อู๋ซวงเจี้ยงถูกกักอยู่ในฟ้าดินเล็กหนาชั้น มองไม่เห็นเงาร่างของคนทั้งสี่แล้ว กลับกลายเป็นว่าเก็บกายธรรมใหญ่โตโอฬารที่ค้ำฟ้ายันดินนั้นไป จะได้ชื่นชมฟ้าดินเมล็ดงาชั้นแรกที่มีภาพกลุ่มดวงดาวเป็นรากฐานนี้อย่างเต็มที่
ขยับออกไปข้างนอกอีกหน่อยมีกลิ่นอายของภาพค้นภูเขา อู๋ซวงเจี้ยงเองก็ไม่รีบร้อน เดินไปท่ามกลางความว่างเปล่าตามแต่ใจตัวเอง เพียงก้าวง่ายๆ ออกไปหนึ่งก้าวก็สามารถข้ามผ่านดวงดาวดวงหนึ่งในฟ้าดินเล็กไปได้ รอบเรือนกายของเขา เนื่องจากเขาเป็นเพียงเป้าหมายหนึ่งเดียวที่ถูกสยบกำราบ ทุกลมหายใจ ทุกการขยับเท้าล้วนจะต้องชนกำแพงของฟ้าดินเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกครั้งที่อู๋ซวงเจี้ยงก้าวเดิน ก็ราวกับน้ำในมหานทีที่ซัดเชี่ยวกรากพุ่งชนเสาหินกลางกระแสน้ำ กระแทกให้เกิดเป็นแสงแก้วใสเจ็ดสีที่พร่างตาระลอกแล้วระลอกเล่า ลำแสงไหลเอ่อท้นเจิดจ้าพร่าพรายอย่างถึงที่สุด ด้านหลังของเขาคล้ายลากเอาเส้นยาวเส้นหนึ่งที่เล็กบางมากแต่กลับรวมตัวกันแน่นหนาไม่สลายหายไปไหนมาด้วย เป็นเหตุให้อู๋ซวงเจี้ยงคล้ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งที่เดินทางท่องไปท่ามกลางทางธารดวงดาว
ก้าวเดินอย่างผ่อนคลายคล้ายผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่เพิ่งเคยเข้ามาในกองโหราศาสตร์ของโลกมนุษย์ จึงต้องทำการบ้านความรู้พื้นฐานสี่ชนิดอย่างแรกมืด มืดกลาง แรกเช้าและกลางวัน
จากนั้นอู๋ซวงเจี้ยงก็เดินก้าวหนึ่งมาหยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศระหว่างกลุ่มดาวสองดวงอย่างโต้วและหนิว หันกลับไปมอง เส้นยาวแต่ละเส้นคล้ายวิถีการโคจรของชีวิตคนที่ดำรงอยู่ยาวนานไม่สลายหายไปไหน คือการแสดงออกของมหามรรคาซึ่งเป็นเส้นแห่งผลกรรมงั้นหรือ? อู๋ซวงเจี้ยงรู้สึกแปลกใหม่ จึงปล่อยมันไป รอคอยให้อีกฝ่ายดึงหัวของเส้นสายพวกนี้ไป หวังเพียงว่าจะไม่ใช่ฝีมือเล็กๆ น้อยๆ ที่ฟ้าร้องดังฝนตกเบาก็แล้วกัน
อู๋ซวงเจี้ยงเอาสองมือไพล่หลัง ก้มหน้าลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ชุย ต่างก็พูดว่าปราณท่วมทะยานฟ้า (ชี่ชงโต้วหนิว) ขอถามว่าแสงกระบี่อยู่ที่ใด?”
