ตอนที่ 3389 : ซุนหงอคง
ได้ยินคําพูดเป็นกังวลของต้วนหรูเฟิง ต้วนหลิงเทียนเองก็ได้แต่นิ่งเงียบไปเช่นกัน
เขาเองก็ยยอมเป็นห่วงความปลอดภัยของลี่หลัว มารดาเขาเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ปัจจุบัน ให้เขากังวลไปก็ไร้ประโยชน์ สิ่งที่สําคัญที่สุดคือรีบตระเวนไปยังระนาบเทว โลกต่างๆเพื่อตามหามารดาเขาให้เจอ
“ท่านพ่อ….ท่านไปคุยกับนางเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับต้วนหรูเฟิง
หลังได้ยินความกังวลของต้วนหรูเฟิง ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ที่นี่นานนัก อยากจะไปยังระนาบเทวโลกต่างๆเพื่อตามหามารดาเขาโดยเร็ว แถมยังมีลี่เฟย ต้วนเนี่ยนเทียนและคนอื่นๆอีก
พอกล่าวจบคํา ต้วนหลิงเทียนก็เดินจากไปทันที
ขณะที่เดินจากไป เขาก็เหลือบไปมองตี้เหวินอวี่ปราดหนึ่ง
ในแง่รูปโฉมแล้ว ตี้เหวินอวไม่ได้ด้อยไปกว่ามารดาของเขาเลย อีกทั้งฐานะของนางหากให้เทียบกับฐานะของบิดาเขาในอดีต เรียกว่านางก็คือตัวตนที่สูงส่งเกินเอื้อมถึง หากเป็นคนธรรมดาคงไม่มีใครคิดปฏิเสธนางแน่
แต่แน่นอนว่าหากเป็นคนธรรมดา นางเองก็ไม่น่าจะแลเหลียวเช่นกัน
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เดินออกไปจากลาน ปล่อยให้บิดาเขาคุยกับตี้เหวินอวี่เพียงลําพัง
ด้วยมีตี้อวิ๋นหลงกล่าว รวมถึงฐานะเขาในปัจจุบัน ไม่เว้นเมิ่งหลัวที่มากับเขาด้วยแรงกดดันระดับนี้ ต่อให้ตี้เหวินอวไม่เต็มใจปล่อยบิดาเขาไปมากแค่ไหน นางก็จําต้องปล่อย!
เพราะตี้อวิ๋นหลงไม่มีทางปล่อยให้นางล่วงเกินพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน เพียงเพราะบุรุษคนเดียวแน่!
หลังต้วนหลิงเทียนจากไป เขาก็ย้อนกลับมายังลานแห่งหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ตี้อวิ๋นหลงกล่าวแนะไว้ว่าพวกเมิ่งหลัวจะมารอเขาที่นี่ พอมาถึงก็เห็นเมิ่งหลัวกําลังนั่งสนทนาเคล้าเสียงหัวเราะกับตี้อวิ๋นหลง โดยมีผู้เฒ่าหัวนั่งละเลียดชาอย่างเงียบๆอยู่ด้านข้าง เรื่องที่อีกฝ่ายคุยกันก็เป็นเรื่องราวในสมรภูมิ 9 ยมโลก
“ผู้อาวุโสทั้ง 2 ไม่ทราบในสมรภูมิ 9 ยมโลก มันมีรูปแบบเหมือนกับสมรภูมิอเวจีไหม?”
ต้วนหลิงเทียนมองถามเมิ่งหลัวกับตี้อวิ๋นหลงด้วยความสนใจ
“จะบอกว่าเหมือนมันก็เหมือนอยู่หรอก แต่จะว่าไปมันอันตรายกว่ากันเยอะ…”
ตี้อวิ๋นหลงยิ้มกล่าว “ทว่ายังต่างจากสมรภูมิอเวจีอยู่บ้าง เพราะในสมรภูมิ 9 ยมโลก มันไม่มีพื้นที่ส่วนกลางอย่างอเวจีหมื่นแปลงในสมรภูมิอเวจีที่ดึงดูดให้จอมราชันอมตะมารวมตัวกัน”
“อีกทั้งในสมรภูมิ 9 ยมโลก ก็ไม่มีค่ายกลมายาด้วย…”
พอได้ยินคําพูดดังกล่าวของตี้อวิ๋นหลง ต้วนหลิงเทียนก็หยีตาลงทันที เพราะเขาจับประเด็นสําคัญได้ “ไม่มีค่ายกลมายา? เช่นนั้นเรื่องแดนลับจะเป็นยังไง?”
