อู๋ซวงเจี้ยงถึงขั้นไม่ได้เข้าไปในหอเรือนโดยพลการ ต่อให้เป็นเพียงแค่ภาพมายาในสภาพจิตใจของตัวเอง อู๋ซวงเจี้ยงก็ไม่คิดจะประมาทเช่นนั้น
ชุยตงซานยังไม่เคยลงมืออย่างเต็มกำลัง ที่มากกว่านั้นเป็นเฉินผิงอันกับเจียงซ่างเจินที่ลงมือ ที่แท้ก็แอบวางแผนเรื่องนี้อยู่นั่นเอง
เก็บดวงจิตเมล็ดงามา อู๋ซวงเจี้ยงหันหน้าไปมอง
ตรงปลายสุดของม่านฟ้าที่ห่างไปไกลปรากฏเส้นเล็กบางสีทองเส้นหนึ่ง
อู๋ซวงเจี้ยงยกกระบี่จำลองไท่ป๋ายในมือขึ้น ใบบัวใต้ฝ่าเท้าพลันโน้มเอียงไปทางหนึ่ง
แสงกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งมาถึงในเสี้ยววินาที ผ่าฟ้าดินดวงดาวของอู๋ซวงเจี้ยงจากตรงกลาง ผ่าหนึ่งออกเป็นสอง!
แม้แต่กระบี่จำลองในมือของอู๋ซวงเจี้ยงก็ถูกฟันผ่าไปด้วย
แสงกระบี่เส้นนั้นพุ่งวูบผ่านข้างกายของอู๋ซวงเจี้ยงไป ชุดคลุมอาคมบนร่างส่งเสียงสะบัดดังพึ่บๆ ถึงกับเกิดเสียงฉีกขาดของเนื้อผ้าเบาๆ ดังมาระลอกแล้วระลอกเล่า
อู๋ซวงเจี้ยงสะบัดข้อมือ กระบี่จำลองไท่ป๋ายในมือกลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ดังเดิมอีกครั้ง
เป็นหนิงเหยาที่ลงมือ
นางวาดกระบี่ฟันกวาดออกมาในแนวขวางจากจุดที่ห่างไปไกลอย่างถึงที่สุด จากนั้นค่อยผ่าฟ้าดินเล็กออกในแนวขวาง
กระบี่ที่สองของหนิงเหยา แสงสีทองเส้นหนึ่งอยู่ห่างไปไกลมาก รอกระทั่งมาถึงด้านในฟ้าดินของดวงดาว ก็ได้กลายเป็นธารดวงดาวปราณกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ตระการตาเส้นหนึ่ง
อู๋ซวงเจี้ยงหดย่อพื้นที่ เขาคาดการณ์ไว้ได้นานแล้ว จึงหลบเลี่ยงแสงกระบี่ที่ฉายประกายเฉียบคมอย่างถึงที่สุดเส้นนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด ทว่าชายหญิงที่ด้านหลังสะพายกระบี่ทั้งสองคนกลับถูกกระบี่ระเบิดร่างจนเละ
อู๋ซวงเจี้ยงเปลี่ยนความคิด เก็บเอา ‘หนิงเหยา’ และ ‘เฉินผิงอัน’ มาชั่วคราว ลมปราณที่หลงเหลืออยู่ของหุ่นเชิดข้ารับใช้ถือกระบี่สองคนถูกเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อ แล้วจึงบังคับกระบี่เซียนจำลองสี่เล่มนั้นด้วยตัวเอง
ชำเลืองตามองกระบี่จำลองไท่ป๋าย อู๋ซวงเจี้ยงก็ส่ายหน้า ยังคงไม่อาจรวบรวมปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์ของเทียนเจินเล่มนั้นมาได้
ในความเป็นจริงก่อนหน้านี้เจียงซ่างเจินได้บอกฮูหยินเจ้าขุนเขาไปแล้วว่า ทางที่ดีที่สุดให้ออกกระบี่น้อยๆ ระวังว่าเจ้าหมอนั่นจะขโมยปณิธานกระบี่ไป
หนิงเหยาตอบกลับเพียงแค่ประโยคเดียวว่า ไม่ต้องกังวล
ฉวยโอกาสระหว่างที่ฟ้าดินดวงดาวของอู๋ซวงเจี้ยงกำลังจะพังทลาย เจียงซ่างเจินได้ปรากฏตัว ตบไหล่เฉินผิงอัน เอ่ยเสียงหนักว่า “รักษาตัวด้วย”
มีภรรยาแน่นอนว่าเป็นเรื่องดี แต่มีภรรยาที่เป็นเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดชีวิตนี้เจ้าเฉินผิงอันก็อย่าได้คิดดื่มเหล้าเคล้านารีเลย
เจียงซ่างเจินใช้เสียงในใจพูดคุยไปพร้อมกันด้วย “เป็นอย่างไร? อยู่ห่างจากจันทร์ลอยสูงเหนือบ่ออีกแค่ไหน?”
