ตอนที่ 3390 : นี่น่ะเหรอ ซุนหงอคง?
ถึงแม้ข้างกายต้วนหลิงเทียนจะมีคนใกล้ชิดอย่าง ส่วนเอ๋อ เพิ่งเทียนหวี่ ต้วนซื่อหลิง แล้วก็ เสี่ยวจินอยู่ในโลกใบเล็กภายในร่างเขา
แต่จังหวะนี้ไม่มีใครสามารถเข้าใจอารมณ์ของเขาได้
ซุนหงอคง!
นั่นมันซุนหงอคงในตํานานเชียวนะ!
เขากําลังจะได้เห็นตํานานตัวเป็นๆแล้ว?
ในชาติก่อน ซุนหงอคง นั้นไม่ต่างอะไรจากตัวละครที่มีอยู่แต่ในตํานานปรัมปราของเขาเลย และเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีทางดํารงอยู่จริงๆแน่ เป็นแค่ตัวละครในนวนิยายก็เท่านั้น
เขาคิดแบบนั้นจนถึงวันที่ได้พบเจอเข้ากับ เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ และวิญญาณสถิตย์เจดีย์ อย่างผู้เฒ่าหั่ว
ที่แท้ตํานานปรัมปราในชาติก่อนกลับไม่ใช่เรื่องแต่งทั้งหมด กระทั่งส่วนใหญ่ยังเป็นเรื่องจริง…โดยเฉพาะตัวละครเหล่านั้น โดยปกติแล้วล้วนมีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของโลกทั้งสิ้น
แน่นอนว่าในอดีตโลกยังไม่ได้ถูกเรียกว่าโลก แต่ถูกเรียกว่าดาวเหยียนหวง
“อาวุโสรองหากผู้นําเผ่ากิเลนคิดประมือกับลิงนั่น ก็สมควรไปประมือกันใน ‘แดนกิเลน’ ของพวกท่านกระมัง?”
ผู้เฒ่าหั่วที่เดินตามตื้อวิ๋นหลงมาพร้อมกับพวกต้วนหลิงเทียนและเมิ่งหลัว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
ตื้อวิ๋นหลงพยักหน้า “หากปล่อยให้ทั้งคู่ประมือกันใกล้ๆถิ่นที่อยู่เผ่ากิเลนจริง ทั้งคู่ไม่รื้ออาคารเผ่ากิเลนจนราบหมดหรือไร…”
จักรพรรดิอมตะสมญานามประมือกันนั้น ปกติแล้วหากไม่ใช่การเข่นฆ่าเอาชีวิต การลงมือก็ต้องออมรั้งยั้งมือไว้บางส่วน ไม่ได้จ้องจะสู้กันให้ถึงที่สุดเพียงรู้สูงต่ำคร่าวๆก็เลิกรา เช่นนั้นก็ย่อมรับรู้สถานการณ์รอบตัว ไม่ทําอะไรเกินเลย
อย่างไรก็ตามการประมือระหว่างตี้หงกับจักรพรรดิอมตะเสมอฟ้าดิน ซุนหงอคง นั้น เป็นรูปแบบสู้กันให้ถึงที่สุดจนกว่าจะรู้แพ้รู้ชนะกันจริงๆ ไม่คิดออมมือแต่อย่างใด
เช่นนั้นการลงมือของทั้งคู่ก็เรียกว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดินแล้ว ย่อมส่งผลกระทบให้กับสภาพแวดล้อมโดยรอบไม่น้อย
“แดนกิเลน?”
