อาเหลียงชี้ไปที่เหนือศีรษะ เอ่ยอย่างจนใจว่า “จะดีจะชั่วก็ขอให้ผมงอกขึ้นมาสักหน่อย ไม่อย่างนั้นข้าจะกล้าไปที่ไหนได้ มีแต่จะทำให้แม่นางทั้งหลายเห็นแล้วเจ็บปวดใจสงสาร พอไปถึงหลิวเสียทวีปก็เลยอยากจะไปพูดคุยรำลึกความหลังกับพี่หญิงชงเชี่ยนก่อนไม่ใช่หรือ คิดไม่ถึงว่านางจะไม่อยู่บ้าน ได้ยินมาว่าไปอยู่ที่ตั้งเก่าของสำนักอวี่หลง ไม่ได้กลับบ้านมานานหลายปีแล้ว ข้าก็เลยให้ลูกศิษย์ของพี่หญิงชงเชี่ยนช่วยส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปหนึ่งฉบับ ไม่นานก็ได้รับจดหมายตอบกลับมา ถ้อยคำกระชับสั้นเรียบง่าย แค่สองคำ รอก่อน! ซิ่วไฉเฒ่าเจ้าฟังดูสิ นี่ไม่ใช่ว่าจริงใจกระตือรือร้นมากเลยหรอกหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้า ช่วยอาเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายอย่างสุดซึ้ง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รอไปก่อนเถอะ”
อาเหลียงหัวเราะหึหึ “รออะไรกันเล่า ข้ากลัวว่าพอพบหน้ากัน จากลาชั่วคราวหวานชื่นกว่าตอนเพิ่งแต่งงานใหม่ พี่หญิงชงเชี่ยนจะอดใจรอไม่ไหวเอาน่ะสิ”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะหึหึตามไปด้วย
อาเหลียงพลันเงียบงันไป มองผู้เฒ่าร่างผอมแห้งที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยตัวสูงผู้นี้
ทุกวันนี้ซิ่วไฉเฒ่าไปที่ไหนไม่ได้ทั้งนั้น
เมื่อเทียบกับปีนั้นที่ขังตัวเองอยู่ในสวนกงเต๋อแล้ว ไม่เหมือนกัน
คนทั้งสองเดินไปที่ขั้นบันไดด้านหน้าศาลบุ๋นด้วยกัน นั่งลงด้วยกัน
อาเหลียงเล่าเรื่องน่าสนใจที่พบเจอระหว่างเดินทางมาให้ฟัง บอกว่าสถานที่แห่งหนึ่งในหลิวเสียทวีป ในร้านอาหารเหลาสุราแห่งหนึ่ง เขาเลียนแบบซิ่วไฉเฒ่าในอดีตที่กินอาหารดื่มเหล้าแล้วไม่จ่ายเงิน จะเขียนสัญญาหนี้ก็ไม่ได้ เลยตวาดบอกให้เอาพู่กันมา คิดจะทิ้งผลงานน้ำหมึกเอาไว้ ช่วยเขียนกรอบป้ายให้ที่ร้าน หลังจากที่พู่กันและหมึกเตรียมมาพร้อมแล้ว เขาก็เขียนตัวอักษรลงไปสองสามคำ ตัวอักษรที่เขียนเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง เมื่อเทียบกับตัวอักษรที่แกะสลักลงบนหัวกำแพงแล้วยังตั้งใจมากกว่า เพียงแต่เถ้าแก่ร้านมองของไม่เป็น จึงคิดเงินค่าเหล้าค่าอาหารพร้อมกับค่ากระดาษไปพร้อมกันด้วย เขาเลยได้แต่ติดไว้ก่อน
ยังเล่าอีกว่าตรงท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่กระโปรงหลากสีสันพลิ้วไสว รองเท้าปักลายมีมากมาย ช่างบังเอิญยิ่งนัก เขาไปได้ยินคนกลุ่มหนึ่งพูดถึงตัวเองพอดี พูดจนเขารู้สึกเขินอาย โดยเฉพาะแม่นางน้อยสองคน ในดวงตาที่งดงามของพวกนางคล้ายจะเขียนสองคำว่าอาเหลียงและพี่ชายไว้เต็มไปหมด ทำให้คนเคลิบเคลิ้มเมามายดุจได้ดื่มสุราเลิศรสอย่างไรอย่างนั้น และเขาคนนี้ ซิ่วไฉเฒ่าเจ้าก็รู้จักดีไม่ใช่หรือ ยอมให้คนอื่นชมเชยตัวเองอย่างส่งเดชไม่ได้เป็นที่สุด จึงจัดระเบียบเสื้อผ้า ถือถ้วยเหล้าที่ว่างเปล่าเดินตรงเข้าไปหา เอ่ยถ้อยคำที่เป็นความจริงกับพวกเขาไปคำหนึ่ง บอกว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ผู้นั้นไม่มีอะไรร้ายกาจ ไม่ได้มีความหมายสักเท่าไรเลยจริงๆ …
ผลคือถูกชมเชยมาคำหนึ่งว่าเจ้าโล้น ยังบอกอีกว่าทำไมเจ้าแม่งไม่พูดถึงผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงอย่างเต๋าเหล่าเอ้อไปด้วยเลยเล่า?
