อู๋ซวงเจี้ยงยกถ้วยชาลักษณะเรียบง่ายโบราณที่มีลวดลายเป็นลายจุดนกกระทาจีนในมือขึ้นมาจิบชาเบาๆ หนึ่งอึก มองเฉินผิงอัน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานเปิดราคามาได้เลย พูดมาให้ข้าฟังก่อน ไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้ข้ารู้สึกว่าเจ้าละโมบ ข้าผู้แซ่อู๋กับคนรักก็มีแค่สองชีวิตแล้ว ไม่ว่าจะเปิดราคาสูงเทียมฟ้าอย่างไรก็ล้วนไม่มากเกินไป”
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “ฝืนบังคับซื้อขายไม่ใช่นิสัยของผู้สูงศักดิ์กระมัง?”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้า “เป็นที่น่าสงสัยว่าจะเป็นเช่นนี้จริง เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงชีวิตและทรัพย์สิน ข้าจึงไม่อาจมัวมาสนใจเรื่องมาดแห่งเซียนอะไรอีกแล้ว”
เจียงซ่างเจินทอดถอนใจเอ่ย “ช่างจริงใจจริงๆ ถึงอย่างไรเทพเซียนผู้เฒ่าอู๋ก็เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ คำพูดและการกระทำล้วนเปิดเผยตรงไปตรงมา”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มอ่อน “ถูกพวกเจ้าฟันตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ต้องฟังคำพูดเหน็บแนมอีกแค่ไม่กี่คำก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก”
การช่วงชิงบนมหามรรคาจำเป็นต้องเป็นการช่วงชิงที่ตัดสินว่าเจ้าตายข้ารอด เจียงซ่างเจินโมโหไม่เบา จึงคิดจะลุกขึ้นร่ายเหตุผลสักสองสามประโยค แต่กลับถูกชุยตงซานใช้สองมือกดบ่าเอาไว้ ออกแรงกดเขาให้นั่งกลับลงไป พูดบ่นว่า “อะไรกัน อะไรกัน สู้ก็สู้ไม่ชนะ ประหยัดแรงไว้หน่อยเถอะ อีกเดี๋ยวหากเจรจากันไม่สำเร็จ หน้าที่สำคัญที่ต้องโขกหัวขอร้องเทพเซียนผู้เฒ่าอู๋ยังต้องมอบให้ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งอย่างเจ้านะ”
เฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็หยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา ทายาที่เป็นสูตรลับของร้านยาตระกูลหยางลงบนสองมือ พันแผลอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงหยิบยันต์กระดูกขาวก่อเกิดเนื้อขึ้นมาหลายแผ่น สุดท้ายเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อแล้วถึงได้เอ่ยว่า “ขอผู้อาวุโสโปรดพลิกเปิดปฏิทินเหลืองสักหน่อย ฟังเสร็จแล้วผู้เยาว์ค่อยตัดสินใจอีกที”
อู๋ซวงเจี้ยงมองคนหนุ่มที่สีหน้าสงบนิ่งสุขุมอยู่ตลอดเวลาผู้นี้ ยิ้มถามว่า “กระบี่สุดท้ายนั้นของเจ้าฟันออกมาอย่างไร?”
หากเปลี่ยนมาเป็นหนิงเหยาที่ออกกระบี่นั้น อู๋ซวงเจี้ยงคงไม่แปลกใจ แต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ในมือถือกระบี่ยาวที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนแค่ครึ่งเล่ม แต่กลับสามารถฟันร่างจริงและกายธรรมคนฟ้าของตนให้แหลกสลายได้เลยหรือ?
เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่ใช่กระบวนท่าชั้นยอดอะไร ก็แค่กระโดดทะยานไปข้างหน้า ออกกระบี่ฟันไปส่งเดช ทว่าใช้วิธีการโคจรที่มาจากปราณกระบี่สิบแปดหยุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วก็บวกวิชาหมัดอีกเล็กน้อย มีชื่อว่ากระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า”
อยู่กับอู๋ซวงเจี้ยงที่ไม่ว่าเรียนรู้เรื่องอะไรก็เป็นทุกเรื่อง คิดจะจงใจปิดบัง ไม่ได้มีความหมายเท่าใดนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สู้เปิดเผยอย่างจริงใจไปเลยจะดีกว่า
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มพลางพยักหน้ารับ ยกมือขึ้น สองนิ้วประกบกันแล้วปาดเบาๆ หนึ่งที บนโต๊ะปรากฏปราณกระบี่เมล็ดงาสิบแปดเมล็ด ไม่ได้เรียงตัวเป็นเส้นตรง ตำแหน่งที่หยุดลอยตัวอยู่สอดคล้องกับช่องโพรงลมปราณฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์สิบแปดแห่งพอดี ร้อยเรียงกันเป็นเส้น แสงกระบี่สว่างไสวน้อยๆ โต๊ะเหมือนผืนดินกว้างใหญ่ ปราณกระบี่คล้ายดวงดาว จึงเหมือนว่าอู๋ซวงเจี้ยงสร้างธารดวงดาวเล็กจิ๋วเส้นหนึ่งขึ้นมากลางอากาศ มืออีกข้างของอู๋ซวงเจี้ยงพลันกำเป็นหมัด ผลักออกไปช้าๆ ส่ายหน้าคล้ายไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก มีการเปลี่ยนวิถีโคจรอย่างเล็กละเอียดอยู่หลายครั้ง สุดท้ายปล่อยหมัดหนึ่งออกไป กลมกลืนเป็นธรรมชาติ หลังจากที่ปราณกระบี่เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่นก็กลายมาเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่หยุดลอยอยู่ หรือควรจะพูดว่าคือสิบแปดหมัดที่ทับซ้อนกันอย่างสมบูรณ์
อู๋ซวงเจี้ยงบิดหมุนข้อมือ เก็บ ‘ม้วนภาพ’ ที่เป็นทั้งวิชากระบี่และเป็นทั้งวิชาหมัดนี้กลับเข้าไปในชายแขนเสื้อ ไม่ปิดบังสีหน้าชื่นชมของตัวเองแม้แต่น้อย พยักหน้ายิ้มเอ่ย “หมัดเป็นหมัดดี น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ไม่อาจเรียนรู้ได้ทั้งหมด ขาดจิตวิญญาณที่เป็นรากฐานส่วนหนึ่งไป”
อู๋ซวงเจี้ยงทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะคีบยันต์กระดาษสีเขียวแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ผลักออกไปเบาๆ แผ่นยันต์ก็ลอยเข้าหาเฉินผิงอัน “ถือเสียว่าเป็นการชดเชยเล็กๆ น้อยๆ จากตำหนักสุ้ยฉู”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีความชอบไม่รับเงิน ผู้อาวุโสอาศัยความสามารถของตัวเองเรียนรู้วิชากระบี่และปณิธานหมัดไปได้ ผู้เยาว์จะฝืนใจยอมรับไว้ก็แล้วกัน”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เป็นยันต์ร่างเบาไท่ชิงแผ่นหนึ่ง มีอีกชื่อหนึ่งว่ายันต์วิเศษตะวันขาวลอยสูง หรือถูกพวกนักพรตเต๋าของใต้หล้ามืดสลัวเรียกว่ายันต์สละศพบน เป็นผลงานที่ข้าภาคภูมิใจ มีต้นกำเนิดมาจากยันต์ไท่เสวียนชิงเซิงที่มรรคาจารย์เต๋าสร้างขึ้นด้วยตัวเอง มันกับยันต์ขวานหยกตำหนักดวงจันทร์ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นยันต์ใหญ่อย่างสมชื่อ”
เฉินผิงอันได้ยินแล้วก็ยังไม่สะทกสะท้าน ยังคงปฏิเสธเหมือนเดิม
ยันต์ตัวเบาลอยสูงนี้ หากการเจรจาการค้าในวันนี้สำเร็จลงด้วยดีในท้ายที่สุด อย่าว่าแต่แผ่นหนึ่งเลย ต่อให้อู๋ซวงเจี้ยงมอบมาให้ปึกใหญ่ เฉินผิงอันก็จะรับไว้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แต่อู๋ซวงเจี้ยงผู้นี้นิสัยยากคาดเดา สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าอยู่ดีๆ เขาจะพลิกหน้าแตกหักกันหรือไม่ หากเล่นตุกติกกับยันต์แผ่นหนึ่ง แล้วตนรับไว้อย่างผึ่งผาย หากไม่เรียกว่าหาที่ตายจะเรียกว่าอะไร