สำหรับบุคคลของไพศาล คนที่อู๋ซวงเจี้ยงให้ความสนใจอย่างแท้จริงก็มีแค่สองคนเท่านั้น ซูจื่อ ซิ่วหู่
บทวลีของฝ่ายแรก อู๋ซวงเจี้ยงชื่นชมจากใจจริง ดังนั้นปีนั้นตอนที่ยืนอยู่นอกอารามเสวียนตูใหญ่ร่วมกับลู่เฉิน ต่อให้อยู่ต่อหน้าเด็กชายสวมหมวกหัวเสือคนนั้น อู๋ซวงเจี้ยงก็ยังพูดไปตามตรงว่าเขาเลื่อมใสซูจื่อ ส่วนฝ่ายหลัง ไม่ใช่เลื่อมใสในการหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนอะไร ไม่ใช่เรื่องดงามงามสามเรื่องแห่งไพศาลอะไร แต่เป็นการเลือกนั้นของชุยฉาน รวมไปถึงการปูพื้นร้อยปีสำหรับการเลือกนั้นที่ทำได้สำเร็จ ทำให้อู๋ซวงเจี้ยงรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างถึงที่สุด หากเปลี่ยนมาเป็นตนย่อมไม่มีทางทำได้แน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อีกฝ่ายก็คู่ควรต่อความเคารพนับถือของตน
น้อยครั้งนักที่อู๋ซวงเจี้ยงจะรู้สึกว่ามีเรื่องอะไรที่ตนทำไม่สำเร็จ เขียนวลีไม่องอาจห้าวหาญเหมือนซูจื่อ ใช้เวลาเพียงร้อยปีก็สามารถวางแผนเล่นงานสองใต้หล้า กำอีกฝ่ายเล่นอยู่ในกำมือ ก็เป็นเรื่องที่เขาสู้ชุยฉานไม่ได้เช่นกัน
ดังนั้นคำเรียกอย่างให้ความเคารพว่าอาจารย์ชุยนี้ จึงไม่ใช่ถ้อยคำที่เอ่ยไปเพราะความเกรงใจของอู๋ซวงเจี้ยงจริงๆ
ในความเป็นจริงแล้ว อู๋ซวงเจี้ยงไม่จำเป็นต้องพูดจาเกรงใจกับใครอีกแล้ว กับซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูไม่ต้องเกรงใจ กับลู่เฉินแห่งป๋ายอวี้จิงก็เช่นเดียวกัน
เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งที่หวนกลับมายังที่แห่งนี้ มาปรากฏตัวอยู่เบื้องล่างซึ่งห่างไปไกลมาก ต่อให้มีตบะและขอบเขตเฉกเช่นอู๋ซวงเจี้ยง เพ่งมองไปสุดสายตาก็ยังเห็นเป็นแค่เรือนกายเล็กเท่าเมล็ดงาเท่านั้น เพียงแต่เสียงของเด็กหนุ่มคนนั้นไม่เบาเลยจริงๆ “เจ้าขอร้องข้าสิ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้เห็นหรอก!”
