มองหมี่ลี่น้อยที่หัวเราะอย่างโง่งม เผยเฉียนรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย โชคดีที่เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วอย่างเจ้า ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่เปลี่ยนเป็นเฉินหลิงจวินเลย ต่อให้เป็นลูกศิษย์ที่เป็นผู้ภาคภูมิใจอย่างเฉาฉิงหล่าง พรุ่งนี้ก็ต้องซวยแน่
โจวหมี่ลี่เอ่ยลาหนึ่งคำ ก่อนจะวิ่งฉิวไปที่ห้องตัวเองรอบหนึ่ง ตอนที่นางกลับมาได้เอาเมล็ดแตงถุงใหญ่และปลาลำธารตากแห้งถุงเล็กกลับมาด้วย
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองสีท้องฟ้า จากนั้นคีบยันต์ส่องไฟออกมาหนึ่งแผ่น ยันต์เผาไหม้ช้าๆ ไม่ต่างจากยันต์สองแผ่นก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย ครั้นจึงใช้สองนิ้วทำมุทรากระบี่ ท่องคำว่าขึ้นอยู่ในใจเงียบๆ ปราณกระบี่สีทองเส้นหนึ่งเหมือนเจียวหลงว่ายวนก็ผุดขึ้นมา สุดท้ายหัวและหางเชื่อมต่อกัน วาดวงกลมสีทองวงใหญ่ไว้ในห้องหนึ่งวง สร้างตราผนึกเวทอาคมที่เป็นบ่อสายฟ้าสีทองหนึ่งบ่อ ภาพบรรยากาศของค่ายกลยันต์แทบจะใกล้เคียงกับฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่ง
เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เผยเฉียนใช้กระบองเหล็กวาดเลียนแบบวิธีของเขาบนถนนใหญ่ การร่ายค่ายกลของเฉินผิงอัน เห็นได้ชัดว่ากลมกลืนสมดั่งใจ สอดคล้องกับปณิธานแห่งมรรคามากกว่า
ในหัวของเผยเฉียนมีคำพูดหนึ่งผุดออกมา วิถีแห่งสวรรค์ลี้ลับมหัศจรรย์
ตอนที่ฝึกหมัดอยู่บนเรือนไม้ไผ่ ผู้เฒ่าที่สอนวิชาหมัดมักจะมีคำพูดหนึ่งติดปากอยู่เป็นประจำ นั่นก็คือเผยเฉียนคุณสมบัติของเจ้าแย่เกินไป แม้แต่อาจารย์พ่อของเจ้าก็ยังสู้ไม่ได้ ไม่มีความหมายแม้แต่นิดเดียว
ต่อให้เผยเฉียนได้กลายเป็นเจิ้งเฉียนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าแล้ว พอกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางประลองวิชาหมัดกับพ่อครัวเฒ่า พอจูเหลี่ยนเก็บหมัดลงไป ก็ได้พูดประโยคหนึ่งที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกันว่า เมื่อเทียบกับเจ้าขุนเขาแล้ว เจ้ายังคงขาดความหมายอีกเล็กน้อย
หนิงเหยาแทะเมล็ดแตง ถามว่า “นี่คือค่ายกลกระบี่หรือ?”