ต้วนหลิงเทียนติดใจสงสัยอยู่บ้าง แววตาฉายชัดถึงความอยากรู้ว่าแดนกิเลนที่ว่าคืออะไร
“แดนกิเลนที่ว่า เป็นดั่งระนาบอิสระที่อยู่ในเผ่ากิเลน แยกตัวออกจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ ลือกันว่าเป็นยอดฝีมือในอดีตของเผ่ากิเลนเปิดสร้างขึ้นมา”
ผู้เฒ่าหั่วกระซิบบอกต้วนหลิงเทียนเสียงเบา
“พี่หั่ว ไม่คิดเลยว่าท่านจะรู้จักเผ่ากิเลนของพวกเราดีขนาดนี้”
ตื้อวิ๋นหลงคลี่ยิ้ม
เป็นธรรมดาว่าสิ่งที่ผู้เฒ่าหั่วพูดออกมาล้วนเป็นความจริง
“จะอย่างไรก็ล้วนเป็นสัตว์อมตะดุจเดียวกัน ในอดีตข้าก็ย่อมอยากรู้เป็นธรรมดา”
ขณะที่ผู้เฒ่าหั่วเอ่ยออกรอบนี้ ในแววตาก็ฉายชัดถึงความคิดถึงโหยหาวันวานขึ้นมา
ตอนนี้ที่เดินมากับต้วนหลิงเทียน นอกจากผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และต้วนหรูเพิ่งพ่อของเขาแล้วก็มีตื้อวิ๋นหลงกับตี้เหวินอวี้
และอารมณ์ของตี้เหวินอวี้ก็แลดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“จริงสิท่านพ่อ…ตกลงท่านสะสางเรื่องราวอย่างไร?”
ต้วนหลิงเทียนที่เดินไปสักพักก็ฉุกคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงถามต้วนหรูเฟิง ด้วยสงสัยว่าบิดาเขาไปกล่อมตี้เหวินอวี้อย่างไร ถึงทําให้นางแลดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้แบบนี้
“สะสางอะไร?”
ต้วนหรูเฟิงไม่เข้าใจคําถาม
“ก็สะสางเรื่องตี้เหวินอวี้ว่าอย่างไรเล่า”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวกระตุ้นเตือน
“เจ้าหมายถึงนางน่ะหรือ…”
ต้วนหรูเฟิงพอตระหนัก ก็กล่าวตอบกลับมาทันที “ข้าก็แค่บบอนางไป ว่าข้าต้องไปกับเจ้า เพื่อตามหาแม่ของเจ้า….แล้วนางก็เข้าใจ”
“อะไร? ง่ายขนาดนั้นเลย?”
ต้วนหรูเฟิงตอบกลับมาง่ายๆ แต่ต้วนหลิงเทียนไม่เชื่อแน่นอน เพราะเขารู้ดีว่าเรื่องพรรค์นี้ไม่มีทางพูดกันไม่กี่คําก็จบง่ายๆได้หรอก..
ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะมองเห็นว่าตี้เหวินอวี้ผู้นั้นหลงบิดาเขามากแค่ไหน คิดเกลี้ยกล่อมให้นางเลิกราทั้งๆที่เฝ้ารอมาหลายร้อยปี? มันจะง่ายๆแค่วาจาไม่กี่คําไง?
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนก็มองออกอีกด้วย ว่าบิดาเขาไม่คิดจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ เช่นนั้นเขาก็ไม่คิดจะถามเช้าชี้สืบต่อ
“ว่าแต่ท่านพ่อ…นี้ท่านทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะแล้วรึ?”