เพราะเท่าที่ต้วนหลิงเทียนรู้ในสมรภูมิอเวจี การคงอยู่ของแดนลับต่างๆ ไม่อาจแยกจากค่ายกลมายาได้เลย…แต่ตอนนี้ตี้อวิ๋นหลงกลับบอกเขาว่าในสมรภูมิ 9 ยมโลกไม่มีค่ายกลมายา…
“แดนลับภายในสมรภูมิ 9 ยมโลกเป็นดั่งระนาบขนาดเล็กหรือระนาบอิสระทั้งหมด”
ตี้อวิ๋นหลงยิ้มกล่าว “นอกจากนั้นทางเข้าจะมีแค่ทางเดียวเท่านั้น…”
“ส่วนเรื่องที่ทางเข้าอยู่ไหน จักรพรรดิอมตะที่มีคุณสมบัติจะเข้าไป ก็จะได้รับการขึ้นนำจากเจตจํานงลึกลับเอง”
“ในสมรภูมิ 9 ยมโลก ก็มีเรื่องการเก็บคะแนนเหมือนๆกับสมรภูมิอเวจีเช่นกัน….ทว่าคําเรียกหานั้นจะค่อนข้างแตกต่างกัน และก็มีการจัดอันดับพลังฝีมืออย่างชี้ชัด”
“ในสมรภูมิอเวจีนั้น จะเรียกหาผู้เข้มแข็งที่ติดอันดับว่าแม่ทัพใช่หรือไม่ แล้วก็จะเรียกแม่ทัพระดับต่างๆตามจํานวนการทลายขีดจํากัด”
“หากทว่าในสมรภูมิ 9 ยมโลก…ผู้ที่มีพลังฝีมืออันดับต้นๆจะไม่ถูกเรียกหาว่าแม่ทัพอันใด แต่จักเป็นเทพสงครามแทน”
เทพสงคราม?
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายจ้าขึ้น
“ในสมรภูมิ 9 ยมโลก คนระดับจักรพรรดิอมตะมีเกลื่อนดั่งหมู่เมฆ หากคิดจะได้รับตําแหน่ง เทพสงครามล่ะก็อย่างน้อยๆพลังฝีมือต้องบรรลุถึงระดับจักรพรรดิอมตะสมญานาม”
“และอย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าถึงจะเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามก็ยังมีแบ่งแยกสูงต่ำ จักรพรรดิอมตะสมญานามที่อ่อนแอที่สุดในสมรภูมิ 9 ยมโลก จะถูกเรียกหาว่าเทพสงคราม 1 ดารา”
“จักรพรรดิอมตะสมญานามที่เหนือกว่านั้นขึ้นมาอีกระดับก็จะถูกเรียกหาว่า เทพสงคราม 2 ดารา…เหนือกว่านั้นอีกระดับก็จะเป็นเทพสงคราม 3 ดารา แล้วก็ไล่ไปเช่นนี้”
ตี้อวิ๋นหลงกล่าวอธิบายเสียงเรียบ
“ในระนาบเทวโลกทั้งหลาย…ผู้ที่จักขึ้นดํารงตําแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ได้ อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นเทพสงคราม 7 ดารา”
ได้ยินคําพูดของตี้อวิ๋นหลง ต้วนหลิงเทียนก็อดถามออกมาไม่ได้ “แล้วท่านกับผู้อาววุโสเมิ่งหลัวอยู่ในระดับใดหรือ?”