เห็นได้ชัดว่าหนิงเหยาเองก็รู้สึกว่าเวทกระบี่ที่เกิดจากการผสมผสานวิชาค่ายกลนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เรียนมาจากคนอื่น เพียงแต่ว่าเพิ่มวิชากระบี่และปณิธานหมัดของตัวเองเข้าไปเล็กน้อย”
ค่ายกลที่ไม่เคยมีชื่อเรียกนี้ แรกเริ่มสุดนั้นเรียนมาจากชุยตงซาน ฝ่ายหลังชอบใช้กระบี่บินจินสุ้ยที่เป็นของตกทอดของเซียนกระบี่มาวาดวงกลมตัดขาดฟ้าดิน ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ภายหลังอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันก็ดึงตัวหลิวจิ่งหลงมา บวกกับชุยตงซานอีกคน แล้วหยิบเอาบันทึกลับฉบับหนึ่งที่คัดลอกมาจากคฤหาสน์หลบร้อนออกมา มันมีความเกี่ยวข้องกับบ่อสายฟ้าของภูเขาห้อยหัวอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าตัวอักษรที่บันทึกไว้มีความเป็น ‘บรรพบุรุษ’ มากกว่าหน่อย เกี่ยวพันถึงบ่อชำระกระบี่ของเรือนโต้วซูหนึ่งในหนึ่งจวนสองเรือนสามกองของกรมสายฟ้า เฉินผิงอันจึงให้สองคนนี้เปิดเอกสารอ่าน สุดท้ายหลิวจิ่งหลงก็ร่วมมือกับชุยตงซาน ทำการแก้ไขค่ายกลนี้ให้สมบูรณ์แบบ แต่ทุกวันนี้เมื่อเฉินผิงอันร่ายมันก็ยังคงเคยชินที่จะเพิ่มปณิธานหมัดบนร่างตัวเองเข้าไปสองสามส่วน รวมไปถึงปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ด้วย
อยู่บนเรือข้ามฟาก ถึงอย่างไรก็เป็นการพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น ไม่สะดวกจะพูดถึงเรื่องของนครบินทะยานและภูเขาลั่วพั่วมากนัก
ก่อนหน้านี้การชมภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือของหลี่สือหลางถูกเฉินผิงอันพูดเปิดโปงความลับในประโยคดียว ทั้งสองฝ่ายจึงพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ทั้งเป็นการลอบมองโรงเตี๊ยมของเจ้านครเถียวมู่ผู้นี้ แต่อันที่จริงไยจะไม่ใช่การบอกเตือนอย่างหนึ่งเล่า
นี่หมายความว่าในนครเถียวมู่แห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเรือราตรีลำนี้ ขอแค่เทพเทวดาของฟ้าดินแห่งนี้มีใจ ก็ไม่มีความรู้อะไรที่ไม่อาจรู้ได้
ตอนนี้คนทั้งกลุ่มอยู่ในค่ายกลแล้ว เฉินผิงอันจึงมองไปทางเผยเฉียน เผยเฉียนเข้าใจได้ทันทีจึงบอกตัวเลขนั้นออกมา
ก่อนหน้าที่เฉินผิงอันจะ ‘บินทะยาน’ ออกไปจากนครเถียวมู่ เฉินผิงอันได้ใช้เสียงในใจเอ่ยสองคำว่าหน้าหนังสือ คล้ายทายคำปริศนากับเผยเฉียน
นับตั้งแต่นาทีที่เฉินผิงอันออกจากโรงเตี๊ยมไปหาหนิงเหยา เผยเฉียนก็แบ่งสมาธิมานับเวลา รอแค่ให้อาจารย์พ่อเอ่ยถาม นางถึงได้บอกตัวเลขนั้นออกมา
หนิงเหยารู้สึกสงสัยเล็กน้อย
เฉินผิงอันอธิบายให้ฟังด้วยรอยยิ้ม “กลัวว่าจะถูกวางแผนเล่นงาน ถูกปิดหูปิดตาแล้วก็ยังไม่รู้ตัว ไม่ทันระวังก็จะต้องถ่วงรั้งการเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปนานเกินไป”