ก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนที่ดีใจเพราะได้พเจอบิดาก็ไม่ทันได้สังเกต ตอนนี้หลังผ่านมาสักพักก็ เริ่มสังเกตเห็นได้ไม่ยากว่าบิดาของเขาทะวงด้านพลังมาถึงขอบเขตจอมราชันอมตะแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใชจอมราชันอมตะ 1 ต้นกําเนิดอีกด้วย แต่เป็นจอมราชันอมตะ 3 ศักดิ์
“สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของเผ่ากิเลนดีมาก”
ต้วนหรูเฟิงกล่าว “นอกจากนั้น ข้ายังได้รับการดูแลส่งเสริมจากนาง…ข้าเองก็ไม่อยากให้นางมาดูแลส่งเสริมอะไร แต่ทุกครั้งหากข้าไม่รับของที่นางมอบให้นางก็เลือกจะทําลายมันทิ้ง เช่นนั้น ข้าก็ได้แต่รับมา…”
กล่าวถึงท้ายประโยคน้ำเสียงของต้วนหรูเฟิงก็ฟังดูทอดถอนใจไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
‘ดูเหมือนตี้เหวินอวี้ผู้นี้จะดีกับท่านพ่อมาก…’
ตัวนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
เขาย่อมเดาได้เป็นธรรมดาว่าของจากตี้เหวินอวี้ ที่บิดาเขาต้วนหรูเพิ่งกล่าวถึง ไม่พ้นต้องเป็นผลไม้อมตะและโอสถอมตะที่ส่งเสริมการบ่มเพาะแน่นอน
กระทั่งดูจากด่านพลังของบิดาเขา เห็นได้ชัดว่าทรัพยากรบ่มเพาะตี้เหวินอวี้มอบให้บิดาเขาก็ไม่เลวเลยทีเดียว
ต้วนหลิงเทียนคิดไม่ถึงจริงๆว่าการที่บิดาของเขาถูกกักบริเวณอยู่ในเผ่ากิเลนแบบนี้ ไม่เพียง แต่จะไม่ได้รับความลําบากอะไร แต่ยังได้รับสิ่งดีๆมากมาย หาไม่แล้วคงยากที่จะทะลวงถึงจอมรา ชั้นอมตะ 3 ศักดิ์ได้
ถึงแม้ตอนได้พบเจอกับเพิ่งเทียนหรูและตัวนชื่อหลิงอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนจะทราบแล้วว่า ครอบครัวและสหายเขาที่ถูกจับไประนาบเทพนั้น เสมือนได้รับโชควาสนาในคราวเคราะห์อยู่บ้าง เพราะหลังได้รับการขัดเกลาชําระปรับสภาพร่างจากพลังวิญญาณฟ้าดินที่นั่น ศักยภาพและ พรสวรรค์ของทุกคนก็แปรเปลี่ยนไปสู่ระดับใหม่
เรียกว่าวันที่ได้เจอเพิ่งเทียนหวู่กับตัวนซื่อหลิงอีกครั้ง ทั้งคู่ล้วนเป็นราชาอมตะกันหมดแล้ว
ต้วนหลิงเทียนจึงไม่แปลกใจเลยหากต้วนหรูเฟิงจะเป็นราชาอมตะด้วย แต่ปัญหาก็คือต้วนหรู เฟิงดันบรรลุถึงจอมราชันอมตะ 3 ศักดิ์ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะสนใจและอยากรู้เรื่องนี้
“อาวุโสรอง”
เมื่อตื้อวิ๋นหลงพาพวกต้วนหลิงเทียนมาถึงป่าหินแห่งหนึ่งในเขตที่อยู่ของเผ่ากิเลน ก็พบเจอผู้คนมากมายมารวมตัวกัน
ขณะเดียวกันยังเห็นได้ชัดว่ามีหลายๆคนกําลังมุ่งหน้ามาทางนี้
และใครที่พบเห็นตื้อวิ๋นหลง ก็กล่าวคําทักทายทั้งสิ้น
“เมิ่งหลัว?”
“เมิ่งหลัว จักรพรรดิอมตะสวรรค์กร่างนะ?”