เฉินผิงอันแสยะปาก “ยังเหลืออีกช่วงระยะหนึ่ง”
การสู้ต่อจะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้ นอกจากทำเรื่องที่จริงจังไปตามลำดับขั้นตอนพร้อมกับชุยตงซานและเจียงซ่างเจินแล้ว อันที่จริงเฉินผิงอันก็กำลังใช้ฟ้าดินเล็กของอู๋ซวงเจี้ยงมาเป็นหินลับกระบี่ที่คล้ายคลึงกับแท่นสังหารมังกร นำมาใช้ลับคมกระบี่ของจันทร์ในบ่ออย่างละเอียดลออ
เจียงซ่างเจินทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คิดจะสังหารขอบเขตสิบสี่ หากไม่ต้องจ่ายอะไรเลยจะได้อย่างไร”
แสงกระบี่สองเส้นเปล่งวาบมาถึง เจียงซ่างเจินกับเฉินผิงอันหายไปจากจุดเดิมพร้อมกัน
คาดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะสังเกตเห็นว่าข้างกายตนมียันต์ที่วาดเป็นขวานหยกแผ่นหนึ่งติดตามมาด้วย กระบี่จำลองสองเล่มอย่างไท่ป๋ายและว่านฝ่าประหนึ่งเงาตามตัว น่าจะจำแลงมาจากขวานยักษ์ของคนที่ฟันต้นกุ้ยก่อนหน้านี้ ยันต์แผ่นนี้มีพลังพิฆาตธรรมดา แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือเป็นดั่งวิญญาณตามติดไม่จากไปไหน เฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูดกับเจียงซ่างเจินว่า “เจ้าทำธุระของเจ้าไป ไม่ต้องสนใจข้า ข้าจะไปพบเจอกระบี่เซียนสองเล่มนี้เอง”
โอกาสหาได้ยาก ถือโอกาสขัดเกลาเรือนกายของผู้ฝึกยุทธไปพร้อมกันด้วยเลย
หาข้อชดเชยมาได้นิดหนึ่งก็คือนิดหนึ่ง
ต่อให้คนทั้งสามร่วมกันวางแผนจัดวางสถานการณ์ ตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วอันที่จริงก็เคยชั่งน้ำหนักความหนักเบาของผลลัพธ์ไว้ก่อนแล้ว
ราคาที่จำเป็นต้องจ่ายอาจเป็นเฉินผิงอันต้องสูญเสียกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มใดเล่มหนึ่งไป ไม่นกในกรงก็อาจเป็นจันทร์ในบ่อ
อาจเป็นใบหลิวของเจียงซ่างเจินที่ระดับขั้นของกระบี่บินถดถอย อาจเป็นชุยตงซานที่เสียเนื้อหนังมังสาคราบร่างขอบเขตเซียนเหรินไป
หรืออาจจะมากกว่านั้น ยกตัวอย่างเช่นขอบเขตปลายทางผู้ฝึกยุทธของเฉินผิงอันอาจถดถอย
หรืออาจเป็นบางคนที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนมากกว่านั้นไปอีก
บนภูเขาลั่วพั่ว สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันได้ตั้งกฎข้อหนึ่งเอาไว้ ไม่ว่าใครที่ถูกอีกสองคนเหลือช่วย ถ้าเช่นนั้นคนผู้นี้จะต้องมีการตระหนักรู้ ยกตัวอย่างเช่นทั้งสามคนนี้ร่วมมือกันก็ยังไม่อาจแก้ไขหมื่นหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดนั้นได้ ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนผู้นี้มาแลกชีวิตกับศัตรูใหญ่แห่งความเป็นตายอย่างเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ มารับประกันว่าตบะบนมหามรรคาของอีกสองคนที่เหลือจะไม่ถึงขั้นขาดสะบั้นไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้นชุยตงซานและเจียงซ่างเจินต่างก็ไม่มีความเห็นต่างกับเรื่องนี้
