บทที่ 778.2 มอบของขวัญกลับคืน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ดังนั้นมันถึงได้พยายามหาโอกาสหนีออกมาจากกรงขังในห้องหัวใจนั้นอย่างยากลำบาก สุดท้ายติดตามนักพรตของอารามเสวียนตูใหญ่คนนั้นเดินทางไกลไปเยือนอุตรกุรุทวีปของใต้หล้าไพศาลด้วยกัน หลังจากนั้นก็ได้รับอิสระตามข้อตกลงที่ทำร่วมกัน ตลอดทางก็คอยสับเปลี่ยนสถานที่ไปอย่างต่อเนื่อง กว่าจะหาที่พักพิงให้ตัวเองได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็คือคุกแห่งนั้นที่เฒ่าหูหนวกของกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นผู้ดูแล มองดูเหมือนถูกพันธนาการ แต่แท้จริงแล้วสำหรับมันก็คือฟ้าดินที่อิสระเสรีซึ่งล้ำค่าหาได้ยากอย่างถึงที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ต้องมีความกังวลถึงชีวิต แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อเทียบกับการอยู่ไม่สู้ตายอย่างตอนที่ตกอยู่ในน้ำมือของอู๋ซวงเจี้ยงแล้ว อยู่ในคุกแห่งนั้นสามารถด่าเฒ่าหูหนวกได้ ตอนที่อุดอู้เบื่อหน่ายก็ยังเป็นฝ่ายไปขอกระบี่จากสิงกวานให้แทงมาสองสามที ได้พูดคุยกับแม่นางน้อยเหนี่ยนซินสองสามประโยค บางครั้งยังสามารถหาเรื่องสนุกทำกับเซียวสวิ้นได้ด้วย แล้วยังได้ไปหยอกล้อพวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่สภาพอนาถกว่าตนเล่น เทวบุตรมารนอกโลกตนนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้น่าสังเวชถึงเพียงนั้นอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันยังสามารถอาศัยช่องว่างหรือรูโหว่ในสภาพจิตใจของเผ่าปีศาจไปชื่นชมทัศนียภาพต่างๆ อย่างเต็มอิ่มคล้ายได้ท่องเที่ยว ใช้สายตาของมันมองขุนเขาสายน้ำยิ่งใหญ่งดงามทั่วใต้หล้าเปลี่ยวร้าง พลิกค้นหาเรื่องน่าสนใจที่มีมากมายนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง

“ไม่ต้องกลัว”

เผยเฉียนจิบเหล้าหมักข้าวเหนียวหนึ่งอึก ลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อยที่อยู่ข้างกาย เอ่ยเสียงเบาว่า “หากกลัวจริงๆ ก็ไม่เป็นไร ดื่มเหล้าให้เมาหลับไปก็ได้แล้ว พอตื่นขึ้นมาก็จะได้พบอาจารย์พ่ออาจารย์แม่แล้ว”

โจวหมี่ลี่ยกมือสองข้างขึ้นลูบใบหน้าอย่างสะเปะสะปะ พยักหน้ารับแรงๆ สองมือประคองยกถ้วยขาวแล้วดื่มรวดเดียวหมด น่าเสียดายที่ถ้วยเหล้าเล็กเกินไป เหล้าหมักกาหนึ่งยังเหลือเยอะอย่างเห็นได้ชัด ต้องเปลืองแรงไม่น้อยกว่าจะดื่มเหล้าหมักข้าวเหนียวกาหนึ่งหมด ช่วยอะไรไม่ได้ก็อย่าเพิ่มความวุ่นวาย นี่คือกุญแจสำคัญอันดับหนึ่งในการออกท่องยุทธภพของโจวหมี่ลี่

เผยเฉียนยื่นกาเหล้าของตัวเองไปให้ หมี่ลี่น้อยจึงดื่มเหล้าถ้วยแล้วถ้วยเล่าต่ออีกครั้ง