“ตอนนี้ข้าถือได้ว่าเป็นเทพสงคราม 6 ดาราและด้วยพลังฝีมือของเมิ่งหลัวในปัจจุบัน คิดจะรับตําแหน่งเทพสงคราม 6 ดาราก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เจ้านี่มันไม่ได้เข้าไปในนั้นนานแล้ว”
ตี้อวิ๋นหลงคลี่ยิ้ม
หลังจากได้ฟังเรื่องราวจากตี้อวิ๋นหลง กับเมิ่งหลัว ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบว่าในสมรภูมิ 9 ยมโลกนั้น พลังฝีมือของจักรพรรดิอมตะสมญานามได้ถูกแบ่งเป็นระดับต่างๆให้เข้าใจง่าย
ยิ่งไปกว่านั้นในระนาบเทวโลกทั้งหลาย เหล่าจักรพรรดิอมตะทั่วไปจะไม่ค่อยรู้ว่าจักรพรรดิ อมตะสมญานามที่แท้มีพลังฝีมือสูงต่ำกว่ากันแค่ไหน จะรู้กันก็แต่ในแวดวงจักรพรรดิอมตะสมญานามและจักรพรรดิอมตะที่อยู่ในขุมกําลังระดับสูงๆเท่านั้น ว่าความแข็งแกร่งของจักรพรรดิอมตะ สมญานามจะถูกวัดกันจากระดับเทพสงครามในสมรภูมิ 9 ยมโลก
“ในเผ่ากิเลนของข้าตอนนี้ มีเทพสงคราม 7 ดารา 2 คนแล้วก็เทพสงคราม 8 ดาราอีกคน….และเทพสงคราม 8 ดาราที่ว่าก็เป็นจักรพรรดิสวรรคคนปัจจุบันของว่านโซ่เทียน…สําหรับเทพ สงคราม 7 ดาราทั้ง 2 นั้นก็คือผู้อาวุโสสูงสุดกับผู้นําเผ่าคนปัจจุบัน”
ตี้อวิ๋นหลงกล่าว
“อาจารย์ของท่าน จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางเองก่อนที่จะถูกบีบให้เข้าสู่นรกอสุรา ก็จัดได้ว่าเป็นผู้ที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาเทพสงคราม 7 ดารา…ทว่าหลังกลับออกมาจากนรกอสุรา กลับฆ่า เฉินชิวชั่ว ที่เป็นเทพสงคราม 7 ดาราได้ง่ายๆ เช่นนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าอย่างน้อยๆความแข็งแกร่งก็ต้องบรรลุถึงระดับเทพสงคราม 8 ดาราแล้ว”
“แน่นอนว่าหากบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้วจริงๆ…ตําแหน่งเทพสงครามก็ไม่มีความหมายอันใดอีก เพราะแม้แต่เทพสงคราม 9 ดารา ก็ไม่ใช่ว่าจะสู้อาจารย์ท่านที่กลายเป็นเทพไปแล้วได้”
ท้ายที่สุดแล้ว เทพสงครามก็เป็นแค่ชื่อเรียกบอกระดับพลังฝีมือ ไม่ใช่มีคําว่า ‘เทพ’ แล้วจะบรรลุถึงขอบเขตเทพจริงๆ
หลังตี้อวิ๋นหลงกล่าวเล่าอะไรหลายๆอย่างให้ต้วนหลิงเทียนฟัง ก็เสมือนได้เปิดโลกทัศน์ให้ตัวนหลิงเทียน ทําให้เขาพึ่งรู้ว่าที่แท้จักรพรรดิอมตะสมญานามมีการแบ่งระดับกันละเอียดถึงขนาดนี้
“ผู้เฒ่าหั่ว…แล้วท่านล่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปถามผู้เฒ่าหัวที่นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆทันที
เพราะเท่าที่เขาเห็น พลังฝีมือของผู้เฒ่าหัวนับว่าเหนือกว่าจ้าววังเทียนฉือ โหยวเพิ่งอวี้ ซึ่งเป็นผู้นําขุมกําลังระดับสวรรค์พอสมควร กระทั่งโหยวเชิงอวไม่กล้าแม้แต่จะต่อกรกับผู้เฒ่าหั่วด้วยซ้ำ
“ข้าไม่เคยเข้าไปสมรภูมิ 9 ยมโลกเลย…”
ผู้เฒ่าหัวส่ายหัวไปมา พลางกล่าว “แต่หากจะให้วัดระดับความแข็งแกร่งของข้าจริงๆข้า ก็คงเป็นเทพสงคราม 5 ดาราระดับต้นๆกระมัง”
เทพสงคราม 5 ดารา
พลังฝีมือระดับนี้ เรียกว่าเหนือกว่าผู้นําขุมกําลังระดับสวรรค์ส่วนใหญ่แล้ว!