อู๋ซวงเจี้ยงเอามือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งใช้สองนิ้วทำท่าคล้ายดีดสายพิณ ท่ามกลางฟ้าดินจึงมีเสียงที่ไร้สายพิณดังขึ้นมา
ด้านหลังมีกายธรรมคนฟ้าตนหนึ่งปรากฏขึ้นมาประหนึ่งจิตหยินออกจากร่างเดินทางไกล ในมือถือกระบี่จำลองสองเล่มอย่างเต้าจ้างและเทียนเจิน เงื้อกระบี่ฟาดไปหนึ่งที มอบของขวัญกลับคืนให้กับหนิงเหยา
เฉินผิงอันที่เพิ่งจะหลบแสงกระบี่สองเส้นของไท่ป๋ายและว่านฝ่ามาได้กลับถูกอสนีสวรรค์เส้นหนึ่งผ่าเปรี้ยงลงมาอย่างไม่มีลางบอกกล่าว นาทีถัดมา สองมือของเฉินผิงอันกำปลายกระบี่ของกระบี่จำลองสองเล่มเอาไว้แน่น เรือนกายไถลกรูดออกไปข้างนอกร้อยพันจั้ง แสงกระบี่เปล่งประกายเจิดจ้า สองมือฉีกเละเลือดอาบ ปราณกระบี่กระเพื่อมสะเทือน ใบหน้าทั้งดวงถูกกรีดจนเกิดเป็นรอยกระบี่เล็กละเอียดจนจำต้องหรี่ตาลง ไม่กล้ามองแสงกระบี่พวกนั้นตรงๆ ร่างที่ถอยกรูดของเฉินผิงอันยังคงไม่ชะลอความเร็วแม้แต่น้อย ปลายกระบี่ค่อยๆ แทงทะลุออกมาจากฝ่ามือ
อู๋ซวงเจี้ยงขยับพิณโบราณไร้สายและยิ่งไร้รูปลักษณ์นั่นอีกครั้ง “เจ้าหนูช่างอำพรางตัวเก่งจริงๆ มีเรือนกายของผู้ฝึกยุทธที่เป็นเช่นนี้แล้วยังจะต้องโอ้อวดกายธรรมขอบเขตหยกดิบอะไรอีกเล่า”
ด้านหนึ่งกำปลายกระบี่ของกระบี่จำลองสองเล่มไว้แน่น อีกด้านหนึ่งได้แต่ปล่อยให้สายฟ้าสวรรค์ที่เกิดจากเสียงพิณไร้สายชักนำผ่าลงบนร่าง
อู๋ซวงเจี้ยงงอสองนิ้วดึงสายพิณสายหนึ่งขึ้นแล้วปล่อยนิ้วมือออกเบาๆ เฉินผิงอันก็คล้ายถูกกระบองฟาดหน้าท้อง ร่างทั้งร่างงอลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ สองมือจึงไถลไปข้างหน้า ปลายกระบี่ของกระบี่จำลองสองเล่มขยับมาใกล้อยู่ตรงหน้าดวงตา
ถึงอย่างไรกายธรรมขอบเขตสิบสี่ที่ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งก็ไม่ได้ถือกระบี่เซียนของจริง เมื่อต้องถามกระบี่กับหนิงเหยาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานจึงตกเป็นรอง
อู๋ซวงเจี้ยงคลี่ยิ้ม “บุปผาผลิบาน”
กายธรรมคนฟ้าที่อยู่ด้านหลังพลันจำแลงไปเป็นร้อยพันแบบ ไปลอยตัวอยู่ทั่วทุกจุด ต่างก็ถือกระบี่คู่ กลายเป็นการถามกระบี่ที่ปราณกระบี่เหมือนน้ำตกไหลซัดกรูเข้าหาหนิงเหยาที่มีหนึ่งคนหนึ่งกระบี่
มือหนึ่งของอู๋ซวงเจี้ยงทำมุทรา อันที่จริงคอยคิดคำนวณอยู่ในใจไม่หยุด