เด็กชายผมขาวเหลือบมาเห็นภาพนี้ก็หลุดหัวเราะพรืด เพียงแต่ว่ารอยยิ้มค่อนข้างจะขมขื่น นั่งลงบนโต๊ะม้านั่งยาว กำลังจะเปิดปากพูด เล่าให้พวกนางฟังถึงความร้ายกาจของอู๋ซวงเจี้ยงผู้นั้น

เผยเฉียนกลับส่งสายตามาให้ เด็กชายผมขาวจึงเข้าใจได้ในพริบตา เดิมก็มีความละอายใจอยู่ก่อนแล้ว จึงฝืนนิสัยตัวเองหุบปากไม่พูดอะไร

รอกระทั่งแม่นางน้อยชุดดำส่งเสียงเรอดังเอิ้ก ฟุบตัวลงบนโต๊ะ หลับสนิทหมดสติไป

เด็กชายผมขาวถึงได้ถอนหายใจโล่งอก “หนิงเหยาและเฉินผิงอัน ข้ารู้ถึงความสามารถของพวกเขาดี รู้ว่าพวกเขาร้ายกาจมาก แต่รับมือกับคนผู้นั้นกลับยังไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าข้าพูดจายุแยง แต่เป็นเพราะไม่มีโอกาสจะชนะสักนิดจริงๆ ดังนั้นเมื่อครู่นี้เฉินผิงอันไม่ส่งตัวข้าออกไป อาจารย์พ่อของเจ้าก็ช่างโง่จริงๆ”

มันยื่นมือออกมาคว้าเหล้าหมักกุ้ยฮวากาหนึ่ง แหงนหน้ากระดกดื่มหนึ่งอึก เช็ดปากแล้วทอดถอนใจเฮือกๆ ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าคือ…จิตมารของคนหนุ่มคนเมื่อครู่นี้ ขอบเขตนับว่าพอใช้ได้ ขอบเขตบินทะยานกระมัง เอาเป็นว่าเรื่องพวกนี้ข้าล้วนมองออกก็แล้วกัน แต่จิตมารอย่างข้า มีชีวิตตกอับอย่างมาก ข้าเองก็ไม่ใช่อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊ออะไร ไม่อย่างนั้นข้าก็คงหลอมตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตแปดตัวออกมาได้แล้ว เพราะโชคไม่ดี ชีวิตถึงได้เต็มไปด้วยอุปสรรคไม่ราบรื่น! พวกสหายจิตมารนับพันหมื่นต้องมาขายหน้าเพราะข้าแล้ว เฮ้อ ต้องโทษบรรพจารย์อิ่นกวานที่ตั้งชื่อให้กับภูเขาบ้านตนเช่นนั้น ตั้งชื่อตามแต่ใจเกินไปแล้ว หากเปลี่ยนมาเป็นภูเขาเต๋ออี้ (ภาคภูมิใจ/สมปรารถนา) อะไรนั่น คาดว่าเวลานี้คงเป็นข้าที่ได้รังแกคนผู้นั้นแล้ว”

พูดถึงเรื่องที่ทำให้เสียใจ ก็มีเพียงดื่มสุราดับทุกข์เท่านั้น

มันไม่เคยกล้าเรียกชื่ออู๋ซวงเจี้ยงออกมาตรงๆ ไม่เพียงแต่กริ่งเกรงถึงข้อพิถีพิถันแห่งขุนเขาสายน้ำบางอย่าง ที่มากกว่านั้นยังเป็นความหวาดเกรงอย่างหนึ่งที่ออกมาจากใจจริง เห็นได้ชัดว่าเทวบุตรมารนอกโลกตนนี้หวาดกลัวเจ้าตำหนักสุ้ยฉูผู้นั้นอย่างแท้จริง

เผยเฉียนกระจ่างแจ้งในบัดดล ในเมื่อเป็นจิตมารของคนผู้นั้น ก็แสดงว่าคนผู้นั้นมาทวงหนี้ถึงบ้านสินะ?