ในเมื่อพูดก็พูดให้อีกฝ่ายฟังไปแล้ว เขาจึงได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ฟังพวกนักดื่มเหล่านั้นคุยเล่นกันอีกสองสามประโยค ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันถูกคออย่างมาก เขามัวง่วนอยู่กับการเรียกพี่เรียกน้อง กินกับแกล้มของพวกเขาไปเล็กน้อย สุดท้ายทนรับสายตาชื่นชมเลื่อมใสของแม่นางพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ กังวลว่าจะก่อหนี้รักที่ไม่จำเป็นอะไรขึ้นมาอีก ถึงได้วางถ้วยเหล้าลงแล้วออกมาจากร้านเหล้า ก่อนจะหยุดเดินอย่างมีความพิถีพิถันยิ่ง เงยหน้ามองแสงอาทิตย์ แล้วถึงได้ก้าวยาวๆ ออกไปอย่างกะทันหันซึ่งเป็นท่วงท่ามีความรู้แฝงไว้มากยิ่งกว่า เดินอยู่บนถนนเพียงลำพัง ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังที่เปลี่ยวเหงาชวนให้สตรีใจสลายเอาไว้ รวมไปถึง…หนี้ค่าเหล้าที่ไม่ทันระวังลืมจ่ายไปก้อนหนึ่ง?
ซิ่วไฉเฒ่าตบเข่าชายฉกรรจ์ที่อยู่ข้างกายเบาๆ เอ่ยชมเชยว่า “ใช้ได้ๆ มาดยังคงอยู่ ขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ถูกคนหักลดไป”
อาเหลียงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
ชายฉกรรจ์มอมแมมที่เส้นผมมีไม่มากเล่าเรื่องน่าสนใจระหว่างท่องเที่ยวให้ซิ่วไฉเฒ่าฟังอีกมากมาย
บอกว่าเขาไปบนฟ้ามารอบหนึ่ง ได้เจอกับตาเฒ่าอวี๋ที่ผสานมรรคากับธารดวงดาวอย่างยากลำบากอยู่ที่นั่น ไม่ได้พูดถึงขอบเขตสิบสี่อะไรนั่น หลีกเลี่ยงไม่ให้ตาเฒ่าอวี๋ที่อายุมากปูนนั้นแล้วแต่คุณสมบัติในการฝึกตนกลับยังธรรมดารู้สึกเสียใจหม่นหมอง
พูดแค่ว่าเขาอิจฉาสหายทุกคนที่อยู่ข้างกายตัวเองมาโดยตลอด เหตุใดพวกเขาถึงได้มีสหายที่หล่อเหลาสง่างาม มีเสน่ห์น่าหลงใหลแบบนี้ได้ แต่เขาอาเหลียงกลับไม่มีนะ? พอตาเฒ่าอวี๋ฟังแล้วก็เงียบไปครึ่งวัน คงจะรู้สึกละอายใจและอับอายที่สู้ไม่ได้กระมัง
เพียงแต่ว่าสุดท้ายตาเฒ่าอวี๋ก็พูดมาประโยคหนึ่ง เป็นประโยคที่เหมือนบัณฑิตอย่างมาก
บอกว่าสิ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าคนหนึ่งคิดถึงคำนึงหาอยู่ตลอดเวลาได้ คือมาตุภูมิคือบ้านเกิด และยิ่งคือวัยเด็ก วัยเยาว์ในอดีต
มีเพียงสถานที่สุดท้ายในหลิวเสียทวีปที่ตัวเองไปเยือนซึ่งอาเหลียงไม่ได้เล่าให้ฟัง
นั่นคือสุสานไร้ญาติของป่ารกร้างชานเมืองแห่งหนึ่ง อย่าว่าแต่ปราณวิญญาณฟ้าดินเลย แม้แต่กลิ่นอายชั่วร้ายอัปมงคลก็ไม่มีแม้แต่น้อย ชายฉกรรจ์นั่งขัดสมาธิ สองมือกำเป็นหมัดค้ำไว้บนหัวเข่าเบาๆ ไม่ได้เอ่ยอะไร แล้วก็ไม่ได้ดื่มเหล้า เพียงแค่นั่งงีบหลับอยู่คนเดียวเงียบๆ จนฟ้าสาง ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ฟ้าดินสว่างไสว เขาถึงได้ลืมตาขึ้น ราวกับว่าเป็นวันใหม่อีกวันหนึ่งแล้ว
ไม่ว่าอาเหลียงจะพูดอะไร
ซิ่วไฉเฒ่าที่นั่งอยู่ด้านข้างล้วนฟังอย่างตั้งใจ ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ขอแค่คนอื่นกำลังพูด ไม่ว่าจะพูดมีเหตุผลหรือไม่ เรื่องใหญ่เรื่องเล็ก น่าสนใจไม่น่าสนใจ ผู้เฒ่าก็ล้วนเป็นเช่นนี้ สีหน้าจริงจัง ความอดทนดีเยี่ยม รอคอยให้คนข้างกายพูดจบแล้ว ซิ่วไฉเฒ่าถึงจะเอ่ยคำพูดของตัวเอง