อู๋ซวงเจี้ยงหัวเราะ ซิ่วหู่ตอนเป็นเด็กหนุ่มน่าจะไม่มีพฤติกรรมเช่นนี้กระมัง? จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งเคยปกปิดสถานะไปชมการโต้วาทีของสามลัทธิอยู่ไกลๆ บัณฑิตหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังซิ่วไฉเฒ่าคนนั้น มองดูแล้วทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายตำรา นิสัยสุขุมมั่นคง และยังมีความสง่างามตามธรรมชาติอยู่อีกหลายส่วน ตอนนั้นอู๋ซวงเจี้ยงก็รู้สึกแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา แล้วก็จริงดังคาด หลังจากนั้นมา เพียงไม่นานก็มีการประชันเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาวเกิดขึ้น
อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “ก็จริงนะ ข้าเป็นแขก คนที่ได้พบก็ยังเป็นซิ่วหู่ครึ่งตัว ควรต้องมีของขวัญพบหน้าสักชิ้น”
เห็นเพียงว่าเจ้าอารามตำหนักสุ้ยฉูผู้นั้นยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา ยิ้มเอ่ยสองคำว่า ‘กระบี่ขึ้น’ ข้างกายมีแสงสีขาวหิมะจุดหนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะสองคำนั้นปรากฎขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ลากเอาแสงกระบี่ยาวเส้นหนึ่งออกมา สุดท้ายกลายมาเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่หากมองให้ละเอียดจะเห็นว่ามีรอยสึกกร่อนอยู่เล็กน้อย
นอกจากมีรูโหว่บนคมกระบี่ที่เล็กละเอียดจำนวนมากถึงสองร้อยกว่ารูแล้ว นอกจากนี้ลักษณะของกระบี่ยาวก็เหมือนกับเต้าจ้างกระบี่พกของอวี๋โต้วแห่งป๋ายอวี้จิง หนึ่งในสี่กระบี่เซียนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ยอีกว่า “กระบี่ลง”
เส้นเส้นหนึ่งทิ้งดิ่งลงสู่เบื้องล่าง
แสงกระบี่ที่เจิดจ้ายิ่งใหญ่นั้นทิ้งดิ่งจากระหว่างดวงดาวหนิวโต้วสองดวง หล่นจากฟ้าลงไปยังโลกมนุษย์
ส่วนเด็กหนุ่มชุดขาวนั้นยืนอยู่ที่เดิม ชายแขนเสื้อสองข้างโบกสะบัด ในชายแขนเสื้อมีแสงกระบี่สิบสองเส้นปรากฏออกมา ถือเป็นของขวัญจากโลกมนุษย์ที่ตอบแทนกลับคืนไปให้แขกบนฟ้าผู้นั้น
แสงกระบี่สิบสองเส้น แต่ละเส้นวาดวงโค้งเล็กน้อย ไม่ได้ประชันความแหลมคมกับกระบี่จำลอง ‘เต้าจ้าง’ เล่มนั้น อย่างมากสุดต่างฝ่ายก็แค่ฟันกันและกันเท่านั้น
แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถหลบพ้นกระบี่นั้นมาได้