เกี่ยวกับตำหนักสุ้ยฉู หลังจากที่สงครามครั้งหนึ่งในเกราะทองทวีปปิดฉากลง อวี้เจวี้ยนฟูก็เคยพูดถึง เผยเฉียนเพียงแค่ฟังเป็นเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกเหมือนฟังตำราสวรรค์

เพียงแต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าตำหนักผู้นั้นจะเดินออกมาจากตำรา อีกทั้งยังเป็นปรปักษ์กับอาจารย์พ่อแบบที่ต้องแบ่งเป็นตายกันด้วย

เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นดึงจิตมารออกมาได้แล้ว ตามหลักแล้วนี่ก็คล้ายการสังหารสามอสุภะ สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้วคือเรื่องงดงามที่ต่อให้ขอร้องก็มิอาจได้มาครองไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงต้องดึงดันอยากจะเก็บจิตมารกลับไปด้วย?

เผยเฉียนจ้องเทวบุตรมารนอกโลกตนนี้เขม็ง

“แม่นางน้อย เจ้ารู้สึกว่าข้าจะต้องเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะให้กับอาจารย์พ่อของเจ้าหรือ? ไร้เดียงสาไปหน่อยหรือไม่? อาจารย์พ่อของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือว่า หลักการเหตุผลและความแน่นอนคือศัตรูคู่อาฆาตคู่หนึ่งที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย ระหว่างสองอย่างนี้จึงกลัวการพยายามใกล้ชิดสนิทสนมของแต่ละฝ่ายมากที่สุด?”

มันยื่นนิ้วชี้มาที่ตัวเอง ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เอ่ยประโยคที่เป็นความจริงสักคำ จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า ความสามารถของคนผู้นั้น ในอดีตตอนที่ข้าหนีออกมาจากตำหนักสุ้ยฉู เขามีความสามารถแค่เจ็ดแปดส่วนเท่านั้น อีกทั้งล้วนเป็นแค่กิ่งก้านปลายแถว ทักษะประจำตัวของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าไม้ตายก้นกรุ ได้ถูกเขาหล่อหลอมจนหมดสิ้นนานแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เทวบุตรมารนอกโลกนอกจากอยู่ฟ้านอกฟ้าที่จะเป็นดั่งปลาได้น้ำแล้ว พอออกมาจากจิตใจของผู้ฝึกตน มรรคกถาบนร่างย่อมถูกหักลบไปมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ ให้ข้าไปรังแกคนที่ขอบเขตไม่สูงอย่างผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ ง่ายมาก หากอีกฝ่ายอาละวาดก่อคลื่นลมมรสุมก็สามารถถูกข้าเล่นงานจนตายได้ง่ายๆ แต่หากจะพูดถึงเซียนเหรินที่จิตแห่งมรรคาแข็งแกร่งทนทานกลับจะเป็นปัญหาแล้ว ส่วนขอบเขตบินทะยาน? ยกตัวอย่างเช่นเจ้ารู้สึกว่าฮว่อหลงเจินเหรินเปิดห้องหัวใจ เปิดประตูต้อนรับแขก ข้าจะกล้าเข้าไปหรือ? แน่นอนว่าย่อมไม่กล้า ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ของเฉินผิงอันไม่ได้ลากข้าเข้าไปเกี่ยวข้อง ถือเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดแล้ว”

มีอยู่ประโยคหนึ่งที่มันไม่ได้พูด ปีนั้นตอนที่อยู่ในสภาพจิตใจของเฉินผิงอัน อันที่จริงมันเคยเจอกับความยากลำบากมาก่อน ต้องถูก ‘เฉินผิงอัน’ บางคนลากมาพูดคุยด้วย เท่ากับว่าต้องทนฟังหลักการเหตุผลอยู่นานหลายปีเต็ม

มันมองแม่นางน้อยชุดดำที่นอนหลับกรนครอกๆ แล้วจึงหันมามองเผยเฉียนอีกที ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาหมดหนึ่งกาแล้วก็หยิบเหล้าที่เหลืออีกแค่กาเดียวบนโต๊ะมา “แต่ก็ต้องขอบคุณแม่นางน้อยอย่างพวกเจ้าสองคน ต่อให้มรสุมครั้งนี้จะเกิดขึ้นมาเพราะข้า เจ้าแค่มีความขุ่นเคืองเล็กน้อยต่อข้าซึ่งเป็นความรู้สึกทั่วไปของคน ไม่ได้มีความเกลียดแค้นอะไร นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจมาก ขนบธรรมเนียมบ้านของเฉินผิงอันดีจริงๆ”

เผยเฉียนสามารถมองทะลุจิตใจคนใด มันที่เป็นเทวบุตรมานอกโลกขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งก็ทำได้เช่นเดียวกัน

มันถามว่า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงได้ยินดีติดตามอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน?”