“พี่หัว ท่านก็ถ่อมตัวเกินไป…”
ตอนนี้เองเมิ่งหลัวที่ฟังอยู่ก็ส่ายยหน้าไปมาพลางกล่าว “พี่หั่ว อาศัยพลังท่านตอนนี้ หากให้ เข้าไปเสี่ยงโชคในสมรภูมิ 9 ยมโลกจริง อาศัยเทพสงคราม 6 ดาราทั่วๆไปยังสู้ท่านไม่ได้ด้วยซ้ำ ”
หลังได้ฟังทุกคนกล่าวกัน ต้วนหลิงเทียนก็มีความเข้าใจในการจัดแบ่งระดับพลังฝีมือของเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามมากขึ้น
อย่างจ้าววังเทียนฉือ โหยวเชิงอนั้น มันก็ถือว่าเป็นเทพสงคราม 5 ดารา ทว่าเป็นแค่เทพสงคราม 5 ดาราที่มีพลังฝีมือกลางๆเท่านั้น
สําหรับจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ กับจักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือก ถือว่าเป็นเทพสงคราม 4 ดารา
สําหรับครูเขาถือหล่างกับเหลยอิงนั้น จัดว่าเป็นเทพสงคราม 3 ดาราเท่านั้น
สําหรับจักรพรรดิอมตะมังกร กับจักรพรรดิอมตะเมฆดุริยะ เป็นแค่เทพสงคราม 2 ดารา
จักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกที่อ่อนด้อยกว่าใคร ก็เป็นแค่เทพสงคราม 1 ดาราเท่านั้น
‘ก็นะ…ถึงจะมีการแบ่งระดับพลังฝีมือเป็นเทพสงครามดาราต่างๆแล้ว แต่ในระดับเดีย วกันก็ยังมีสูงต่ำอีก เหมือนโหยวเชิงอวี่จ้าววังเทียนฉือนั่น ในบรรดาเทพสงคราม 5 ดารา พลัง มือของมันก็แค่กลางๆเท่านั้น จึงอ่อนด้อยกว่าผู้เฒ่าหัว ที่อาวุโสเมิ่งหลัวบอกว่าสมควรเป็น เทพสงคราม 6 ดาราในสมรภูมิ 9 ยมโลกแล้วมาก…’
ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักเรื่องราวได้กระจ่างมากขึ้น
“เทียนเอ๋อ”
ตอนนี้เองมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ดึงสติต้วนหลิงเทียนที่กําลังเหม่อให้กับมาอยู่กับร่องกับรอยทันที
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เห็นบิดาของเขา ต้วนหรูเฟิงก้าวอาดๆผ่านประตูทางเข้าลานมาโดยมี ตี้เหวินอวี่ หลานสาวที่ไม่ต่างอะไรจากลูกสาวแท้ๆของซื้อวินหลงเดินน้ำมา และสีหน้าของนาง ตอนนี้ก็แลดูดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย
“ท่านพ่อ…นี่ท่านไปกล่อมนางอย่างไรหรือ ไฉนข้ารู้สึกว่านางแลดูเปลี่ยนไปไม่น้อยเลยเล่า?”
เห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดสงสัยไม่ได้ ถึงกับส่งเสียงผ่านพลังไปถามไถ่บิดาโดยไม่รู้ตัว
ต้องทราบด้วยว่า ตอนที่เขาเดินจากมา สีหน้าของตี้เหวินอวนั้นไม่ค่อยจะสู้ดีนัก แววตาท่าทางของนางเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ เสมือนคนไม่อยากรับความเป็นจริง
ทว่าตอนนี้สีหน้าแววตานางไม่เป็นเหมือนคนไม่ยอมรับความจริงอีกแล้ว กระทั่งความไม่ยินยอมในแววตายังหายไปอีกด้วย
“ท่านพ่อ…”
ในขณะที่ตัวนหลิงเทียนกล่าวทักบิดา และเตรียมจะแนะนําผู้เฒ่าหั่วกับเมิ่งหลัวให้บิดารู้จักนั้นเอง
พลันมีเสียงแหลมดังสนั่นลั่นกึกก้องลงมาจากฟ้าสูง มันดังไม่ต่างอะไรกับฟ้าร้อง พาลให้ผู้คนหูอื้ออยู่บ้าง
“ตี้หงเฒ่า! เจ้าอยู่ไหม!”