บางทีคงมีเพียงผู้เฒ่าที่เป็นอย่างนี้เท่านั้นถึงจะสอนลูกศิษย์ที่เป็นอย่างนั้นออกมาได้กระมัง ลูกศิษย์คนแรกชุยฉาน จั่วโย่ว ฉีจิ้งชุน จวินเชี่ยน ลูกศิษย์คนสุดท้ายเฉินผิงอัน
อาเหลียงถามเสียงเบา “เจ้าทึ่มจั่วโย่วยังไม่กลับมาจากนอกฟ้าอีกหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าอืมรับหนึ่งที
อาเหลียงเอ่ย “ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ปีนั้นตอนอยู่เมืองหลวงต้าหลี จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้าเจ้าหมอนั่น”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ซิ่วไฉเฒ่าที่ท้องหิวโหยสอนหนังสืออยู่ในโรงเรียน มีวันหนึ่งเหลือบไปเห็นว่านอกโรงเรียนมีคนต่างถิ่นคนหนึ่งมายืนแอบฟังความรู้ที่เขาสอนอยู่ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นลูกหลานคนมีเงินที่มาจากตระกูลปัญญาชน ซิ่วไฉเฒ่าจึงพรรณนาความรู้อันเป็นแก่นสำคัญอีกหลายประโยคอย่างสุดชีวิต รอกระทั่งพวกเด็กนักเรียนที่ส่งเสียงเอะอะจอแจพากันเลิกเรียนกลับบ้านไปแล้ว เด็กหนุ่มก็ถูกความรู้ความสามารถของอาจารย์ในโรงเรียนที่ตอนนั้นยังไม่แก่เลยสักนิดโน้มน้าวได้สำเร็จจริงดังคาด เขาจึงยืนคอยอยู่นอกประตูเช่นนั้น สุดท้ายยังประสานมือคารวะขอเล่าเรียนวิชาอยู่ที่หน้าประตู บอกว่าอยากจะกราบอาจารย์ เด็กหนุ่มเข้าใจมารยาทดีเยี่ยม รู้กฎระเบียบดีมาก ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าเบิกบานใจยิ่งนัก รู้สึกว่าตัวเองยังไม่มีลูกศิษย์สักคน ตรงหน้านี้ก็มีลูกศิษย์สำเร็จรูปอยู่คนหนึ่งไม่ใช่หรือ? สอนความรู้ให้ใครก็คือสอนเหมือนกันไม่ใช่หรือ
ท่ามกลางแสงสนธยาในวันนั้น บัณฑิตสองคนหนึ่งโตหนึ่งเด็กเดินไปด้วยกันตลอดทางพร้อมเสียงไก่ขันหมาเห่าและควันไฟจากการปรุงอาหาร เดินเคียงบ่ากันเข้าไปในตรอกพร้อมดมกลิ่นอาหารไปด้วย พอไปถึงบ้านก็คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะก่อไฟทำกับข้าวเป็นด้วย
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเนิบช้า “สอนใครไม่ถือว่าสอน? คิดไม่ถึงว่าไม่ทันระวังกลับได้สอนลูกศิษย์ที่ฉลาดที่สุดทั้งยินดีจะลงมือปฏิบัติจริงคนหนึ่งออกมาได้”
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องขอบคุณเขา หากไม่ใช่เขา ข้าก็คงรู้จักแค่เหวินเซิ่ง ไม่ได้รู้จักซิ่วไฉเฒ่าแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าโบกมือ
ดังนั้นอาเหลียงจึงได้แต่ยื่นเหล้ากาหนึ่งไปให้
ซิ่วไฉเฒ่ารับกาเหล้ามา อาเหลียงร่วมดื่มไปพร้อมกับเขา
อาเหลียงพลันโพล่งประโยคหนึ่งออกมาว่า “ซิ่วไฉเฒ่า ตอนที่เจ้ายังไม่แก่ อันที่จริงรูปโฉมไม่ได้ดูดีเท่าไรเลยจริงๆ”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะร่า “ผายลมน่ะสิ มีแต่จะหล่อเหลากว่าเจ้า เจ้าลองมองดูลูกศิษย์แต่ละคนของข้าสิ มีใครบ้างที่รูปโฉมและบุคลิกไม่ดีเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่ง?”