เผยเฉียนพยักหน้า “เรื่องที่อาจารย์พ่อของข้ารับปากเจ้าไปแล้ว จะต้องทำได้แน่นอน”

มันพยักหน้า แต่แล้วก็ส่ายหน้าอีก “เจ้าพูดถูกแค่ครึ่งเดียว”

ยังมีอีกครึ่งหนึ่ง นั่นคือในสายตาของมัน อิ่นกวานหนุ่มแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่เหมือนคนคนหนึ่งมากเกินไป ทำให้มันทั้งกังวลใจ ทั้งวางใจได้ในขณะเดียวกัน

อิ่นกวานหนุ่มเหมือนอู๋ซวงเจี้ยง เหมือนมาก เหมือนเกินไปแล้ว! ในการเลือกของหลายๆ เรื่อง เฉินผิงอันก็คืออู๋ซวงเจี้ยงตอนยังหนุ่มโดยแท้

นอนฟุบตัวบนโต๊ะเลียนแบบหมี่ลี่น้อยผู้นั้น เด็กชายผมขาวยกมือสองข้างขึ้น ห้านิ้วงอเป็นตะขอคล้ายหวีสองด้าม เกาหัวสางผมครั้งแล้วครั้งเล่า พลางพูดพึมพำกับตัวเองว่า “หลบก็หลบไม่พ้น หนีก็หนีไม่รอด จะทำอย่างไรดีนะ”

เผยเฉียนเอ่ย “ดูเหมือนว่าในช่วงเวลาที่ไม่อาจทำอะไรได้ ก็ได้แต่ต้องรอดูไปเท่านั้น”

“ก็ถูกนะ”

รอยยิ้มของมันค่อยๆ ผลิบาน เงยหน้าขึ้นถามว่า “ตอนที่เดินทางผ่านภูเขาห้อยหัว เจ้าก็ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยเหมือนอาจารย์พ่อของเจ้าในอดีตหรือ?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ

มันชำเลืองตามองดวงตาคู่นั้นของเผยเฉียนแล้วก็รู้สึกสนเท่ห์เล็กน้อย “นังหนูอย่างเจ้าผู้นี้ ตอนนั้นมองความประหลาดอะไรไม่ออกเลยหรือ?”

เผยเฉียนส่ายหน้า “ก่อนจะไปที่โรงเตี๊ยม ศิษย์พี่เล็กเคยเตือนข้าว่าห้ามจับจ้องใครที่นั่นมากเกินไป”

มันฟุบตัวกลับลงไปบนโต๊ะอีกครั้ง สองมือกางออก เช็ดถูโต๊ะเบาๆ พูดอย่างอ่อนระโหยว่า “เถ้าแก่ที่มองดูเหมือนยังหนุ่มผู้นั้น อันที่จริงเป็นคนเฝ้าปีของตำหนักสุ้ยฉู รู้แค่ว่าแซ่ป๋าย แล้วก็ไม่มีชื่อ สรุปก็คือเรียกเขาว่าเสี่ยวป๋ายก็แล้วกัน ตอนต่อสู้ห้าวหาญเป็นอย่างยิ่ง อย่าเห็นว่าเขายิ้มตาหยี ไม่ว่ากับใครก็ล้วนมีท่าทีเป็นมิตร ยามที่โมโหขึ้นมากลับอารมณ์เดือดปะทุฟ้าเลยล่ะ ในอดีตตอนที่อยู่บ้านเกิดของข้า เขาเคยลากเอาบรรพจารย์ขอบเขตเซียนเหรินของสำนักอื่นมาคนหนึ่งแล้วบิดหัวของอีกฝ่าย ขว้างทิ้งไปฟ้านอกฟ้า ไม่ว่าใครห้ามก็ไม่เป็นผล กลุ่มคนที่อยู่ข้างกายเขา แต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา ต่างก็พุ่งเป้ามาที่ข้า เพื่อจะได้จับข้ากลับไปรับความดีความชอบ ข้าเดาเอาว่าก่อนที่กำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัวจะบินทะยานจากไปด้วยกัน เสี่ยวป๋ายต้องเคยมาหาเฉินผิงอันแน่ ตอนนั้นตกลงกันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปเยือนใต้หล้าไพศาลด้วยตัวเองหรอก”

โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยที่เปิดกิจการอยู่ในภูเขาห้อยหัวมาสองสามร้อยปี เถ้าแก่หนุ่มก็คือคนเฝ้าปีของตำหนักสุ้ยฉูคนนั้น ชื่อจริงไม่เป็นมงคล นามทางเต๋าก็คล้ายฉายาอย่างหนึ่ง ตั้งอย่างขอไปทียิ่ง ชื่อว่า ‘เสี่ยวป๋าย’

อีกสี่คนที่เหลือต่างก็เป็นจิตหยินที่ออกเดินทางไกลไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง แต่ว่าก่อนหน้านั้นได้ติดตามภูเขาห้อยหัวกลับคืนสู่สำนักและบ้านเกิดของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว

มังกรในถ้ำจางหยวนป๋อ อวี๋โฉวราชาบนภูเขา ล้วนเป็นเซียนเหริน เด็กสาวที่ใช้นามแฝงว่าเหนียนฉวงฮวาและสตรีโตเต็มวัยในโรงเตี๊ยมที่ใช้ชื่อว่าเหนียนชุนเถียวต่างก็เป็นขอบเขตหยกดิบ

ก่อนที่อู๋ซวงเจี้ยงจะลุกผงาดขึ้นมา ตำหนักสุ้ยฉูของใต้หล้ามืดสลัวก็เป็นแค่พรรคตระกูลเซียนรั้งท้ายของลำดับรองเท่านั้น อย่าว่าแต่อารามเสวียนตูใหญ่เลย ต่อให้เป็นกองกำลังลัทธิเต๋าลำดับหนึ่งอย่างภูเขาเซียนจ้าง หากดึงเอาบรรพจารย์ผู้คุมกฎคนหนึ่งออกมาก็สามารถทำให้ตำหนักสุ้ยฉูล่มสลายได้ในชั่วพริบตา

ดังนั้นอู๋ซวงเจี้ยงจึงอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวเปลี่ยนตำหนักสุ้ยฉูให้กลายมาเป็นลัทธิเต๋าลำดับต้นๆ ที่ทัดเทียมกับอารามเสวียนตูใหญ่ได้ ระหว่างนี้มีบุญคุณความแค้นนับไม่ถ้วน สถานการณ์อันตรายล่อแหลม ไม่ว่าจะคนหรือเรื่องราวใดๆ สุดท้ายก็ล้วนถูกอู๋ซวงเจี้ยงสังหารจนสิ้นซาก

อีกทั้งการถ่ายทอดมรรคาสืบทอดกิจการของอู๋ซวงเจี้ยงก็ยิ่งเป็นเอกในใต้หล้า ในตำหนักสุ้ยฉู ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนทุกคนล้วนเป็นผลลัพธ์จากการที่เขาถ่ายทอดมรรคกถาจากมือต่อมือให้ทั้งสิ้น

วิชาเลี้ยงมังกรของจางหยวนป๋อ วิชาอภินิหารหลอมขุนเขาของอวี๋โฉว เวทกระบี่ของลิ่งหูชุ่ยเหลียนคู่รักของอวี๋โฉว บุตรสาวสายตรงที่มีชื่อทางเต๋าว่าเติงจู๋ การตีกลองสวรรค์ เปลวเทียนเผาไหม้ส่องสว่างทั่วทุกหนแห่ง ตีกลองขับไล่ผีแห่งโรคระบาดของนาง ก็ยิ่งเป็นวิชาลับไม่แพร่งพรายของศาลบรรพจารย์ตำหนักสุ้ยฉู