ขณะเดียวกันก็มีบางคนที่จดจําเมิ่งหลัวได้ จึงเร่งเข้ามาทักทายเมิ่งหลัวทันที ด้านเมิ่งหลัวก็ส่งยิ้มตอบกลับ
คนเหล่านั้บเป็นสหายเก่าของเมิ่งหลัวในเผ่ากิเลน
และตอนนี้ไม่ว่าคนที่จะมารออยู่ในป่าหินก่อน หรือผู้ที่กําลังมุ่งหน้ามายังป่าหิน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนของเผ่ากิเลนทั้งสิ้น
เป็นธรรมดาว่ายังมีบางคนที่ไม่ได้มีสายเลือดของกิเลนไหลเวียนในร่าง
ทว่าคนเหล่านี้ หากไม่ใช่ญาติที่เกี่ยวดอง ก็เป็นสหายของคนในเผ่ากิเลนหมดทั้งสิ้น
“จักรพรรดิอมตะเสมอฟ้าดิน ซุนหงอคง ผู้นั้น เมื่อพันกว่าปีก่อนก็ได้ประมือกับท่านผู้นําเผ่า เราทั้งคู่ปะทะกันดุเดือดยิ่ง ทว่ากินกันไม่ลงได้แต่เลิกรากันไปด้วยผลเสมอ…วันนี้จักรพรรดิอมตะเสมอฟ้าดินกลับมาท้าอีกครั้ง ท่าทางยังแลดูมั่นใจไม่น้อย”
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในหูตัวนหลิงเทียน พอหันไปดูก็พบว่าเป็นชายวัยกลางคนร่างใหญ่คนหนึ่งที่กําลังเดินผ่านต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆไป พอสังเกตเห็นตื้อวิ๋นหลงมันก็กล่าวทักทายอย่างสนิทสนมทันที “อ้าวอาวุโสรอง ท่านก็มาด้วยรึ?”
“อาวุโส 4”
ตื้อวิ๋นหลงยิ้มตอบชายวัยกลางคน “ข้าก็พึ่งมาถึง”
“ว่าแต่คนพวกนี้ใครรี?”
ชายวัยกลางคนร่างใหญ่หรืออาวุโส 4 แห่งเผ่ากิเลนเอ่ยถามออกมา หลังกวาดตามองพวกต้วนหลิงเทียนรอบหนึ่ง
และคนที่เดินมากับตื้อวิ๋นหลงเหล่านี้มันก็รู้จักแค่ตี้เหวินอวี้เท่านั้น สําหรับต้วนหรูเฟิงแม้มันจะเคยได้ยินเรื่องราวมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
“นี่คือนายน้อยแห่งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ขี้เมียเทียน…”
ตื้อวิ๋นหลงพอได้ยินคําถาม ก็ผายมือแนะนําต้วนหลิงเทียนให้อาวุโส 4 รู้จัก จากนั้นก็กล่าวกับตัวนหลิงเทียนว่า “นายน้อย นี่คืออาวุโส 4 ของเผ่ากิเลนข้า ตี้เจี้ย”
“อาวุโสตี้เจี้ย”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองทักตี้เจี้ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“นายน้อยแห่งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ขี้เมียเทียน!?”
ลูกตาตี้เงี่ยหดเล็กลงเร็วไว ถึงแม้มันจะรู้สึกเหลือเชื่อ แต่ก็รู้ว่าอาวุโสรองไม่มีทางหลอก มันเล่นแน่ อย่างไรก็ตามมันอดไม่ได้ที่จะสงสัย “ขออภัยที่ขาเสียมารยาท แต่พอดีขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์มีนายน้อยเช่นท่านอยู่ด้วย…”
น้ำเสียงของตี้เงี่ยฟังแล้วยังคงเต็มไปด้วยความคลางแคลงสงสัย
“นี่คือสหายประเสริฐข้า จักรพรรดิอมตะสวรรค์กร่าง เมิ่งหลัว”
หลังจากนั้นตื้อวิ๋นหลงก็แนะนําเมิ่งหลัวให้ตี้เจี้ยรู้จัก
หากจะบอกว่ามันไม่รู้เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเป็นนายร้อยพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งเมี่ยเทียนละก็ แต่เรื่องที่เมิ่งหลัวมีฐานะใดในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี๊เมี่ยเทียนมันรู้ดี! กระทั่งชื่อเสียงอีกฝ่ายยังดังประหนึ่งฟ้าร้องในหูมันอีกด้วย!!