เฉินผิงอันประกบสองนิ้ว สะบัดข้อมือเบาๆ หนึ่งที ถึงกับหยิบเอายันต์ส่องไฟที่เผาไหม้ไปแล้วเกินครึ่งแผ่นหนึ่งออกมาจากกระบี่บินนกในกรงที่อยู่ท่ามกลางฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ นี่ก็เหมือนกับนักพรตวัวดำและชายเคราดกที่ถือว่ามีฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งอยู่บนเรือข้ามฟากแล้ว จุดตะเกียงหนึ่งดวง ในฟ้าดินเล็กกับยันต์ส่องไฟที่ลอยอยู่ตรงหน้าต่างมีความต่างกันไม่น้อย ในที่สุดก็ถูกเฉินผิงอันตรวจสอบจนพบเจอกับความจริงข้อหนึ่งที่ซ่อนอยู่อย่างลึกล้ำ เขาหลุดหัวเราะพรืด “ทางฝั่งของเรือข้ามฟากนี้ มีคนควบคุมความเร็วในการไหลหายไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างลับๆ อยู่จริงดังคาด หากจะทำให้เทพไม่รู้ผีไม่เห็นก็ต้องอยู่ในภูเขาหกสิบปี บนโลกก็ผ่านไปพันปีแล้ว ต้องไม่ใช่หลี่สือหลางแห่งนครเถียวมู่แน่นอน มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเจ้าของเรือผู้นั้นแล้ว”
ในจักรวาลชายแขนเสื้อของชุยตงซานสามารถทำให้ผู้ฝึกตนรู้สึกเหมือนตกอยู่ในกรงขังได้ ผ่านแต่ละวันไปอย่างยาวนานเหมือนเป็นปี ถ้าอย่างนั้นก็ย่อมทำให้คนในสถานการณ์ได้สัมผัสกับอะไรที่เรียกว่าม้าขาวผ่านช่องแคบได้อย่างแท้จริง
เผยเฉียนฟังด้วยความรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
ลองจินตนาการดูว่าเวลาสิบวันครึ่งเดือนบนเรือราตรี เตร็ดเตร่ไปตามสิบสองนครอย่างสบายอุรา หากรอกระทั่งออกจากเรือข้ามฟากแล้วกลับเพิ่งจะตระหนักรู้ว่าใต้หล้าไพศาลได้ผ่านไปหลายเดือน หรืออาจถึงขั้นยาวนานหลายปีแล้วเล่า?
เฉินผิงอันเดินไปที่หน้าต่าง พูดเสียงดังกังวานว่า “รบกวนหลี่สือหลางบอกกับเจ้านครสักคำ วันนี้เรือราตรีจะขยับเข้าใกล้ทางเข้ากุยซวีแห่งหนึ่ง หรือคิดจะตรงดิ่งไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเลยก็ล้วนไม่มีปัญหา มีเพียงเรื่องของการเปลี่ยนแปลงแม่น้ำแห่งกาลเวลาเท่านั้นที่ในเมื่อถูกข้าจับได้แล้ว ก็ควรจะยกเลิกแล้วหรือไม่?”
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนถนนใหญ่และในโรงเตี๊ยม เฉินผิงอันได้เผายันต์ส่องไฟสองแผ่น ก็เพื่อช่วยให้เรือลำนี้เข้าใจผิดคิดว่าเขาเฉินผิงอันมีความเข้าใจบางอย่างของตัวเอง
คิดไปเองว่ามรรคกถาของตนสูงมากพอ เวทคาถาก็มากพอจะไร้เทียมทานในหนึ่งทวีป กลายเป็นบรรพบุรุษผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ของสำนักแห่งอื่น คิดไปว่าแผนการของตัวเองลึกล้ำยาวไกล โชควาสนาล้วนเป็นของในกระเป๋าของตัวเองหมดแล้ว อาศัยตะเกียงอายุยืนในศาลบรรพจารย์ดวงหนึ่ง ถึงได้โชคดีกลับขึ้นภูเขาเดินบนเส้นทางการฝึกตนได้อีกครั้ง
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงหน้าต่างครู่หนึ่งก็หันหน้ามามองหนิงเหยา
หนิงเหยาส่ายหน้า “หากไม่เป็นเพราะเจ้าของเรือผู้นั้นไม่ได้สังเกตทางนี้ ก็คงเป็นเพราะมรรคกถาของอีกฝ่ายสูงมากพอ ข้าจึงสัมผัสถึงเบาะแสอะไรไม่ได้แม้แต่เสี้ยวเดียว”
เฉินผิงอันพยักหน้า กลับมานั่งที่ ถามเสียงเบา “ออกจากบ้านครั้งนี้สามารถอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลได้นานเท่าไร?”
