเหล่ตามอง แล้วก็เลือกที่จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ยังบอกให้นักปราชญ์และวิญญูชนที่อยู่ข้างกายไม่ต้องไปสนใจคนผู้นี้ อย่าไปพูดคุยด้วย
เพียงแต่ว่ามีซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งวิ่งตุปัดตุเป๋ออกมาจากสวนกงเต๋อ มาปรากฏตัวที่นี่ ทั้งยังช่วยให้การสนับสนุนอย่างดีเยี่ยม เขาผินหน้าหันข้าง มือหนึ่งกุมใบหน้า โบกมือพลางเอ่ยว่า “เด็กรุ่นหลังผู้หล่อเหลาจากที่ใด เร็วเข้าๆ รีบเก็บความองอาจผึ่งผาย ความห้าวหาญน่าเกรงขามของเจ้าลงไปเถอะ”
ใบหน้าของชายฉกรรจ์เต็มไปด้วยความน้อยใจ ตะโกนเรียกเสียงดังว่าซิ่วไฉเฒ่า คนทั้งสองเดินเร็วๆ เข้าหากัน สองมือกุมกัน ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจอย่างสะท้อนใจ ส่ายหน้าโคลงหัวเต็มแรง “ครานั้นมีคนคบหาข้ามากมายเพียงใด แต่มีเพียงท่านที่ปณิธานตรงกันกับข้า”
ชายฉกรรจ์เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ท่ามกลางคนนับหมื่นโชคดีได้จับมือท่าน เป็นเหตุให้ชายแขนเสื้อข้าหอมหวนนานสามปี”
คิดจะประชันบทกลอน? ซิ่วไฉเฒ่าไม่รู้จักจำจริงๆ หาคู่ต่อสู้ผิดคนแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าดวงตาเป็นประกายวาบ กดเสียงลงต่ำ “เมื่อก่อนไม่เคยได้ยิน ไปลอกมาจากไหน? ขอให้ข้ายืมหน่อยได้ไหม?”
ชายฉกรรจ์พูดด้วยสีหน้าเขินอาย “ผลงานข้าเอง เกิดแรงบันดาลใจขึ้นกะทันหันจึงแต่งออกมา เอาไปๆ ระหว่างพี่น้องต้องเกรงใจอะไร”
ให้ใครยืมก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ จะได้โดนด่าไปพร้อมๆ กันไงล่ะ
คนทั้งสองกอดกัน ขาดก็แค่ไม่ได้วางท่าว่าพี่น้องทุกข์ยากคู่หนึ่งกอดคอกันร้องไห้เท่านั้น
ซิ่วไฉเฒ่าทุบหลังเจ้าหมอนั่นเต็มแรง จุ๊ปากเอ่ย “น้องอาเหลียง เนื้อหนังร่างนี้แข็งแน่นกว่าเมื่อก่อนแล้วนะ”
ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราโอดครวญ “ซิ่วไฉเฒ่าเอ๋ยซิ่วไฉเฒ่า คิดถึงเจ้าจะตายอยู่แล้ว น้องชายไม่เพียงแต่เกือบจะตาย กว่าจะปลดกระดองเต่านั่นทิ้งไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ชีวิตตลอดหลายปีมานี้ยังผ่านไปอย่างยากลำบาก พอพูดถึงเรื่องนี้ก็อดไม่ไหวต้องหลั่งน้ำตาของชายผู้ห้าวหาญแล้ว”
แรงที่ซิ่วไฉเฒ่าทุบหลังชายฉกรรจ์ยิ่งหนักกว่าเดิม “ลำบากแล้ว พวกเราสองพี่น้องต่างก็ลำบากแล้ว ไม่ง่ายเลย พี่น้องคนดีล้วนไม่ง่ายเลย!”
อาเหลียงไอสำลักพลางถามไปด้วย “ซิ่วไฉเฒ่า ทำไมมองดูเหมือนเจ้าตัวผอม แต่กลับมีแรงมากนักล่ะ คงไม่ใช่เพราะหน้าอกมีขุนเขาสายน้ำ ในใจมีใต้หล้าหรอกนะ?!”
ซิ่วไฉเฒ่าปล่อยมือ พูดบ่นว่า “เชิญพูดความจริงที่ทำให้คนลำบากใจให้เต็มที่เลย”
อาเหลียงถ่มน้ำลายใส่ฝ่ามือแล้วลูบเส้นผม อันที่จริงผมของเขามีไม่มาก กว่าจะมัดเป็นมวยผมเล็กๆ ได้นับว่าลำบากเขาอยู่ไม่น้อย
จะโทษที่เขาไม่ชอบมาเดินเที่ยวที่นี่ไม่ได้จริงๆ เพราะที่นี่ไม่มีสตรีเลยสักคน
ในฐานะทายาทของจวนอริยะสี่แซ่ใหญ่ที่สมชื่ออย่างแท้จริง จำนวนครั้งที่เขาเป็นฝ่ายมาเยือนที่นี่มีน้อยจนนับนิ้วได้
นอกจากนี้แต่ละครั้งหากไม่ถูกพาตัวมาคุมเชิงพูดคุยเหตุผลหลักการกับคนอื่น ก็จะต้องถูกคนเรียกให้มาขอขมาคนอื่นที่นี่
มีเพียงซิ่วไฉเฒ่าที่ทุกครั้งจะต้องกระโดดออกมาเป็นคนแรก จงใจไปยืนอยู่ฝ่ายตรงข้าม ราวกับว่าไม่ต้องการให้ใครได้รับความอยุติธรรมใหญ่เทียมฟ้าทั้งนั้น แล้วก็เป็นซิ่วไฉเฒ่าที่เสียงดังที่สุด พูดจาดุร้ายที่สุด กระพือลมโหมไฟอย่างสุดกำลัง หากไม่พูดจาเหน็บแนมช่วยฝ่ายตรงข้าม ก็จะต้องทิ้งคำขู่อาฆาตเอาไว้ บอกว่าจะฟันเจ้าคนผู้นี้ให้ตายไปเลย แค่ถูกขังอยู่ในสวนกงเต๋อไม่กี่ปีจะไปพออะไร
ภายหลังอาเหลียงก็เคยชินเสียแล้ว ขอแค่เห็นว่าซิ่วไฉเฒ่าอยู่ด้วย เขาก็แค่ต้องทำสีหน้าให้จริงใจ ก้มหัวยอมรับผิดกับอีกฝ่ายเท่านั้น หากใครขวางไม่ให้เขาเอ่ยขอโทษ เขาก็จะเดือดใส่คนนั้น ทว่าช่วงเวลาที่ซิ่วไฉเฒ่ายังไม่ได้มีรูปปั้นตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นนั้น อาเหลียงไม่มีทางพูดคุยง่ายเช่นนี้แน่นอน ถึงขั้นที่ว่าคร้านจะสนใจเชิญคนจากศาลบุ๋นด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นหย่าเซิ่งที่พาเขาไปสอบถามความผิดที่ศาลบุ๋นด้วยตัวเอง อย่างมากเขาก็จะไม่พูดอะไรสักคำ ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไป
วันนี้ไม่ต้องให้อาเหลียงขอโทษใคร ซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำคล้ายจะรู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง เขาถอนหายใจ จากนั้นก็เอ่ยอย่างสงสัย “ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ เจ้าไม่ได้กลับไพศาลมานานแล้วหรอกหรือ? มัวไปเที่ยวเล่นที่หลิวเสียทวีปมาหรือไร?”
——