“ท่านคือจักรพรรดิอมตะสวรรค์กร่าง เมิ่งหลัว รึ!?”
ตี้เจี้ยมองจ้องเมิ่งหลัวด้วยสองตาเป็นประกาย “ข้าได้ยินอาวุโสรองกล่าวถึงท่านหลายต่อหลายครั้งแล้ว…หากท่านไม่มีใดขัดข้อง รอให้จักรพรรดิอมตะเสมอฟ้าดินประมือกับท่านผู้นําเผ่าเสร็จ พวกเรามาประลองกันสักตั้งได้ไหม?”
เห็นได้ชัดว่าตี้เจี้ยเองก็ชมชอบการต่อสู้เช่นกัน
“ย่อมได้”
เมิ่งหลัวพยักหน้ารคําท้าทันที ในฐานะจักรพรรดิอมตะสวรรค์กร่าง มันไม่เคยกลัวการต่อสู้
ก่อนที่จะมาติดตามจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียน ฟงชิงหยาง มันก็เคยมีชื่อเสียงว่ารบไม่แพ้ผู้ใดมาก่อน
เมิ่งหลัวได้ท้าประลองจักรพรรดิอมตะสมญานามในเมียเทียนมาเป็นร้อย บ้างก็ชนะบ้างก็เสมอ อย่างไรก็ตามคนที่มันท้า มันไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนเลย
หลังประสบความสําเร็จในการท้าทายคู่ต่อสู้นับร้อยโดยไม่พ่าย ชื่อเสียงของเมิ่งหลัวก็ดัง กระฉ่อนไปทั่วเมียเทียน
เพราะทุกคนที่ถูกเมิ่งหลัวท้า ก็เป็นเหล่าผู้ที่มีชื่อเสียงในอดีต ที่โด่งดังในจี๊เมี่ยเทียนมาก่อน
“เอาล่ะๆ มีอะไรไว้คุยกันที่หลัง…ท่านผู้นําเผ่าย่อมรอพวกเราได้ แต่พวกเจ้าคงรู้ดีว่าจักรพรรดิอมตะเสมอฟ้าดินนั้นไม่ใช่คนที่มีความอดทนมากนัก”
ตื้อวิ๋นหลงกล่าว
ถึงแม้วันเวลาจะผ่านมานับพันปีแล้ว แต่ฉากเรื่องราวตอนที่จักรพรรดิอมตะเสมอฟ้าดินซุนหงอคงมาท้าผู้นําเผ่ากิเลนประลองยังตราตรึงในใจของทุกคนดี และตี้หง ผู้นําเผ่ากิเลนก็ได้พาชุนหงอคงมาประลองในแดนกิเลนเช่นกัน
วันนั้นเหล่าจักรพรรดิอมตะทั้งหลายในเผ่ากิเลนก็ถูกเรียกให้ไปชมดูการประลอง
ทําให้ครั้งก่อนมีเหล่าจักรพรรดิอมตะของเผ่ากิเลนไม่น้อย สามารถไปวิหารเชิงฮ่าวเพื่อรับสมญานามได้หลังชมดูการประลองไม่นาน เพราะหลายคนได้แรงบันดาลใจระหว่างการประลองจนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏเพิ่มขึ้น
“นั่นคือค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อเข้าสู่แดนกิเลน”
แดนกิเลนนั้นเป็นดั่งระนาบอิสระที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดของเผ่ากิเลนสร้างขึ้นในอดีต ถึงแม้จะด้อยกว่าระนาบเทพ แต่ระดับความแข็งแกร่งของระนาบก็ไม่ด้อยกว่าระนาบเทวโลกเลย….