อาเหลียงหลุดหัวเราะพรืด “ไม่พูดถึงเรื่องการถ่ายทอดวิชาความรู้ อาจารย์จะสามารถสอนออกมาเป็นรูปโฉมของลูกศิษย์ได้ด้วยหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่านวดคลึงปลายคาง “สายบุ๋นสายอื่นจะเลียนแบบก็ทำไม่ได้นะ แล้วเจ้าลองดูในบรรดาลูกศิษย์ของลูกศิษย์ข้า เป่าผิงน้อย เฉาฉิงหล่าง เผยเฉียนน้อย…แล้วเจ้าลองมองตัวเจ้าเองสิ?”
อาเหลียงลุกขึ้นยืน ซิ่วไฉเฒ่าถาม “จะไปไหน?”
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “วางใจเถอะ ข้าจะไปหาคน คาดว่าอีกเดี๋ยวก็คงต้องให้เจ้าช่วยพูดอยู่ที่นี่แล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่ารีบลุกขึ้นยืน กดเสียงต่ำเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาหลายๆ คนเลย จะได้ได้กำไร ที่ข้ามีรายชื่ออยู่ เอาไปๆ”
อาเหลียงรับกระดาษแผ่นนั้นมาเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เพียงแค่เหลือบตามองก็รู้แล้วว่าตัวเองมีงานให้ต้องทำแล้ว เรือนกายจึงกลายร่างเป็นสายรุ้งจากไปอย่างรีบร้อน
นอกฟ้าที่ทั้งหมัดเท้าและกระบี่ล้วนสามารถปล่อยได้ตามใจชอบ
บริเวณโดยรอบคนทั้งสองที่ลอยตัวคุมเชิงกันอยู่กลางอากาศ แสงสว่างเป็นจุดๆ ล้วนเป็นดวงดาวที่อยู่ห่างไกล
แม่นางน้อยมัดผมแกละคนหนึ่งที่ในมือหิ้วแขนครึ่งท่อนของตัวเอง กำลังประกบบาดแผลให้ตรงกันพลางถลึงตาใส่คนผู้นั้นไปด้วย “พอหรือยัง?! จะต้องขัดขวางไม่ให้ข้าไปใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้ได้เลยรึ?! เชื่อหรือไม่ว่าหากทำให้ข้าเดือดดาล ข้าจะโหม่งหัวพุ่งเข้าไปในทักษินาตยทวีปหรือไม่ก็ใบถงทวีป ให้อาจารย์ที่น่าสงสารของเจ้าคนนั้นจบเห่อย่างสิ้นเชิงไปเลย?!”
คนชุดเขียวผู้หนึ่งสีหน้าไร้อารมณ์ ถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว ปราณกระบี่ทั่วร่างไร้พันธนาการอีกต่อไป “ขอร้องให้เจ้าช่วยไปหน่อย”
กว่าจะเย็บประกบแขนเล็กบางอย่างลวกๆ ไว้ชั่วคราวได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เซียวสวิ้นแกว่งแขน ยิ้มกว้างเจิดจ้า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ไปหาเรื่องอาจารย์ของเจ้าแล้ว ข้าจะเปลี่ยนสถานที่ ไปภูเขาลั่วพั่วของแจกันสมบัติทวีป ไปพบเจอกับใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราคนนั้นดีไหมล่ะ?!”