หนิงเหยาใช้นิ้วเขี่ยเมล็ดแตงออกมาจากกองเมล็ดแตงที่ซ้อนกันเป็นภูเขาสามเมล็ด
เฉินผิงอันตบโต๊ะเสียงดังสนั่นฟ้า สบถด่าอย่างขุ่นเคืองใจ “แค่สามเดือนเท่านั้นหรือ?! ทุกวันนี้คนที่ดูแลเรื่องราวของทางศาลบุ๋นเสียสติไปแล้วหรือไร หรือว่าน้ำเข้าสมองกัน? เจ้าไม่ต้องไปสนใจ ใครกล้ามาเร่งเจ้า ข้าจะด่ากลับไปให้เอง!”
หนิงเหยาส่ายหน้าเบาๆ
เฉินผิงอันตื่นตะลึง “แค่สามวัน?!”
หนิงเหยาเงียบงันไม่พูดจา
เฉินผิงอันขมวดคิ้วแน่น นวดคลึงปลายคาง หรี่ตาลง ความคิดแล่นเร็วจี๋ เริ่มทำการใคร่ครวญอย่างละเอียด
โจวหมี่ลี่รีบเอาเมล็ดแตงอีกกองใหญ่มาให้ฮูหยินเจ้าขุนเขา แทะเมล็ดแตงให้มากๆ หน่อย
ทันใดนั้นกระบี่ยาวของหนิงเหยาก็ออกจากฝัก นางใช้มือหนึ่งถือกระบี่ แล้วจู่ๆ ก็ฟันลงไปบนความว่างเปล่าในห้อง และตัวหนิงเหยาก็ขี่กระบี่จากไปไกลในชั่วพริบตา
ไม่ต้องให้หนิงเหยาเอ่ยอะไร และเฉินผิงอันกับหนิงเหยาเองก็ไม่เคยต้องใช้เสียงในใจสื่อสารกัน ทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็นพูดคุยผ่านสายตา เฉินผิงอันก็พุ่งร่างวูบตามติดหนิงเหยาไปแล้ว
ทั้งสองมาถึงบนยอดเขาแห่งหนึ่ง ก็คือจุดที่เจ้าของเรือยืนอยู่ก่อนหน้านี้ตอนที่เส้าเป่าเจวี้ยนมาพบเขาอย่างนอบน้อม
เพียงแต่ว่าไม่พบปัญญาชนวัยกลางคนและภิกษุที่งีบหลับอีกแล้ว เวลานี้บนยอดเขาไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว มีเพียงเบาะรองนั่งเบาะหนึ่งที่ถูกทิ้งเอาไว้
เฉินผิงอันยื่นมือไปข้างหลังกดฝักกระบี่ที่อยู่ด้านหลังเบาๆ เย่โหยวที่ออกจากฝักมาชุ่นกว่าจึงกลับเข้าฝักไปด้วยตัวเอง กวาดตามองรอบด้านแล้วเอ่ยชมเชยว่า “ถ้ำสวรรค์ในกา ขุนเขาสายน้ำยิ่งใหญ่งดงาม ลงทุนไปไม่น้อยเลย เจ้าบ้านรับรองแขกเช่นนี้ ทำให้คนยากจะหาของขวัญมอบตอบแทนกลับคืนได้”
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง มองประเมินเบาะรองนั่งใบนั้นอย่างละเอียด ดูเหมือนว่าเจ้าของเรือจะตั้งใจทิ้งไว้เป็นของรางวัลที่ไขปริศนาได้
หนิงเหยาใช้สองมือจับกระบี่เซียน ‘เทียนเจิน’ หลุบตาลงมองตำหนักสีทองอร่ามแห่งหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ เอ่ยว่า “หากมีแค่เจ้ากับข้าก็ยากที่จะจับตัวเจ้าของเรือผู้นี้ได้จริงๆ”
“เป็นแขกก็ต้องมีความพิถีพิถันของคนเป็นแขก เอาชีวิตย่อมมีวิธีการต่อสู้แบบเอาชีวิต”
เฉินผิงอันทิ้งเบาะรองนั่งเอาไว้ ลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มเอ่ยกับหนิงเหยา “กลับกันเถอะ”
หนิงเหยาปล่อยกระบี่ออกไปหนึ่งที
ทางฝั่งของโรงเตี๊ยมในนครเถียวมู่ หนิงเหยากับเฉินผิงอันกลับไปถึงด้วยกัน