ทันใดนั้นอู๋ซวงเจี้ยงถึงกับไม่ทันระวังกระชากสายพิณเส้นหนึ่งขาด อู๋ซวงเจี้ยงยกมือขึ้น นิ้วมือมีเลือดสดซึมออกมาหนึ่งหยด
อู๋ซวงเจี้ยงสีหน้าเคร่งเครียด เพียงแต่ว่าแรงสะเทือนยิ่งใหญ่ของเส้นเอ็นหัวใจ อู๋ซวงเจี้ยงกลับใช้วิชาการอนุมานจึงหายไปอย่างไร้ร่องรอยให้ตามหา
เด็กหนุ่มชุดขาวที่คล้ายนั่งดูดายอยู่เฉยๆ กำลังนั่งยองอยู่ในหอเรือนแห่งหนึ่ง ไม่ได้ประมือกับอู๋ซวงเจี้ยงผู้นั้นอย่างแท้จริง ทว่าสภาพกลับอนาถกว่าเฉินผิงอันและเจียงซ่างเจินมากนัก เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด สบถด่าโฉงเฉงอยู่ตรงนั้น ด้านหน้าของเขามีคนกระเบื้อง ‘อู๋ซวงเจี้ยง’ ยืนเหม่อลอยอยู่ รอบกายของคนผู้นี้ ชุยตงซานได้ตั้งใจสร้างค่ายกลที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมจนดีเยี่ยมไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วไว้ให้มัน อะไรที่บอกว่าศาสตร์แห่งการตรวจสอบมังกร เปิดสามภูเขาตั้งทิศทาง ไปมากลับสู่น้ำ อะไรที่บอกว่าฟ้าดาวอาณาเขต ทวนกระแสภูเขาสี่สิบแปดสถานการณ์ วิชาหกบารมีของลัทธิพุทธ พิธีบวงสรวงของลัทธิเต๋า ก่อเกิดห้าธาตุดีร้ายสองร้อยสี่สิบสี่สถานการณ์อะไรนั่น…ล้วนเอามาใช้กับเจ้าตำหนักใหญ่อู๋ เทพเซียนผู้อาวุโสอู๋ท่านนี้หมดแล้ว
มีแค่ค่ายกลซานไฉฟ้าดินคนที่มีหนึ่งภาพดวงดาว หนึ่งค่ายกลค้นภูเขาและหนึ่งอู๋ซวงเจี้ยงบุตรจักรพรรดิในหอเรือนเท่านั้นหรือ?
ล้อเล่นอะไรกัน เจ้าอู๋ซวงเจี้ยงดูแคลนขอบเขตสิบสี่ของตัวเองไปหน่อยแล้วกระมัง แล้วก็ดูแคลนหัวสมองของนายท่านใหญ่ชุยกับอาจารย์ของข้า รวมไปถึงโจวอันดับหนึ่งเกินไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ชุยตงซานกับเจียงซ่างเจินอยู่นอกนกในกรงและดินแดนร่มเงาหลิวก็ยังคงต้องโปรยสมบัติอาคมเหมือนสายฝน วัตถุประสงค์คืออะไร ก็คือให้บนค่ายกลซานไฉทับซ้อนด้วยค่ายกลห้าธาตุ และยิ่งต้องทับซ้อนค่ายกลเจ็ดดวงดาวเข้าไปบนค่ายกลห้าธาตุด้วย
เมื่อเทียบกับค่ายกลซานไฉที่สังเกตเห็นได้ค่อนข้างง่าย เป็นทั้งเวทอำพรางตาแล้วก็ไม่ใช่เวทอำพรางตาแล้ว
ห้าธาตุอันได้แก่ ทอง นกในกรงของเฉินผิงอัน น้ำ หนองบึงใหญ่สู่โบราณของชุยตงซาน ไม้ ดินแดนร่มเงาหลิวของเจียงซ่างเจิน ไฟ กลุ่มภูเขาไฟแถบใหญ่ที่ชุยตงซานจัดวางค่ายกลด้วยตัวเอง ค่ายกลมีชื่อว่าเหล่าจวินหลอมเตาโอสถ ดิน คือภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงที่ใช้จันทร์ในบ่อเล่มหนึ่งและใบหลิวครึ่งท่อนของเจียงซ่างเจินมาเป็นเวทอำพราง
ซานไฉห้าธาตุเจ็ดดาว แต่ละค่ายกลทับซ้อนกัน
บวกกับค่ายกลลับอำพรางอีกสองแห่งที่ช่วยอำพรางคู่ นั่นก็คือเจ็ดสำแดงสองอำพรางที่สมบูรณ์แบบของนอกเจ็ดดาว
เป่ยโต้วกำหนดตาย!