“ถ้าอยู่ก็รีบออกมาฟาดปากกับท่านซุนเร็วๆ!”
เสียงดังลั่นแหลมเสียดหูด้วยถ้อยคําท้าตีท้าต่อยปานนักเลงนี้ ทําให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสียดแก้วหูอยู่บ้าง จนเมื่อโคจรพลังเซียนอมตะต้นกําเนิดแล้ว อาการถึงดีขึ้น
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกําลังงุนงงว่าใครมันกล้ามาตะโกนท้ารบเสียงดังลั่นถึงเผ่ากิเลน ตี้อวิ๋นหลงก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มแหยๆว่า “เจ้าลิงตัวแสบนั่นมาอีกแล้ว…ดูเหมือนครั้งนี้มันจะพกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋าว่าจะเอาชนะท่านผู้นําเผ่าได้…”
ตี้หงนั้น เป็นผู้นําเผ่าคนปัจจุบันของเผ่ากิเลน และเป็นยอดฝีมือระดับเทพสงคราม 7 ดารา
“ลิง? นอกจากนั้นวาจาดุดันท้าตีท้าต่อยยังมีน้ำเสียงคุ้นๆนั่นมัน หรือจะเป็นจักรพรรดิอมตะ เสมอฟ้าดิน ซุนหงอคง แห่งอ หวงเทียน?”
ลูกตาผู้เฒ่าหั่วหดเล็กลงเล็กน้อย เอ่ยถามตี้อวิ๋นหลงออกมาด้วยท่าทางหวาดๆอยู่บ้าง
“มิผิด เป็นราชาวานรผู้นั้นล่ะ”
ตี้อวิ๋นหลงพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “พี่หั่ว นี่ท่านรู้จักมันด้วยรึ?”
“กล่าวได้ว่าเป็นสหายเก่าที่รู้จักกันมานานพอดู…แต่พอดีข้าก็มิได้พบเจอมันหลายปี ไม่คิดเลยว่าวันนี้มันจักก้าวหน้าถึงขั้นสามารถประมือกับผู้นําเผ่ากิเลนได้แล้วเช่นนี้”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวจบก็ถอนหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน
ตี้หง ผู้นําเผ่ากิเลนเป็นเทพสงครามระดับ 7 ดารา เช่นนั้นอย่าว่าแต่ตัวมันเลย กระทั่งจักรพรรดิอมตะกร่างสวรรค์เมิ่งหลัว ที่ได้ชื่อว่าแม่ทัพสวรรค์อันดับ 1 ของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ก็ยังไม่ใช่คู่มือตี้หง
“พันปีก่อน มันประมือกับท่านผู้นําเผ่าคราหนึ่ง แต่ผลจบลงที่เสมอกัน”
สองตาตี้อวิ๋นหลงทอประกายจ้า “ทั้งๆที่พึ่งจะผ่านไปแค่พันปี แต่มันกลับมาเอ่ยท้าอีก ครั้งเช่นนี้…ไม่พ้นต้องประสบความก้าวหน้าอะไรมาแน่ ถึงได้มั่นใจนัก”
ทันใดนั้นเอง ตี้อวิ๋นหลงก็เหม่อไปคล้ายได้รับทราบอะไรบางอย่าง ครู่ต่อมาก็ขมวดคิ้วหน้าเคร่งหันมากล่าวกับตัวนหลิงเทียนและคนอื่นๆว่า “เมื่อครูท่านผู้นําเผ่าพึ่งติดต่อข้ามา…ให้ข้าไปชมดูการประลองระหว่างท่านผู้นํากับราชาวานรผู้นั้น”
“นายน้อย เมิ่งหลัว พี่หัว….พวกท่านสนใจตามข้าไปดูชมด้วยกันหรือไม่?”