เผยเฉียนมานั่งอยู่บนม้านั่งยาวข้างกายโจวหมี่ลี่แล้ว หมี่ลี่น้อยค้างอยู่ในท่าแทะเมล็ดแตงได้ครึ่งหนึ่งเหมือนก่อนหน้านี้มาโดยตลอด ทำตัวเป็นคนไม้ รอกระทั่งเจ้าขุนเขาและฮูหยินเจ้าขุนเขากลับมาด้วยกัน หมี่ลี่น้อยถึงได้แทะเมล็ดแตงต่อราวกับบิน เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่เป็นไร เมื่อครู่นี้ไปเดินเที่ยวสถานที่ที่น่าสนใจมา เกือบจะได้พบกับอาจารย์จางผู้นั้นแล้ว ต่อจากนี้พวกเราสามารถคุยกันได้ตามใจชอบแล้วล่ะ”
เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมารวดเดียวสี่กา เหล้าหมักกุ้ยฮวาสองกา เหล้าหมักข้าวเหนียวของบ้านเกิดหนึ่งกา จากนั้นจึงหยิบถ้วยเหล้าออกมาสี่ใบ จัดวางบนโต๊ะให้เรียบร้อย ล้วนเป็นงานที่ลูกจ้างร้านเหล้าของตนที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตเคยทำ ส่งเหล้าข้าวเหนียวให้เผยเฉียน บอกว่าวันนี้เจ้ากับหมี่ลี่น้อยต่างก็ดื่มกันได้คนละนิดหน่อย แค่อย่าดื่มมากก็พอแล้ว จากนั้นก็รินเหล้าหมักกุ้ยฮวาให้ตัวเองและหนิงเหยาคนละถ้วย ถามหยั่งเชิงว่า “คงไม่ใช่แค่สามวันจริงๆ หรอกกระมัง?”
“เป็นสามปี แต่ข้าคงหยุดอยู่ได้ไม่นานนัก”
หนิงเหยาเอ่ย “ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ได้สังหารกากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลอย่าง ‘เทพตาเดียว’ ไปตนหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเคยเป็นหนึ่งในสิบสองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูง ได้สะสมคุณความชอบครั้งหนึ่งไว้ที่ศาลบุ๋น สามารถสังหารเทพตาเดียวได้ ก็มีความเกี่ยวข้องกับการที่ข้าฝ่าทะลุคอขวดเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานเช่นกัน ไม่เพียงแค่ความต่างของหนึ่งขอบเขตเท่านั้น เวทกระบี่ก็มีความต่างด้านสูงและต่ำ อีกทั้งฟ้าอำนวยดินอวยพรล้วนอยู่กับอีกฝ่าย ดังนั้นเมื่อเทียบกับการถามกระบี่ครั้งแรกแล้วจึงผ่อนคลายกว่ามาก”
ฝ่าทะลุขอบเขต บินทะยาน ถามกระบี่สองครั้ง ฟ้าอำนวยดินอวยพร เทพตาเดียว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูง
ตอนที่พูดเรื่องพวกนี้ น้ำเสียงของหนิงเหยานิ่งสงบ สีหน้าเป็นปกติ ไม่ใช่ว่านางจงใจเอ่ยเรื่องที่น่าตะลึงพรึงเพริดให้ฟังดูผ่อนคลายสบายอารมณ์ แต่เป็นเพราะสำหรับหนิงเหยาแล้ว ปัญหาทุกอย่างที่ผ่านไปแล้วล้วนไม่มีอะไรให้ต้องพูดมาก
ทว่าวันนี้หนิงเหยากลับพูดเพิ่มมาอีกหนึ่งประโยค “หากมีเจ้าอยู่ด้วย จะยิ่งผ่อนคลายมากกว่านี้”
เพียงแต่หนิงเหยาไม่ได้เอ่ยว่า เป็นนครบินทะยานที่มีอิ่นกวานอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นครบินทะยานจึงผ่อนคลายมากกว่า หรือเป็นนางที่ข้างกายมีเฉินผิงอันอยู่ด้วย นางถึงได้ผ่อนคลายยิ่งกว่าเก่า อาจเป็นไปได้ทั้งสอง อาจจะใช่ทั้งคู่
——