แสงกระบี่บนท้องฟ้าเหมือนขุนเขาที่หล่นร่วงลงสู่พื้นดิน ชุยตงซานเบ้ปาก มารดามันเถอะ หลบไม่พ้นจริงๆ เสียด้วย เจ้าคนหน้าเหม็นไร้ยางอายอย่างอู๋ซวงเจี้ยงผู้นี้ ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่แต่ดันควงกระบี่เล่นเสียอย่างนั้น
ยันต์จำแลงกายแผ่นหนึ่งของชุยตงซานแตกสลายคาที่อย่างไม่น่าแปลกใจใดๆ
ท่วงทำนองที่ยังเหลืออยู่ของแสงกระบี่มากไพศาล เพียงแต่ว่าถูกกฎเกณฑ์ประหลาดของฟ้าดินจำกัดเอาไว้ จึงไม่สามารถทิ้งดิ่งเป็นเส้นตรงทะลุฟ้าดินเล็กภาพดวงดาวไปได้จริงๆ แต่ไปผลุบโผล่อยู่ระหว่างดวงดาวใหญ่ๆ ทั้งหลายอย่างฉับพลันต่อเนื่อง ทับซ้อนกันครั้งแล้วครั้งเล่า รวมตัวแล้วพลันจางหายครั้งแล้วครั้งเล่า เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่เป็นระยะ แสงกระบี่เส้นหนึ่งเปล่งแสงสว่างวูบอยู่ระหว่างฟ้าดินไม่หยุดพัก อู๋ซวงเจี้ยงไม่คิดจะชายตามองกระบี่บินทั้งสิบสองเล่มด้วยซ้ำ เพราะหลังจากที่พวกมันเข้าประชิดตัวแล้วก็จะต้องลอยห่างไปนอกกายอู๋ซวงเจี้ยงหลายสิบจั้งเหมือนกันหมดอย่างไม่มีข้อยกเว้น อู๋ซวงเจี้ยงเอื้อมมือออกไปคว้าหนึ่งที กระบี่บินที่เล็กใหญ่ไม่เท่ากันล้วนรวมตัวกันจนมีขนาดเท่าเมล็ดงา ทั้งหมดถูกกุมอยู่ในฝ่ามือ เพียงชั่วพริบตาก็ถูกขยี้จนแหลกสลาย วัตถุที่เป็นภาพมายาพวกนี้ไม่ได้ซุกซ่อนปณิธานที่แท้จริงใดๆ เอาไว้ ไม่มีคุณสมบัติจะถูกเขาลอกเลียนแบบด้วยซ้ำ
อู๋ซวงเจี้ยงสะบัดชายแขนเสื้อ กระบี่จำแลงที่ปณิธานมากมายไร้ที่สิ้นสุดเล่มนั้นก็ผลุบหายเข้าไปในชายแขนเสื้อ
ชุยตงซานมาปรากฏตัวอยู่ตรงกลุ่มดาวเจ็ดดวงของทิศใต้ ดาวดวงที่เจ็ดของทิศใต้ตั้งอยู่ตรงช่วงหางของนกกระจอกแดง เพียงแต่ว่าเวลานี้ชุยตงซานกลายมามีรูปลักษณ์อย่างอู๋ซวงเจี้ยง อีกทั้งยังใช้นิ้ววาดยันต์ เขียน ‘อู๋ซวงเจี้ยงแห่งอารามสุ้ยฉู’ ไว้กลางฝ่ามือ พลิกหมุนฝ่ามือ ตัวอักษรที่ร้อยเรียงกันก็เหมือนหิมะที่ละลายในทันทีทันใด ละลายหายเข้าไปในดาวเจิ่นที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า จากนั้นก็มีเจิ่นสุ่ยอิ่น (ชื่อดวงดาวธาตุน้ำ อิ่นคือไส้เดือน) ขนาดใหญ่โตมโหฬารตัวหนึ่งปรากฎขึ้นมาแล้วเลื้อยไปช้าๆ บนร่างของไส้เดือนน้ำยังมียักษ์ร่างกำยำสวมชุดดำพกกระบี่อีกคนหนึ่งเผยกายขึ้นมา รวมไปถึงสตรีชุดเหลืองอีกห้าคนที่ยืนอยู่ข้างรถม้าคันหนึ่ง แต่ละคนต่างก็หยิบเอาตัวอักษรตัวใดตัวหนึ่งในประโยคว่า ‘อู๋ซวงเจี้ยงแห่งอารามสุ้ยฉู’ ออกมา