เห็นว่าอิ่นกวานหนุ่มยังคงไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่น อู๋ซวงเจี้ยงก็ทั้งไม่มีโทสะ แล้วก็ไม่เก็บยันต์ที่ทำจาก ‘วัสดุที่มีรากฐานมาจากบทความคำเขียว’ นั้นมา ปล่อยให้มันลอยอยู่เหนือผิวโต๊ะเบื้องหน้าเฉินผิงอันเบาๆ อยู่อย่างนั้น
ชุยตงซานที่ยืนอยู่ด้านหลังเจียงซ่างเจินเขย่งปลายเท้า เพ่งสายตามองยันต์ล้ำค่าที่มีประกายแสงของวิเศษไหลรินวิบวับ วิชาการวาดยันต์สามารถแอบเรียนรู้มาได้หลายส่วน ทว่ากระดาษยันต์กลับยากที่จะแทนที่ได้ เพราะว่าวัสดุที่ใช้สร้างยันต์แผ่นนี้ดีมากและล้ำค่ามาก ไม่เพียงแต่มีมูลค่าควรเมือง หลักๆ แล้วยังมีราคาแต่ไร้ตลาด อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวแห่งนั้นถือเป็นของดีที่เซียนเหรินของห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิงเอามาใช้อัญเชิญเทพลงมาโดยเฉพาะ
อู๋ซวงเจี้ยงหันหน้าไปมองเจ้าประมุข ‘ผู้เฒ่า’ ของสำนักกุยหยกที่จอนผมสองข้างเป็นสีขาวหิมะแล้วพูดกลั้วหัวเราะอย่างเบิกบาน “เจ้าและข้าต่างก็ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน”
สตรีที่ทั้งสองฝ่ายรัก ล้วนไม่ใช่สตรีที่รูปโฉมงามล้ำในบรรดาสตรีบนภูเขาอะไร สำหรับผู้ฝึกตนอย่างพวกเขาแล้ว ความงามแบบใดที่มีไม่ได้บ้างเล่า?
เจียงซ่างเจินยกมือขึ้นกุมหมัดแล้วเขย่าเบาๆ ยิ้มร่าหน้าเป็น “ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว”
ตำแหน่งที่นั่งของคนห้าคนในห้องนี้ก็น่าสนใจอย่างมาก
อู่ซวงเจี้ยงนั่งหันหลังให้ประตู ยามอยู่บนโต๊ะสุราผู้ที่ได้นั่งหันหน้าเข้าหาประตูใหญ่คือผู้สูงศักดิ์ที่สุด
ในบรรดาพวกกลุ่มของเฉินผิงอัน หลังจากที่อู๋ซวงเจี้ยงนำเข้ามานั่งในห้องก่อน แม้ว่าเฉินผิงอันจะขอบเขตต่ำสุด ขณะเดียวกันยังบาดเจ็บไม่เบา เป็นรองแค่ชุยตงซานที่คราบร่างพังทลายเท่านั้น แต่กลับยังคงนั่งอยู่บนม้านั่งยาวฝั่งซ้ายมือของอู๋ซวงเจี้ยง ดังนั้นตำแหน่งที่นั่งจึงอยู่ใกล้กับอู๋ซวงเจี้ยงที่สุด
หนิงเหยาเลือกนั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอันคล้ายผู้ปกป้องมรรคาของเขา
เจียงซ่างเจินแย่งนั่งฝั่งขวามือของอู๋ซวงเจี้ยง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงยกตำแหน่งที่นั่งฝั่งตรงข้ามของอู๋ซวงเจี้ยงให้กับเด็กหนุ่มชุดขาวที่บาดเจ็บหนักที่สุด ถือว่าอยู่ห่างจากอู๋ซวงเจี้ยงมากที่สุด เพียงแต่ว่าชุยตงซานกลับไม่ได้นั่งลง แต่ยืนอยู่ด้านหลังเจียงซ่างเจิน
นอกจากอู๋ซวงเจี้ยงที่เป็นคนนอกแล้ว
คนสี่คนในห้อง อันที่จริงต่างก็คิดพิจารณาเพื่อคนอื่นๆ ทั้งสิ้น
ภูเขาลั่วพั่วมีขนบธรรมเนียมที่ดี ระหว่างคู่รักเทพเซียนอายุน้อยคู่หนึ่ง ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ ระหว่างเจ้าสำนักและผู้ถวายงาน ทุกคนล้วนสามารถฝากชีวิตความเป็นความตายให้กันได้หมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
เทียนหรานอยู่ข้างกายคนพวกนี้ย่อมเหมาะสมที่สุดแล้ว
และนี่ก็คือสาเหตุที่ว่าเหตุใดตอนที่เขาอู๋ซวงเจี้ยงปรากฏตัวถึงได้ไม่ปกปิดจิตสังหารของตัวเองแม้แต่น้อย ไม่มีท่าทีว่าจะนั่งลงปรึกษากันสักนิด
นั่นก็เพื่อพิสูจน์เรื่องหนึ่ง สรุปแล้วเฉินผิงอันให้ความสำคัญกับการค้าและคำสัญญามากน้อยแค่ไหน สรุปแล้วเฉินผิงอันจะยินดีจ่ายค่าตอบแทนมากน้อยแค่ไหนในการรักษาคำมั่นสัญญา
“บนโต๊ะเหล้าตัวหนึ่ง อะไรคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด?”