กระบี่หนึ่งปล่อยออกไป ก็คือคำตอบ
ท่าเรือแห่งหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จวี้จื่อสำนักโม่ที่เฝ้าพิทักษ์ทักษินาตยทวีปร่วมกับเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ เวลานี้เขาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง สร้างเมืองคนเดียว พิทักษ์เมืองคนเดียว ไม่หน่วงเหนี่ยวให้เสียงานทั้งสองทาง
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่ง ข้างกายมีภูตน้อยตนหนึ่งติดตามมาด้วย เขาเพิ่งกลับจากกุยซวีบนมหาสมุทรมายังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จากนั้นจึงเดินทางมาถึงที่นี่ ตลอดทางที่ผ่านมาจงใจอ้อมกองกำลังภูเขาต่างๆ เพียงแค่ชื่นชมขุนเขาสายน้ำเท่านั้น
หลิวสือลิ่วแหงนหน้ามองนครประหลาดที่ ‘เติบโตด้วยตัวเอง’ แห่งนั้น
ภูตน้อยข้างกายที่ตั้งฉายาให้ตัวเองว่าราชาลมวนมีรูปโฉมเป็นเด็ก สะพายห่อสัมภาระใบใหญ่ ไม่ใช่ว่าอาจารย์ข้างกายผู้นี้เรียกร้องอะไร ด้านในล้วนมีแต่สมบัติที่ภูตน้อยตัดใจทิ้งไม่ลงทั้งสิ้น เวลานี้กำลังยืนอยู่ริมขอบของท่าเรือแห่งนั้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ ในตำราบอกว่ามีเรื่องมากหนึ่งเรื่องไม่สู้มีเรื่องน้อยลงหนึ่งเรื่อง ดูท่าแล้วพวกเราควรจะอ้อมเส้นทางไปดีกว่ากระมัง”
ภูตน้อยอดไม่ไหวบ่นว่า “เดินๆๆ อาจารย์ เมื่อไหร่ถึงจะหยุดเดินได้สักทีล่ะ?”
หลิวสือลิ่วยิ้มกล่าว “เดิมทีอยากจะพาเจ้ามาพบอาจารย์อาน้อยของเจ้า เวลานี้กลับไม่ได้แล้ว คาดว่าคงต้องเดินกันต่ออีกหน่อย”
ภูตน้อยทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “น่ารำคาญๆๆ หากได้พบอาจารย์อาน้อยเร็วหน่อยก็ดีน่ะสิ”
หลิวสือลิ่วพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปแล้ว ถึงเวลานั้นอาจารย์จะหาเรือข้ามฟากให้เจ้าสักลำ จะได้สบายขึ้นหน่อย”
ภูตน้อยกล่าว “อาจารย์ ข้าไม่มีเงินเทพเซียนนะ! จนจริงๆ ไม่ได้แกล้งจน!”
หลิวสือลิ่วลูบหัวของเจ้าตัวน้อย “เหมือนกับอาจารย์อาน้อยของเจ้าเลย เรื่องใหญ่ไม่เลอะเลือน มีแต่เรื่องเล็กๆ นี่แหละที่ขี้เหนียวนัก”
ภูตน้อยพลันรู้สึกระวนกระวายอยู่บ้าง เอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ ข้าเป็นแค่ภูตน้อยๆ ตนหนึ่ง อาจารย์อาน้อยเป็นอิ่นกวานใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาจะรังเกียจข้าหรือไม่?”
หลิวสือลิ่วยิ้มกล่าว “ไม่มีทาง เขาคืออาจารย์อาน้อยของเจ้านะ”
ภูตน้อยลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยว่า “แล้วอาจารย์ลุงใหญ่ล่ะ? อาจารย์ลุงฉีล่ะ? ข้าจะไม่ได้พบพวกเขาจริงๆ หรือ?”
หลิวสือลิ่วอืมรับหนึ่งที “เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ”
ภูตน้อยรู้สึกหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย “พวกอาจารย์ลุงล้วนเป็นเช่นนี้ แล้วข้าจะติดตามอาจารย์ฝึกตนไปทำไม? หากรู้อย่างนี้แต่แรกคงไปหลบอยู่ในภูเขาบ้านเกิดแล้ว”
หลิวสือลิ่วยิ้มกล่าว “อย่าได้คิดเช่นนี้ ต่อให้เป็นวันนี้ก็มีเรื่องบางอย่างที่มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำได้”
ภูตน้อยเงยหน้าขึ้นอย่างฉงนสนเท่ห์ “ยกตัวอย่างเช่น?”