อู๋ซวงเจี้ยงหลุดหัวเราะพรืด อาจารย์ชุยผู้นี้คิดเล็กคิดน้อยกับผลประโยชน์เท่าหัวแมลงวันจริงๆ ฉกฉวยผลประโยชน์ไปเสียทุกจุด เพราะคิดจะใช้สิ่งนี้มายึดครองฟ้าอำนวยดินอวยพร เพื่อให้ต้านทานกับคนสามัคคีอย่างนั้นหรือ? สะสมน้อยเป็นมาก แล้วแบ่งปันกับอีกสามคนที่เหลือ สุดท้ายไม่เพียงแต่ไม่มีใครที่ต้องรบตาย ยังสามารถช่วงชิงชัยชนะมาในเวลาใดเวลาหนึ่งได้ด้วย? นับว่าเป็นการดีดลูกคิดคำนวณได้ดี เพียงแต่ว่าจะสมดั่งใจปรารถนาได้หรือไม่ก็ต้องดูที่อารมณ์ของตนแล้ว คิดจะใช้บาดแผลแลกชีวิตกับขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง คนหนุ่มพวกนี้ก็ช่างกล้าคิดกล้าทำกันจริงๆ
สี่สัตว์เทพแห่งฟ้าดิน อยู่สี่ทิศหลัก
สี่ตำหนักเก้าดินแดนยี่สิบแปดดวงดาว ล้อมรอบอยู่สี่ทิศของตะวันจันทราและห้าดาว
มหามรรคาบดขยี้มดตัวน้อย
นอกจากความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ตรงดาวเจิ่นแล้ว ก็มีภาพบรรยากาศประหลาดยิ่งใหญ่ระหว่างฟ้าดินเกิดขึ้นอีก
ฟ้าดินประกบผสานเข้าหากัน ทั้งยี่สิบแปดดวงดาวต่างก็มีแม่ทัพเทพเฝ้าพิทักษ์ ประหนึ่งผู้ที่ชื่นชมภาพดวงดาวภาพหนึ่งซึ่งกางแผ่ไว้บนโต๊ะได้ทำการม้วนแกนภาพเก็บอีกครั้ง
หมายจะใช้สิ่งนี้มาขยี้สังหารตบะส่วนหนึ่งของอู๋ซวงเจี้ยง
อู๋ซวงเจี้ยงเพียงแค่ยื่นนิ้วชี้ไปยังดวงดาวดวงหนึ่งที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ยิ้มถามว่า “บันทึกในตำราทั่วไปล้วนเป็นปี้สุ่ยซวี่ (ชื่อดวงดาว) แต่หากอิงตามคำกล่าวของอาจารย์จางแห่งเรือข้ามฟาก กลับเป็นปี้สุ่ยอวี่ สรุปว่าอันไหนกันแน่ที่เป็นความจริง?”
ชุยตงซานเปลี่ยนร่างเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งที่ค้ำฟ้ายันดิน ก้มหน้าค้อมเอว ดวงตาทั้งคู่ประหนึ่งตะวันจันทรา บนชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สีขาวหิมะสองข้างมีเผ่าพันธุ์น้ำประเภทเจียวหลงขดตัวอยู่นับไม่ถ้วน ล้วนขดตัวอยู่เหมือนงู กายธรรมของชุยตงซานหลุบตาลงมองอู๋ซวงเจี้ยง น้ำเสียงเหมือนคนพูดคุยเรื่องทั่วไป ทว่าเสียงกลับดังราวฟ้าคำราม ราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์กรมสายฟ้าที่รัวกลองเต็มแรง เพียงแต่ว่าเนื้อหาถ้อยความกลับเป็นชุยตงซานมากแล้ว “เจ้าถามบิดา บิดาจะไปถามใครเล่า?”
อู๋ซวงเจี้ยงเงยหน้าขึ้น “หากอาจารย์ชุยยังก่อกวนแบบนี้อีก ข้าคงจะผิดหวังต่อตัวซิ่วหู่อย่างมากแล้ว”
ชุยตงซานเงื้อฝ่ามือตบฉาด
อู๋ซวงเจี้ยงส่ายหน้า สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พอจะเข้าใจความลี้ลับของภาพดวงดาวนี้ได้คร่าวๆ แล้ว จึงคิดว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป หมายจะไปดูภาพค้นภูเขาด้านนอกบ้างแล้ว