อู๋ซวงเจี้ยงถามเองตอบเอง “แขกที่นั่งบนโต๊ะเหล้าล้วนไม่รกหูรกตากัน”
เฉินผิงอันกำลังจะเปิดปากพูด อู๋ซวงเจี้ยงกลับผงกปลายคางไปทางประตูห้อง “เจ้าสามารถออกไปก่อนได้ บอกให้ลูกศิษย์ของเจ้าและภูตน้ำน้อยตนนั้นวางใจก่อน แล้วพวกเราค่อยมาคุยธุระกันอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นเจ้าเองก็ยากจะวางใจได้อย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไปที่ห้องของหนิงเหยา บอกเผยเฉียนว่าไม่มีอะไรแล้ว เพียงแต่บอกเผยเฉียนว่าไม่ต้องรีบร้อนปลุกหมี่ลี่น้อยที่หลับสนิทกรนครอกๆ ให้ตื่นขึ้นมา
พบว่าเผยเฉียนยังคงกังวลใจ เฉินผิงอันจึงงอสองนิ้วทำท่าเขกมะเหงก เผยเฉียนจึงหัวเราะ นั่งกลับลงไปตำแหน่งเดิม ลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย
เฉินผิงอันก้าวเท้าเนิบช้าเดินอยู่กลางระเบียง เด็กชายผมขาวที่มีชื่อจริงว่าเทียนหรานหายตัวไปไม่รู้ร่องรอยแล้ว ต้องถูกอู๋ซวงเจี้ยงซ่อนตัวไว้อย่างแน่นอน
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ สำหรับเรื่องนี้เขาเหมือนคนที่มองแสงไฟอยู่ในถ้ำมืด หันหน้ามาพูดกับเจียงซ่างเจินว่า “มิน่าเล่าเจ้าถึงตัดใจยอมทุ่มทุนได้ลง ทั้งวิชาการเดิมพันและโชคในการเดิมพันต่างก็ดีจนไร้ขอบเขตสิ้นสุดแล้วจริงๆ”
เจียงซ่างเจินหิ้วเหล้าแสงจันทร์กาหนึ่งที่หมักจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาบ้านตัวเองออกมา กำลังแหงนหน้ากระดกดื่ม เช็ดมุมปาก ยิ้มเอ่ยว่า “เทพเซียนผู้เฒ่าอู๋ขอบเขตสูง พูดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นแหละ”
รอกระทั่งเฉินผิงอันกลับมานั่งลงอีกครั้ง อู๋ซวงเจี้ยงจึงใช้ถ้วยชาในมือเคาะหน้าโต๊ะเบาๆ ตรงก้นของถ้วยชามีอักษรคำว่า ‘ทำไม่ได้’ สามคำ ตัวอักษรสามคำกลายเป็นแสงสีทองที่พลันแผ่กระจายดั่งหยดน้ำลายเมฆอยู่บนผิวโต๊ะในชั่วพริบตา พวกเฉินผิงอันพากันมาอยู่ในชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย มีเพียงเสาสี่ต้นค้ำประคองเพดานแก้วใส ไม่มีประตูหน้าต่างใดๆ บดบังการมองเห็น เบื้องหน้าเฉินผิงอันยังคงมีแผ่นยันต์สีเขียวแผ่นหนึ่งหยุดลอยอยู่ เจียงซ่างเจินยืนพิงราวระเบียง สองนิ้วคีบกาเหล้าแกว่งเบาๆ แสงจันทร์และกลิ่นสุราถูกเขย่าออกมาพร้อมกัน โชยกระจายไปท่ามกลางฟ้าดิน