หลิวสือลิ่วกล่าว “ยกตัวอย่างเช่นเร่งเดินทางไปพร้อมกับอาจารย์อย่างไรล่ะ”
ภูตน้อยกลอกตามองบน เพียงแต่ว่าไม่นานริมฝีปากก็แยกออกเป็นรอยยิ้ม ก็ไม่ถือว่าอาจารย์หลอกลวงกัน
“อาจารย์ ทำไมอาจารย์ลุงใหญ่ถึงถูกเรียกว่าซิ่วหู่ล่ะ”
“คนอื่นตั้งให้ อาจารย์ลุงใหญ่ของเจ้าไม่ได้ชอบฉายานี้สักเท่าไร ดูเหมือนว่าจะไม่เคยชอบมาโดยตลอด”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมอาจารย์ลุงฉีถึงชอบตีกับอาจารย์ลุงจั่วตลอดเลยล่ะ? เพราะความสัมพันธ์ไม่ดีหรือ?”
“ตอนนั้นพวกเขาต่างก็ยังเด็ก อันที่จริงคนทั้งสองสนิทกันมากเลยล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมอาจารย์อาน้อยถึงได้เป็นอิ่นกวานอะไรนั่นล่ะ?”
“วันหน้าเจ้าลองไปถามเขาเองเถอะ”
“อาจารย์ ปีศาจใหญ่สรุปแล้วใหญ่แค่ไหนกันแน่? เซียนกระบี่มีกลิ่นอายเซียนมากแค่ไหน?”
“บอกได้ยากนะ”
“อาจารย์ของท่านอาจารย์ ทำไมถึงถูกเรียกว่าซิ่วไฉเฒ่าล่ะ? เพราะว่าแก่มากหรือ?”
“เปล่าหรอก อันที่จริงอาจารย์ของพวกเราไม่ถือว่าอายุมาก เพียงแต่ว่าดูแก่อยู่บ้าง”
“ถ้าอย่างนั้นท่านอาจารย์ปู่ของข้าเขาชอบลูกศิษย์คนไหนมากที่สุด? ใช่อาจารย์ไหม?”
“ต้องเป็นอาจารย์อาน้อยของเจ้าแน่”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นข้าต้องสานสัมพันธ์กับอาจารย์อาน้อยดีๆ แล้วล่ะ”
“ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนี้”
“อาจารย์ ท่านให้ข้ายืมเงินเทพเซียนหน่อยสิ”
“หืม?”
“ท่านบอกเองนะว่าอาจารย์อาน้อยเป็นคนเห็นแก่เงิน ข้าต้องเตรียมของขวัญพบหน้าไว้ด้วยสิ”
“เปล่าสักหน่อย อาจารย์ไม่เคยพูด อาจารย์อาน้อยของเจ้าใจกว้างอย่างมาก ไม่เคยขี้เหนียวเลย เจ้าพบเขา เพราะลำดับอาวุโสต่ำกว่า ก็แค่ต้องรับของขวัญอย่างเดียว ไม่ต้องมอบของขวัญให้เขา”
“อาจารย์ นับแต่วันนี้ไป ท่านรับข้าเป็นศิษย์หลานดีกว่ากระมัง? รอให้ข้าได้พบอาจารย์อาน้อย รับของขวัญมาแล้วค่อยเปลี่ยนกลับมาเป็นลูกศิษย์ดีไหม?”
“แบบนี้ไม่ดีกระมัง”
“อาจารย์ เอ่ยประโยคจากใจสักคำนะ อยู่ดีๆ ข้าก็รู้สึกว่าติดตามท่านคงไม่มีอนาคตสักเท่าไร แต่ก็ช่างเถิด เห็นแก่ที่พวกอาจารย์ลุงและอาจารย์อาน้อยต่างก็ร้ายกาจกันขนาดนั้น ข้าจะรับท่านเป็นอาจารย์ก็แล้วกัน ข้าไม่เปลี่ยนใจ ท่านเองก็เหมือนกันนะ ห้ามเสียใจภายหลังเพราะวันหน้าข้าไม่มีอนาคตล่ะ”
“ไม่มีปัญหา”
“ดี ตกลงตามนี้! ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
——