ดังนั้นชายแขนเสื้อจึงมีกระบี่สี่เล่มพุ่งออกมา ล้อมวนอยู่รอบกาย กระบี่ยาวสี่เล่ม ปลายกระบี่แยกกันหันไปยังสี่ทิศ
เต้าจ้าง ไท่ป๋าย ว่านฝ่า เทียนเจิน
แม้ว่าจะเป็นกระบี่จำลองสี่เล่ม ปณิธานกระบี่ยังมีความต่างจากกระบี่ที่เจ้าของกระบี่เซียนทั้งสี่เล่มตัวจริงอย่างอวี๋โต้วเต๋าเหล่าเอ้อ ซุนไหวจงหรือป๋ายเหย่ เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ และหนิงเหยาพกอยู่บ้าง ทว่าสามารถสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ ในหลายๆ ใต้หล้าก็มีเพียงอู๋ซวงเจี้ยงคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ปราณกระบี่ที่เปี่ยมล้นไปทั่วฟ้าดินนั้นก็ยิ่งไม่ใช่ของปลอม
ราวกับว่ากระบี่เซียนมารวมตัวกันอีกครั้งซึ่งเป็น ‘ผลงานแท้จริงชิ้นถัดไป’ บนโลก ยิ่งใหญ่ตระการตาน่าชื่นชม
อู๋ซวงเจี้ยงเพียงแค่ชี้ไปง่ายๆ หนึ่งทีก็จิ้มกายธรรมของชุยตงซานให้ทะลุเป็นรูได้
กระบี่ทั้งสี่เปล่งวูบแล้วหายไป
ฟ้าดินเมล็ดงาจึงแหลกสลายไปนับแต่นี้
ถึงขั้นที่ว่าเด็กหนุ่มชุดขาวไม่มีโอกาสเก็บภาพค่ายกลที่พังยับเยินกลับไปด้วยซ้ำ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าชุยตงซานไม่ได้คิดว่าจะสามารถเก็บกลับไปได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
มาถึงฟ้าดินเล็กแห่งที่สอง
คือตำราไท่ผิงภาพค้นภูเขาของเจียงซ่างเจิน
ไม่ค่อยเหมือนกับภาพค้นภูเขาที่แพร่หลายที่สุดบนโลกมนุษย์สักเท่าไร ตำราไท่ผิงเล่มนี้ เป้าหมายที่แม่ทัพเทพจับตัวมาจากการค้นภูเขาทั่วทุกทิศ ส่วนใหญ่ล้วนมีรูปโฉมเป็นมนุษย์ ในบรรดานั้นยังมีสตรีเรือนกายอรชรอ้อนแอ้นที่หน้าซีดเผือดเพราะตกใจกลัวอยู่หลายคน กลับเป็นแม่ทัพเทพที่ในมือของแต่ละตนผูกห่วงทองเอาไว้ที่รูปโฉมดุร้ายน่ากลัวอย่างมาก ไม่เหมือนมนุษย์สักเท่าไร
รอกระทั่งอู๋ซวงเจี้ยงเข้ามาในค่ายกลค้นภูเขาแห่งนี้ ในฟ้าดินเล็กภาพค้นภูเขา ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือคนกันเองก็ไม่มีการเข่นฆ่าการวิวาทใดๆ เกิดขึ้นอีก พวกมันพากันบินทะยานอกมาจากภูเขา กรูกันออกมา ต่างคนต่างร่ายวิชาอภินิหาร ใช้เวทคาถามากมายนับหมื่นอย่างทุ่มเข้าใส่อู๋ซวงเจี้ยงคนเดียวอย่างบ้าคลั่ง
จิตของอู๋ซวงเจี้ยงขยับเล็กน้อย กระบี่จำลองทั้งสี่เล่มก็พุ่งห่างไปไกลในชั่วพริบตา ไปลอยอยู่สี่ทิศของฟ้าดิน จุดที่ปลายกระบี่ของกระบี่ทั้งสี่เล่มชี้ไป แสงกระบี่เปล่งประกายจ้า ราวกับเสาสี่ต้นที่สูงทะลุฟ้าตั้งตระหง่านอยู่สี่ทิศของฟ้าดิน