กุญแจสำคัญที่สุดในเรื่องนี้ก็คือคนกระเบื้องอู๋ซวงเจี้ยงที่ชุยตงซานทุ่มสุดชีวิตเพื่อสร้างขึ้นมานี้!
ใบหน้าชุยตงซานเต็มไปด้วยคราบเลือด ห้านิ้วงอเป็นตะขอกดจิกหัวของคนกระเบื้องอู๋ซวงเจี้ยงเอาไว้ “จงแหลกสลายให้ข้าผู้อาวุโส!”
ชุยตงซานกดศีรษะนั้นลงไปเต็มแรง มหามรรคาจึงมีลางว่าจะพังทลายลงทีละนิด คราบร่างเซียนเหรินของเจียวหลงสู่โบราณร่างนี้ของชุยตงซานถึงกับเกิดรอยแตกร้าวนับไม่ถ้วนทันใด
เมื่อคนกระเบื้องแตกกระจาย ร่างของชุยตงซานก็ปลิวกระเด็นออกไป ผงะหงายล้มลงกับพื้น นอนจมอยู่ท่ามกลางกองเลือด
ขณะเดียวกันฟ้าดินเล็กมากมายก็ทับซ้อนเข้าด้วยกัน รวมเป็นหนึ่งเดียว
กระบี่จำลองกระบี่เซียนสี่เล่ม กายธรรมคนฟ้าหนึ่งร่าง ล้วนถูกบีบให้ถอยกลับมาอยู่ข้างกายอู๋ซวงเจี้ยง
นี่ต่างหากถึงจะเป็นมหามรรคาบทขยี้มดตัวเล็กอย่างแท้จริง บดขยี้ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง
ฟ้าดินเล็กทุกแห่ง บวกกับตัวอู๋ซวงเจี้ยงเอง ต่างก็เล็กเหมือนเมล็ดงา
เฉินผิงอันสวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดมีเรือนกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่แบกรับชื่อจริงของเผ่าปีศาจเอาไว้นับไม่ถ้วน เรือนกายจึงงองุ้มลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อเขาไม่จงใจยืดกระดูกสันหลังให้ตรงอีกต่อไป ในที่สุดก็เป็นครั้งแรกที่เปิดเผยขอบเขตปราณโชติช่วงของขอบเขตสิบอย่างสมบูรณ์นับตั้งแต่ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับมายังบ้านเกิด ยื่นมือไปกุมกระบี่ยาวเย่โหยวเอาไว้
ขอให้ข้าได้นำไปก่อน
ตอนเป็นเด็กหนุ่มใช้กระบี่ฟันเปิดภูเขาจินสุ้ยหนึ่งที บวกกับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
สามารถส่งได้กี่กระบี่ก็เท่านั้น
กลายร่างเป็นรุ้งยาวทะยานจากไป
เปี่ยมไปด้วยมาดของเซียนกระบี่
เจียงซ่างเจินและหนิงเหยาแยกกันยืนอยู่คนละทิศทาง
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินที่สวมชุดกว้าสีเขียวตัวยาว สวมรองเท้าผ้า เบื้องหน้ามีใบหลิวเต็มใบสมบูรณ์หยุดลอยอยู่ คล้ายปลาวาฬสูบน้ำที่ดูดเอาปราณวิญญาณในร่างของเจียงซ่างเจินไปจนหมด ไม่เสียดายหากต้องวิดน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา ไม่เสียดายหากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตจะขอบเขตถดถอย หรืออาจถึงขั้นหักสะบั้นไปนับแต่นี้
หนิงเหยาถือกระบี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมากดไว้ตรงหว่างคิ้ว ปาดเบาๆ หนึ่งที นาทีนี้เทียนเจินกระบี่เซียนในมือเหมือนได้รับอภัยโทษ ถึงได้เลื่อนสู่ขอบเขตสูงสุดของกระบี่อย่างแท้จริง