“อย่างไรการประลองครั้งนี้ก็ไม่ใช่ธรรมดาๆ มิใช่ว่าจะมีให้เห็นบ่อยๆ…”
ตี้อวิ๋นหลงคลี่ยิ้ม
และแทบจะพอดีกับที่เสียงกล่าวถามของตี้อวิ๋นหลงดังจบคํา ในหูของต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆก็ได้ยินเสียงหนึ่ง “จักรพรรดิอมตะเสมอฟ้าดิน…หลายปีที่ผ่านดูเหมือนความแข็งแกร่งของท่านจะก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยสินะ”
“ฮ่าๆๆๆ…ตี้หงเฒ่าที่แท้เจ้าก็อยู่! มาๆรีบออกมาฟาดปากกับข้าเร็วเข้า ท่านซุนมาหาเจ้าวันนี้ บอกได้เลยว่ามาเพื่อเอาชนะเจ้าโดยเฉพาะ! รอให้ชนะเจ้าได้เมื่อไหร่ ท่านซุนจะไปท้าตีจักรพรรดิสวรรค์ต่อ!!”
เสียงแหลมดังขึ้นอีกครั้ง
ทั้งสองคุยกันเสียงดังปานฟ้าร้อง ถ้อยคําดังกล่าวยังทําให้ทั้งเผ่ากิเลนแตกตื่นไม่น้อย
“ย่อมต้องไปดูชมสักครา!”
ได้ยินคําชวนของตี้อวิ๋นหลง สองตาเมิ่งหลัวก็ทอประกายจ้าทันที
“ดูเหมือนออกมาครั้งนี้ข้าจะโชคดีไม่น้อย…บังเอิญได้เจอกับเจ้าลิงนั่นที่มาท้าตีท้าต่อยผู้อื่น เข้าพอดี ข้าเองก็อยากเห็นจริงๆว่าหลายปีที่ไม่พานพบ ที่แท้เจ้าลิงตัวนั้นแข็งแกร่งขึ้นมาถึงขนาดไหนแล้ว”
ผู้เฒ่าหั่วยังกล่าวออกมาด้วยสายตาเปี่ยมความวาดหวัง
“ราชาลิง?”
“จักรพรรดิอมตะเสมอฟ้าดิน?”
“ซุนหงอคง?”
ต้วนหลิงเทียนนั้นตกตะลึงอึ้งไปแต่แรก กระทั่งตอนที่ตี้อวิ๋นหลงถามว่าจะไปดูชมการประมือครั้งนี้หรือไม่ เขายังไม่ได้ยินด้วยซ้ำ…
กว่าที่เขาจะกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็จนเมื่อผู้เฒ่าหั่วกับต้วนหรูเฟิงส่งเสียงมาเรียกเขา และ ถามเขาว่าจะไปดูการประลองไหม
“ไป! ต้องไป!”
ต้วนหลิงเทียนตอบไปโดยไม่ต้องคิด
ล้อกันเล่นหรือไร?
นั่นมันราชาวานรเชียวนะ!
ชาติที่แล้วตอนอยู่บนโลก เขาโตมากับตํานานปรัมปราที่เป็นเรื่องราวการเดินทางไปชมพูทวีป เลยก็ว่าได้ยังเป็นตํานานปรัมปราที่ได้รับความนิยมสูงสุดในบ้านเกิดเขาอีก!
‘ตี้หง ผู้นําของเผ่ากิเลน เป็นยอดฝีมือระดับเทพสงคราม 7 ดาราแล้ว…แต่ทว่าเมื่อพันปีก่อนซุนหงอคงผู้นั้นกลับประมือกับหงได้อย่างสูสี?’
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกใจ
เพราะหากคราวนี้ราชาวานรนั้นสามารถเอาชนะตี้หงได้ ไม่ได้หมายความว่าต่อให้พลังฝีมือจะไม่อยู่ในระดับเทพสงคราม 8 ดารา แต่ก็ต้องปริ่มๆเทพสงคราม 8 ดาราแล้วหรือไร?