จากนั้นเขาก็คีบยันต์ออกมาสองแผ่น โยนออกไปเบาๆ ข้างกายก็มีสตรีสวมเสื้อคลุมจิ้งจอกสีขาวคนหนึ่งปรากฏกาย บุคลิกองอาจผึ่งผาย สวมรองเท้าเฟยอวิ๋นคู่หนึ่ง ทำมาจากผ้าต่วนเสวียนหลิง ใช้เส้นไหมปักเป็นลายเมฆ อบย้อมด้วยเครื่องหอม กลิ่นอายหอมๆ จึงลอยอวลไปทั่วฝ่าเท้า นางเดินนวดนาดออกมา ดุจดั่งเซียนที่ยามก้าวเดินใต้ฝ่าเท้าก็ผุดเมฆขาว เรือนร่างเบาหวิวราวล่องลอย นางเพียงแค่ก้าวเดินก็มีเมฆขาวกลิ้งหลุนๆ ตามมา ระหว่างฟ้าดินก็อวลไปด้วยกลิ่นหอมประหลาด
จากนั้นก็มีเด็กหนุ่มรูปโฉมงดงามหล่อเหลาอีกคนหนึ่งปรากฏตัว ตรงเอวรัดเข็มขัดห่วงสีเหลือง ห้อยถุงใส่แผ่นหยกหนึ่งใบ เด็กหนุ่มเพียงแค่ยื่นมือมากดเข็มขัด ภูตผีตัวประหลาดนับไม่ถ้วนที่ถูกค้นออกมานอกภูเขาก็พากันถอยกลับเข้าไปในภูเขาด้วยตัวเอง รอกระทั่งเด็กหนุ่มยื่นมือไปหยิบแผ่นหยกออกมาจากในถุงแล้วโยนออกไปกลางอากาศ แม่ทัพเทพค้นภูเขาที่บนข้อมือสวมห่วงสีทองทุกตนก็เริ่มหยุดเท้าไม่เดินหน้าต่อ สุดท้ายถึงกับถอยหลังกลับไปช้าๆ
อู๋ซวงเจี้ยงเหลียวซ้ายแลขวา มองดูเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่รักเทพเซียนที่อยู่ข้างกายแล้วยิ้มบางๆ
ทางฝั่งของกระบี่จำลองเทียนเจิน เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งยืนห่างออกไปสิบกว่าลี้พยักหน้าเบาๆ ผ่อนลมหายใจออกมาน้อยๆ “ต้องเตือนอาจารย์แม่สักคำว่าอย่าออกกระบี่ง่ายๆ เด็ดขาด”
ภูตน้อยตนหนึ่งที่แอบดอดมาถึงที่นี่อย่างลับๆ ล่อๆ พยักหน้ารับอย่างแรง “รับมือได้ยากจริงๆ เทียบกับการฟาดฟันกับเผยหมิ่นแล้ว ประลองเวทคาถากับเจ้าตำหนักอู๋กลับน่ากลุ้มใจกว่ามากนัก”
กระบี่จำลองเล่มนั้นเปล่งแสงกระบี่วาบหนึ่งที เด็กหนุ่มชุดขาวก็ถูกผ่าเอว ส่วนภูตน้อยถูกตัดหัว
ผลคือขาสองข้างของเด็กหนุ่มชุดขาวกระโดดหนึ่งที ร่างก็ประกบติดกัน ฝ่ายภูตน้อยกวักมือหนึ่งครั้งก็เอาหัวมาวางกลับไว้บนบ่าได้
อู๋ซวงเจี้ยงประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ใช่ประหลาดใจเรื่องฝีมือของชุยตงซาน เพราะนั่นก็เป็นแค่ยันต์ที่มีจิตวิญญาณเท่านั้น คิดจะประกอบร่างจึงง่ายดาย ก็แค่กลเม็ดเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นเจียงซ่างเจินผู้นั้นที่เป็นจิตหยินออกจากร่างอย่างแท้จริง เหตุใดถึงไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย?