ชุยตงซานกระโดดผลุงออกไป ยืนอยู่บนราวรั้ว ชายแขนเสื้อสีขาวหิมะสองข้างถูกลมบนฟ้าพัดปลิวให้โบกไสวไปช้าๆ
อู๋ซวงเจี้ยงเดินไปบนราวหยกขาวที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งช้าๆ ใต้ชายคามีกระดิ่งม้าวิ่งพวงหนึ่งห้อยอยู่ มันขยับแกว่งไปตามลมพัด ส่งเสียงดังกรุ้งกริ้ง ยามที่ส่ายไหวก็ปล่อยเส้นแสงสีทองออกมาเป็นระลอก หากตั้งใจฟังอย่างละเอียดจะได้ยินเป็นเสียงสตรีร้องเพลง น้ำเสียงอ่อนหวานใสกังวาน
อู๋ซวงเจี้ยงเก็บถ้วยชา เอาสองมือไพล่หลัง ทอดสายตามองไปยังทิศไกล ชี้ไปยังภูเขาลูกหนึ่ง ที่นั่นมีศาลาหอเรือน มีตำหนักอารามสร้างเรียงรายลดหลั่นอยู่บนภูเขา “นับตั้งแต่ตีนเขาไปจนถึงยอดเขามีจวนทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดแห่ง ตอนที่ข้าเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตก็เคยมีความคิดหนึ่ง วันหน้าหากให้ข้ามาเป็นเจ้าตำหนักของตำหนักสุ้ยฉู ตำหนักสุ้ยฉูก็จะต้องมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์หนึ่งร้อยแปดคน ลูกศิษย์รับลูกศิษย์ ต่างคนต่างแบ่งกันครอบครองสถานที่แห่งหนึ่ง แต่ละคนต่างก็ขอบเขตไม่ต่ำ มรรคกถาก็ไม่ธรรมดา น่าเสียดายที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังทำไม่สำเร็จ จวนสร้างง่ายคนหายาก เงินหาง่าย แต่ใจคนกลับเหมือนน้ำไหล ผู้ฝึกตนในสำนักหลายคนที่คุณสมบัติดีเยี่ยมก็มักจะควบคุมความคิดจิตใจไม่อยู่ รังเกียจนั่นรังเกียจนี่ หากไม่บอกว่าจวนเล็กไปก็บอกว่าตำแหน่งต่ำเกินไป เป็นเหตุให้ทุกคนต่างก็เป็นได้แค่แขกที่ผ่านทางมา”
อู๋ซวงเจี้ยงหัวเราะ “ตำหนักสุ้ยฉูถูกคนเรียกว่าเป็นรังเด็กหนุ่ม ข้าก็ยิ้มรับเอาไว้แล้ว เอามาใช้เตือนผู้ฝึกตนของตำหนักสุ้ยฉูได้พอดีว่าจิตใจและปณิธานของคนเยาว์วัยล้ำค่าหายากที่สุด อย่าได้ถูกวิถีทางโลกขัดเกลาจนสิ้น”
การฝึกตนตลอดชีวิตที่ผ่านมาหมั่นเพียรขันแข็งเกินไป ไม่กล้าเกียจคร้านเลยแม้แต่น้อย เป็นเหตุให้มักจะติดหนี้อ่านตำราอยู่เสมอ
บางครั้งพบเจอเรื่องราวบนภูเขา ยามว่างจุดธูปชมหยกท่องบทกวีริมลำธาร ทุกครั้งก่อนที่อู๋ซวงเจี้ยงจะลงจากภูเขาไปฆ่าคน ก็จะต้องเปิดวลีของซูจื่อออกอ่านเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง
เฉินผิงอันพลันถามว่า “เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยของภูเขาห้อยหัวชื่อจริงคืออะไร?”
อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ย “ชื่อจริงคงไม่พูดถึงแล้ว ไม่อย่างนั้นเสี่ยวป๋ายจะต้องอารมณ์ไม่ดีแน่ ส่วนในทำเนียบหยกทองของตำหนักสุ้ยฉูข้า เขาชื่อป๋ายลั่ว ลั่วจากประโยคฉี่ฉี่ลั่วลั่วน่ะ”
ในใจเฉินผิงอันสะเทือนเลือนลั่น กดเสียงต่ำถามคำถามที่คล้ายจะเกินความจำเป็นอย่างมาก “ฉี่ลั่วที่แปลว่าขึ้นๆ ลงๆ น่ะหรือ?”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงเสี่ยวป๋ายก็อยู่บนเรือราตรีเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้อยู่ในนครเถียวมู่ เขาไปเดินเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่ที่นครชุยก่งอยู่ตลอด เกินครึ่งคงจะไปหาเรื่องชายหน้ายาวผู้นั้นกระมัง ดังนั้นตอนนั้นที่เจ้าปฏิเสธข้อเสอของเสี่ยวป๋าย ถือเป็นการเลือกที่ฉลาดมาก ไม่อย่างนั้นนครบินทะยานและใต้หล้าแห่งที่ห้าย่อมต้องระดมพลยิ่งใหญ่แล้ว สำหรับผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานแล้วอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปทั้งหมด ไม่แน่ว่าภายในเวลาร้อยปีอาจจะยังบุกรุดหน้าไปดั่งผ่าลำไม้ไผ่ สามารถใช้กำลังของหนึ่งนครมางัดข้อกับกองกำลังของสามลัทธิโดยที่ไม่ตกเป็นรองก็เป็นได้ เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ แผนการยาวไกลที่คฤหาสน์หลบร้อนตั้งใจให้พวกเขาลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงและต่อสู้ได้อย่างมั่นคง กิจการใหญ่พันปีส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้นครบินทะยานตั้งตระหง่านไม่ล้มลง เกรงว่าคงจะสูญเปล่าไปทั้งหมดแล้ว”
เฉินผิงอันรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง เป็นเหตุใดอดรนทนไม่ไหว ถึงกับหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมากระดกดื่มอึกใหญ่ต่อหน้าหนิงเหยา ถึงจะสามารถระงับความตกใจเอาไว้ได้
ตอนนั้นปฏิเสธการค้าของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมคนนั้น อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้คิดอะไรมากจริงๆ เพียงแค่หวังให้ไม่เกิดปัญหาแทรกซ้อนกับนครบินทะยานเท่านั้น เป็นทั้งความเสี่ยงแล้วก็เป็นทั้งโอกาส โอกาสก็จะกลายเป็นความเสี่ยง หลักการเหตุผลข้อนี้เรียบง่ายอย่างยิ่ง เถ้าแก่หนุ่มคนหนึ่งที่อดทนข่มกลั้นอยู่ในภูเขาห้อยหัวมานานหลายปี แล้วยังเป็นคนเฝ้าปีของตำหนักสุ้ยฉู คนที่เขาไม่รู้ประวัติความเป็นมาแม้แต่น้อย เฉินผิงอันจึงไม่เชื่อใจ
หนิงเหยาพอจะเดาได้ แต่ไม่กล้ามั่นใจ จึงใช้สายตาสอบถามเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันพยักหน้า เอ่ยอย่างจนใจว่า “ก็คือคนผู้นั้น”
ลองหยิบความทรงจำในอดีตขึ้นมา เรื่องราวในวันวานคล้ายพุ่งผ่านไปตรงหน้า โรงเตี๊ยมเล็กที่ตั้งอยู่สุดตรอกเล็กในภูเขาห้อยหัว เฉินผิงอันยังจำได้ว่าทุกครั้งที่ไปพักแรมที่นั่น จะต้องเห็นว่าคนหนุ่มที่ยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงินคล้ายจะเกียจคร้านอยู่เสมอ และทุกครั้งที่เถ้าแก่หนุ่มพูดคุยกับเฉินผิงอันก็จะต้องมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า เป็นการหาเงินอย่างปรองดองเป็นมิตรอย่างยิ่ง
อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ยประโยคหนึ่งเปิดเผยความลับสวรรค์ “อันที่จริงปีนั้นเสี่ยวป๋ายถูกชะตากับเจ้ามาก ก็เลยถือโอกาสช่วยเจ้า ‘ปกปิด’ โชคชะตาบู๊ส่วนนั้น สองอย่างทับซ้อนกัน ดังนั้นตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลหวงเหลียงถึงได้ทำให้นกกระจอกเหลืองโง่ตัวนั้นตกใจ วางใจเถอะ เรื่องนี้ไม่ใช่การวางแผนเล่นงานอะไร เป็นเพราะเสี่ยวป๋ายรู้สึกว่าคนที่ต้องการตามหาหาไม่พบ เงินก็หามาได้แค่ไม่กี่แดง วันเวลาที่ผ่านพ้นน่าเบื่อเกินไปเท่านั้น ภายหลังเจ้ากลายมาเป็นอิ่นกวาน เสี่ยวป๋ายก็ยังปลาบปลื้มอย่างมาก ยังมาบอกกับข้าว่าสายตาการมองคนของเขาไม่เลวเลย”
——