แน่นอนว่าหากให้เทียบกับระนาบเทวโลกทั้งหลายแล้ว ถึงแม้แดนกิเลนจะถือว่ากว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็ไม่ถึงขั้นกว้างขวางเท่าระนาบเทวโลกทั้งหลาย
ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆก็ติดตามตื้อวิ๋นหลงกับเจียเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้าย ก่อนจะถูกอาคมส่งตัวหายไปจากเผ่ากิเลนตามๆกัน
พอเห็นแสงสว่างปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลังมืดดับไปครู่หนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าตอนนี้เขามาปรากฏตัวในห้วงอวกาศ มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับ
“นั่นมัน…มีดาวที่เหมือนพระอาทิตย์ด้วยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนถูกแหล่งกําเนิดแสงสว่างหนึ่งดึงดูดความสนใจไปทันที พอหันไปมองก็พบเห็นดาวที่เต็มไปด้วยเพลิงไฟลุกโชนไม่ต่างอะไรจากดวงอาทิตย์แหล่งพลังงานหลักในระนาบโลกยะทั้งหลาย “ลักษณะของที่นี่ดูไปคล้ายๆห้วงอวกาศของระนาบโลกียะอยู่บ้าง”
‘อย่างไรก็ตามระดับความแข็งแกร่งของมิติ ต่อให้เป็นมหาระนาบโลกียะอย่างระนาบเหยียนหวง ก็แข็งแกร่งสู้ที่นี่ไม่ได้’
พอถูกส่งตัวมาปรากฏในระนาบอิสระแห่งนี้ ต้วนหลิงเทียนลองยกมือโบกไปมา แม้จะไม่ได้โคจรพลังอะไร แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณฟ้าดินและความแข็งแกร่งของพื้นที่ชัดเจน
“ไปที่นั่นกันเถอะ”
ภายใต้การนําของตื้อวิ๋นหลง เขี้ยกับพวกต้วนหลิงเทียนก็ได้ไปสมทบกับเหล่าผู้ที่มาถึงก่อน
และตอนนี้เหล่าคนของเผ่ากิเลนที่มาถึงก่อน แต่ละคนก็มองจ้องไปยัง 2 ร่างที่ลอยอยู่เบื้องหน้าไกลๆไม่วางตา
ชายชราร่างสูงใหญ่มาในชุดคลุมสีทองเข้ม หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผย เส้นผมคนคิ้วเป็นสีดอกเลา
ตรงข้ามชายชรามีชายหนุ่มในชุดแปลกตาลอยร่างอยู่…ชายหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ มาในชุดที่เพียงมองก็บอกได้ว่ามันคือ เสื้อยืด และกางเกงชายหาด เผยรูปร่างสมส่วนแลดูหน่วยก้านดี
และชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงชายหาดดังกล่าว ยังสวมแว่นกันแดดพาดเอาไว้บนศีรษะราวกับที่คาดผม ประหนึ่งใส่ไว้เท่ๆ
แกร่ก!
ชายหนุ่มหน่วยก้านดีดังกล่าวยกมือขึ้น จากนั้นก็ปรากฏลําแสงสายหนุ่งพุ่งเข้าปาก เคี้ยวดัง แจ่บๆ พอมองดูให้ดีต้วนหลิงเทียนก็พบว่าในมือมีกล่องหมากฝรั่งอยู่ ที่พุ่งเป็นลําแสงเข้าปากไป เมื่อครู่ก็สมควรเป็นหมากฝรั่งไม่ผิดแน่…
นี่ใช่…จักรพรรดิอมตะเสมอฟ้าดิน ซุนหงอคงแน่หรือ?
ซุนหงอคง ไม่ใช่เป็นลิงหรือไร?
ไฉนถึงแลดูราวจิ๊กโก๋ริมหาดบนโลกเมื่อชาติก่อนของเขาได้? หรือซุนหงอคงผู้นี้จะทันสมัย แต่งตัวตามแฟชั่นในโลกเก่าด้วย?