อู๋ซวงเจี้ยงคิดแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “อย่ามัวหลบๆ ซ่อนๆ อยู่เลย ไม่ว่าใครก็อย่าได้อยู่ว่าง”
เพิ่งจะขาดคำ
ในฟ้าดินเล็กสามแห่ง
ในฟ้าดินเล็กนกในกรง หนิงเหยามองเห็นเฉินผิงอันที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ คิ้วตาเบิกบานสดชื่น
ในสถานที่ไร้อาคมแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันที่กำลังรวบรวมลมหายใจทำสมาธิ วางกระบี่พาดขวางไว้บนหัวเข่าลืมตาขึ้น มองเห็นหนิงเหยาคนหนึ่ง
ส่วนเบื้องหน้าเจียงซ่างเจินกลับมีเด็กสาวเรือนร่างบอบบางดุจต้นหญ้าต้นหนึ่งปรากฏเพิ่มขึ้นมา
มีเพียงข้างกายร่างจริงของชุยตงซานเท่านั้นที่ไม่มีใครเพิ่มมา
อู๋ซวงเจี้ยงหัวเราะร่าเสียงดัง “ซิ่วหู่ตัวดี ไม่ทำให้คนผิดหวังจริงๆ เสียด้วย!”
……
ในโรงเตี๊ยม
เด็กชายผมขาวหน้าไร้สีเลือด ยืนเหม่อลอยอยู่บนม้านั่งยาวตลอดเวลา
เดิมทีนึกว่าหนิงเหยาเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาเจ็ดสิบแปดสิบปี มันก็จะหลบอยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้ากับหนิงเหยา จากนั้นก็จะไม่มีภัยร้ายใดๆ ตามมาอีกแล้ว ต่อให้ครั้งหน้าที่ประตูใหญ่ถูกเปิดออกอีกครั้ง ใต้หล้าทั้งหลายล้วนไปมาหาสู่กันได้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่มาท่องเที่ยวก็ไม่มีพันธนาการเรื่องขอบเขตอีก อย่างมากสุดก็ไปขอร้องหนิงเหยาหรือไม่ก็เฉินผิงอันล่วงหน้า ให้ได้ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในศาลบุ๋นแผ่นดินกลางอีกสักสองสามปี ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะหลบอู๋ซวงเจี้ยงผู้นั้นได้พ้น
หนึ่งคิดไม่ถึงว่าหนิงเหยาจะพาตนมายังใต้หล้าไพศาล สองคิดไม่ถึงว่าอู๋ซวงเจี้ยงจะถึงกับเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้ว สามคิดไม่ถึงว่าเขาจะถึงขนาดข้ามผ่านใต้หล้าแห่งหนึ่งมาจริงๆ ทั้งยังวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุม มารอคอยตนอยู่บนเรือข้ามฟากลำนี้นานแล้ว
พูดไปแล้วก็น่าขัน บนโลกนี้มีเพียงผู้ฝึกตนเท่านั้นที่หวาดกลัวจิตมาร ไหนเลยจะมีเหตุผลที่จิตมารหวาดเกรงผู้ฝึกลมปราณ?
มีเพียงอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำแหน่งสุ้ยฉูเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้นในข้อยกเว้น
อันดับแรกตอนที่อยู่คอขวดขอบเขตก่อกำเนิดเขาก็จงใจสร้างจิตมารขึ้นมาเป็นนาง หลังจากอู๋ซวงเจี้ยงเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบได้อย่างราบรื่นมากแล้ว พันปีต่อจากนั้นก็ค่อยๆ ใช้เวทลับหล่อหลอมจิตมารคู่รักอย่างนางที่ถูกเขากักขังไว้ในใจไปทีละนิด สุดท้ายอู๋ซวงเจี้ยงก็ใช้นางมาเป็นโอกาสพิสูจน์มรรคาของการเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่
อู๋ซวงเจี้ยงลุ่มหลงในรักเป็นความจริง แต่ความอำมหิตของเขากลับจริงยิ่งกว่า อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว ความดื้อรั้นถือทิฐิของอู๋ซวงเจี้ยงแทบจะสูงส่งใกล้เคียงกับมรรคกถาของเขาเลย
——