กระบี่ยี่สิบเอ็ดเล่มของเฉินผิงอันรวมกันเป็นหนึ่ง ฟาดฟันร่างจริงของอู๋ซวงเจี้ยงขอบเขตสิบสี่และกายธรรมคนฟ้า
กระบี่บินของเจียงซ่างเจินฟันหัวจิตหยิน
หนึ่งกระบี่ของหนิงเหยาฟันจิตวิญญาณของอู๋ซวงเจี้ยง
ฟ้าใสดินสว่าง
คนทั้งสี่กลับมายังนครเถียวมู่ของเรือราตรีอีกครั้ง
ชุยตงซานยืนโงนเงนอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม เจียงซ่างเจินจอนผมสองข้างเป็นสีขาวหิมะ หนิงเหยามือหนึ่งถือกระบี่ มือหนึ่งประคองเฉินผิงอัน
ชุยตงซานถ่มเลือดออกมาหนึ่งคำ ด่ามารดาไปทีหนึ่ง ใต้หล้านี้ไม่มีใครเขาผสานมรรคากับคนสามัคคีกันอย่างนี้!
เจียงซ่างเจินนวดคลึงปลายคาง ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เอาน่า เดี๋ยวยังต้องลงมืออีกรอบ”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง มองไปทางประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม มีอู๋ซวงเจี้ยงคนหนึ่งที่มือหนึ่งถือประคองถ้วยชา อีกมือหนึ่งถือฝาปิดถ้วย ขอบเขตสิบสี่ที่ไร้ความเสียหายใดๆ ยืนพิงประตูใหญ่อยู่อย่างนั้น มองคนทั้งสี่ด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เอ่ยเนิบช้าว่า “ในเมื่อสามารถสังหารขอบเขตสิบสี่ได้จริง ถ้าอย่างนั้นก็มีคุณสมบัติจะทำการค้ากับข้าแล้ว”
หลังจากเฉินผิงอันยืนตัวตรงแล้วก็ดึงมือหนิงเหยาเอาไว้ก่อน จากนั้นจึงโบกมือบอกเป็นนัยแก่เจียงซ่างเจินและชุยตงซานว่าไม่ต้องรีบร้อน
อู๋ซวงเจี้ยงคีบฝาถ้วยมาปิดลงเบาๆ ฟ้าดินเล็กบังเกิดขึ้นอีกครั้ง สกัดกั้นการลอบสำรวจตรวจสอบของเรือราตรีไปอย่างสิ้นเชิง
เฉินผิงอันถาม “คือนาง?”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ มองคนหนุ่มผู้นี้แล้วค่อยมองหญิงสาวข้างกายเขา เอ่ยว่า “น้อยนักที่จะมีคู่รักอย่างพวกเจ้า จงทะนุถนอมเห็นค่าให้มาก”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “มหามรรคาของเจ้าไม่ได้รับความเสียหายสักนิดเลยหรือ?”
ชุยตงซานขบคิดลึกซึ้งไม่พูดจา มือสองข้างซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อ
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มไม่เอ่ยอะไร
การผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ของอู๋ซวงเจี้ยง อันที่จริงมหามรรคาของเขาก็อยู่ที่ประโยคเดียวว่า หวังให้คนมีรักได้ครองคู่อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า
สิ่งที่ผสานมรรคาด้วยก็คือเทวบุตรมารนอกโลกที่ชื่อจริงว่าเทียนหรานผู้นั้น คือคู่รักของเขา คือคนในใจของเขา
ส่วนความเสียหายบนมหามรรคา แน่นอนว่าต้องมี แต่กลับอยู่บนร่างของคู่รักเขาคนนั้น แต่ไม่เป็นไร มีเขาอยู่ นางต้องการอะไร เขาล้วนสามารถมอบให้ได้
เฉินผิงอันถาม “ทำไปเพื่ออะไร?”