ไม่เพียงแต่ ‘บรรพจารย์’ ของตำหนักสุ้ยฉูที่ลำดับอาวุโสสูง ขอบเขตสูงพวกนี้เท่านั้น ลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ของลูกศิษย์ อู๋ซวงเจี้ยงก็ล้วนยินดีถ่ายทอดมรรคกถาให้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ลงมือทำด้วยตัวเอง มีความอดทนดีเยี่ยม

ก็ไม่แปลกที่ทั้งบนและล่างของตำหนักสุ้ยฉูจะบูชาอู๋ซวงเจี้ยงประหนึ่งทวยเทพจากใจจริง

ในใต้หล้ามืดสลัว สำนักที่ผู้ฝึกตนทั้งสำนักกล้าไม่เห็นหัวป๋ายอวี้จิงนับจากในใจไปจนถึงการลงมือทำเรื่องต่างๆ ก็มีเพียงอารามเสวียนตูของซุนไหวจงและตำหนักสุ้ยฉูของอู๋ซวงเจี้ยงเท่านั้น

ฝ่ายหนึ่งหากลงเขาไปหาประสบการณ์ แล้วสามารถวางแผนเล่นงานนักพรตบางคนของป๋ายอวี้จิงได้ พอกลับไปถึงอารามบ้านตัวเอง ก็จะต้องจุดประทัดเฉลิมฉลองกันสักหน่อย

อีกฝ่ายหนึ่งคือหากเกิดความขัดแย้งกับนักพรตของป๋ายอวี้จิงระหว่างที่ไปท่องเที่ยว ล้วนไม่คิดจะเสียดายชีวิต หากไม่แบ่งเป็นตายหรือสะพานแห่งความเป็นอมตะของฝ่ายหนึ่งไม่ขาดสะบั้น ก็ไม่ถือว่าเป็นการประลองฝีมือกัน ถึงอย่างไรในตำหนักสุ้ยฉูก็มีตะเกียงแห่งชะตาชีวิตอยู่คนละดวง มังกรในถ้ำจางหลงป๋อก็เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง คู่รักของอวี๋โฉวราชาบนภูเขาก็ยิ่งเคยตายมาแล้วสองครั้ง ตามหลักแล้วยากมากที่จะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้ แต่มีอู๋ซวงเจี้ยงอยู่จึงไม่ใช่ปัญหา การฝึกตนต่อจากนั้นก็แค่ต้องเริ่มต้นใหม่ ตำหนักสุ้ยฉูจะทุ่มวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินจำนวนนับไม่ถ้วนให้กับพวกเขา และยิ่งมีอู๋ซวงเจี้ยงคอยเฝ้าด่านให้ตัวเอง คอยชี้แนะคลี่คลายปัญหา บนเส้นทางของการฝึกตนก็ยังคงบุกไปข้างหน้าเหมือนผ่าลำไม้ไผ่ได้อยู่ดี

สายเซียนกระบี่ของอารามเสวียนตูใหญ่ ได้รับการยอมรับจากคนของใต้หล้ามืดสลัวว่ายามที่ต่อยตีกับคนอื่นมีความสามัคคีกันมากที่สุด

ส่วนผู้ฝึกตนของตำหนักสุ้ยฉูก็ได้รับการยอมรับว่าลงมือหนักที่สุด อำมหิตที่สุด เพราะว่าไม่เสียดายชีวิตของตัวเองมากที่สุด

พวกอันธพาลในหมู่ชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคนบุ่มบ่ามที่อายุยังน้อย ชอบทำอะไรโดยใช้อารมณ์ที่สุด ยามลงมือก็จะไม่รู้จักหนักเบามากที่สุด ขอแค่มอบดาบเล่มหนึ่งให้เขา ไม่ต้องดื่มเหล้าปลุกความกล้าด้วยซ้ำ หากเจอคนที่ไม่ถูกชะตาก็สามารถจ้วงมีดแทงหรือฟันฉับๆ เอาให้ตาย ไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาแม้แต่น้อย ดังนั้นตำหนักสุ้ยฉูจึงมีคำเรียกขานว่าบนภูเขามี ‘รังเด็กหนุ่ม’

มันดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาสองกาของเฉินผิงอันและหนิงเหยาจนหมด แล้วก็เริ่มแทะเมล็ดแตง ถามชวนคุยว่า “คนคนหนึ่ง เรียนอะไรก็เหมือนไปหมด ร้ายกาจหรือไม่เล่า?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล แน่นอนว่าต้องร้ายกาจอย่างมาก เพราะว่าอาจารย์พ่อของตนก็เป็นเช่นนี้

มันถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นหากมีคนที่ไม่ว่าเรียนอะไรก็เป็นอย่างนั้นล่ะ”

เผยเฉียนคิดแล้วก็ตอบว่า “น่ากลัวมาก”

แต่จากนั้นเผยเฉียนก็พูดทันทีว่า “หากเป็นเช่นนี้ บนเส้นทางการฝึกตนย่อมง่ายที่จะเกิดความขัดแย้งบนมหามรรคากับคนอื่นกระมัง?”

เรียนอะไรก็เหมือนอย่างนั้น ปัญหาไม่ใหญ่ แต่หากเรียนอะไร ‘ก็เป็น’ อย่างนั้น การฝึกตนบนมหามรรคาก็เท่ากับว่าละเมิดกฎเกินไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่นวิชาลับไม่แพร่งพรายของศาลบรรพจารย์บ้านคนอื่น หรือวิชาอภินิหารของกระบี่บินผู้ฝึกกระบี่?

มันกลอกตามองบน “กลั้นใจยอมรับว่าตัวเองซวย ยังนับว่าดี น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง อย่างมากก็เดินกันไปคนละเส้นทาง เขาเองก็จะเปลี่ยนวิธีมาชดเชยให้สองสามส่วน แต่ก็ต้องดูที่อารมณ์ของเขา จะคิดบัญชีกันอย่างไร จะชดเชยกันอย่างไร ต้องให้เขาเป็นคนตัดสินใจ คนอื่นได้แต่ทนรับเอาไว้ ส่วนพวกคนที่ไม่เชื่อ คิดจะงัดข้อกับเขาให้ถึงที่สุดก็ล้วนตายกันไปหมดแล้ว ห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง ในประวัติศาสตร์ก็มีอยู่สองคนที่ถูกเขาลากลงมาจากตำแหน่ง คนหนึ่งอาศัยเรี่ยวแรง อาศัยมรรคกถา คนหนึ่งอาศัยแผนการ อาศัยจิตแห่งมรรคา ดังนั้น…ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเต๋าเหล่าเอ้อของป๋ายอวี้จิงจึงย่ำแย่อย่างมาก”

มันเพิ่มน้ำหนักเสียงเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “แย่มาก ทั้งสองฝ่ายขาดก็แค่ไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาตที่เจ้าตายข้ารอดเท่านั้น ขอแค่พบเจอกันโดยบังเอิญก็จะต้องตีกันอย่างแน่นอน”

เผยเฉียนถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ทำไมเจ้าถึงกลัวเขาขนาดนี้?”

มันยื่นมือออกมา “เอามาบ้วนปากอีกสักหน่อยสิ”

เผยเฉียนหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ วางไว้บนโต๊ะแล้วผลักไปให้

มันดื่มหมดในคำเดียวแล้วก็ถอนหายใจ “ยังคงเพิ่มความกล้าได้ไม่มากพอ ไม่กล้าพูดหรอก”

เผยเฉียนเอ่ย “ไม่อยากเล่าก็ช่างเถอะ”

มันเอ่ยทอดถอนใจว่า “เฉินผิงอันสอนเจ้าได้ไม่เลวเลยนะ”

คนผู้หนึ่งลมปราณใสสะอาดหรือลมปราณขุ่นมัว อันที่จริงก็ต้องดูว่ามีจิตใจที่กว้างขวางเปี่ยมเมตตาหรือไม่