อู๋ซวงเจี้ยงหัวเราะ แหงนหน้ามองม่านฟ้า จากนั้นถอนสายตากลับมา รอยยิ้มยิ่งอ่อนโยนมากกว่าเดิม “ข้าไม่รู้สึกว่าตัวเองไร้เทียมทานอะไรอย่างแท้จริง ส่วนความรักความแค้นอะไรในนี้ ล้วนเป็นปฏิทินเหลืองเก่าแก่ไปแล้ว ไม่สู้พวกเรามา…นั่งลงคุยกันช้าๆ ดีไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
คนทั้งกลุ่มจึงพากันไปยังห้องของเฉินผิงอัน
อู๋ซวงเจี้ยงนั่งอยู่ตรงตำแหน่งติดหน้าต่างเพียงลำพัง เฉินผิงอันกับหนิงเหยานั่งลงบนม้านั่งยาวตัวเดียวกัน เจียงซ่างเจินนั่งลง ชุยตงซานยืนอยู่ข้างกายเขา นวดไหล่ทุบหลังให้เจียงซ่างเจินพลางเอ่ยอย่างเจ็บปวดเสียใจไปด้วย “ลำบากโจวอันดับหนึ่งแล้ว ผมหงอกนี่เหมือนหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่ผุดขึ้นหลังฝนตกอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาข้าที่เห็นเจ็บปวดใจยิ่งนัก”
เจียงซ่างเจินยื่นนิ้วมาลูบจอนผม คลี่ยิ้มเจิดจ้าสดใส “น้องชุยเจ้าไม่เข้าใจเสียแล้ว นี่เรียกว่ากลิ่นอายของบุรุษ รู้หรือไม่ เข้าใจหรือไม่?”
อู๋ซวงเจี้ยงมอง…คนรุ่นเยาว์พวกนี้ แล้วยิ้มเอ่ย “ชีวิตนี้ข้าเจอเรื่องไม่คาดฝันมามากมาย แต่แทบไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์หนึ่งในหมื่นมาก่อน พวกเจ้าทุกคน ใช้ได้เลย แต่หากไม่มีหนิงเหยาอยู่ด้วย ตอนนี้พวกเจ้าสามคนก็คงไม่มีจุดจบเช่นนี้แล้ว”
เฉินผิงอันถาม “จะมีศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายหรือ? อีกทั้งต้องรับประกันว่าจะต้องมีคนปกป้องคู่รักของเจ้า?”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้ารับ “ก็คือเต๋าเหล่าเอ้อผู้นั้น ข้ากับเขามีความแค้นต่อกัน อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว คำว่าผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของคนผู้นี้ สามารถสังหารข้าแล้วค่อยสังหารเทียนหรานได้ ดังนั้นปีนั้นการที่นางออกไปจากตำหนักสุ้ยฉูก็คือการค้าครั้งแรกระหว่างข้ากับอารามเสวียนตู วันนี้คุยกับเจ้าก็คือครั้งที่สอง ไม่อย่างนั้นนางโง่ขนาดนั้น ไหนเลยจะหนีพ้นเงื้อมมือของข้าไปได้? หากเจ้าหนูอย่างเจ้าเห็นข้าแล้วประคองนางส่งให้ข้าด้วยสองมือ แบบนั้นก็จะไม่ถูกใจข้ามากๆ แล้ว นางอยู่ในไพศาล อีกทั้งยังมีเจ้าคอยปกป้อง ข้าก็ค่อนข้างวางใจแล้ว”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่พูดจา
อู๋ซวงเจี้ยงพลันเอ่ยประโยคประหลาดอย่างหนึ่ง “เฉินผิงอัน ไม่เพียงแค่เจ้า อันที่จริงพวกเราทุกคนต่างก็มีทะเลสาบจดหมาย (ซูเจี่ยน) อยู่แห่งหนึ่ง”
——