เครื่องบินลงจอด เย่เฉินกับต่งรั่งหลินลงจากเครื่องบินพร้อมกัน

เพราะเย่เฉินไม่ได้ฝากสัมภาระ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรอหยิบกระเป๋าเดินทาง ส่วนต่งรั่งหลินอย่างไรก็เป็นสุภาพสตรีคนหนึ่ง ปกติออกจากบ้านก็ต้องพกเสื้อผ้ามาไม่น้อยรวมถึงเครื่องสำอางและครีมทาผิว

โดยเฉพาะสิ่งของจำพวกเครื่องสำอางและครีม ความจุอาจเกินมาตรฐานได้ง่าย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำการฝากส่ง

หลังลงจากเครื่องบิน เธอยังไม่อาจไปเลยเหมือนอย่างเย่เฉินได้ ยังต้องไปยังช่องหยิบสัมภาระเพื่อรอกระเป๋าเดินทางออกมา

ด้วยเหตุนี้ เธอจึงรีบร้อนถามเย่เฉินว่า “เย่เฉิน อีกเดี๋ยวคุณจะไปยังไง?”

เย่เฉินกล่าวว่า “ผมจะออกไปเรียกแท็กซี่คันหนึ่งแล้วก็ไปเลย”

ต่งรั่งหลินรีบร้อนพูดว่า “งั้นสู้คุณรอฉันอีกสักเดี๋ยวไม่ดีกว่าหรือ พวกเราไปด้วยกันเถอะ? รถของที่บ้านมารับฉันพอดี ฉันไปส่งคุณได้”

เย่เฉินยิ้มพลางโบกมือ “ไม่ต้องหรอกรั่งหลิน ทางผมด่วนมาก ไปก่อนล่ะ”

ต่งรั่งหลินกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “งั้นก็ได้ ไว้วันหลังเราค่อยนัดกันใหม่ คุณอย่าลืมที่รับปากฉันไว้ล่ะ พวกเราต้องไปกินข้าวด้วยกันหนึ่งมื้อ”

“ได้” เย่เฉินยิ้มเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “คุณรอสัมภาระเถอะ ผมไปก่อนนะ ไว้วันหลังค่อยนัดกัน”

หลังจากบอกลาต่งรั่งหลินแล้ว เย่เฉินก็สาวเท้าเดินออกจากสนามบินเย่นจิงตามลำพัง

หลังเขาออกประตูมา ก็ถอนหายใจออกมาแทบไม่ทัน เตรียมจะไปโบกรถตรงจุดเทียบท่ารถแท็กซี่ที่จอดรอเป็นแถว

หลังจากที่เขาเพิ่งออกมา ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งห่อด้วยเสื้อกันหนาวขนเป็ดอย่างหนา สวมด้วยฮู้ดของเสื้อกันหนาว ทั้งยังสวมแว่นตาดำพร้อมที่ปิดปาก สาวเท้าอย่างรวดเร็วตรงมาทางเขา

ไม่รอให้เขาเห็นชัด หญิงสาวคนนั้นก็โผเข้ามาหาเขาด้วยความดีใจ ร้องเรียกเขาอย่างมีความสุขว่า “พี่เย่เฉิน!”

เย่เฉินจำเสียงของหญิงสาวคนนี้ได้ เธอคือกู้ชิวอี๋นั่นเอง ดังนั้นจึงปล่อยวางความระแวดระวังลง ปล่อยให้เธอโผเข้ามาในอ้อมแขนของตนเอง

เขากอดกู้ชิวอี๋ไว้เบาๆ เย่เฉินถามเธออย่างอดรนทนไม่ไหวว่า “ก็บอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องมารับฉัน? ทำไมยังจะมาอีก?”

กู้ชิวอี๋กล่าวด้วยความร่าเริงสดใสว่า “อยากมาเจอพี่ให้เร็วหน่อยน่ะ! ฉันกลัวว่าหากฉันอยู่ที่บ้าน จะทนไม่ไหวเอาข่าวที่พี่จะมาไปบอกพ่อกับแม่ก่อน ดังนั้นฉันจึงวิ่งออกมาเสียเลย”

เย่เฉินถามอีกว่า “เธอออกมาเองคงไม่ได้ถูกปาปารัสซีจับตาดูหรอกนะ หากถูกปาปารัสซีแอบถ่ายได้ ว่าดาราดังอย่างเธอกอดอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งหน้าประตูสนามบิน เกรงว่าจะกระทบกับชื่อเสียงของเธออย่างใหญ่หลวงน่ะสิ”

“กลัวอะไร!” กู้ชิวอี้พูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแสอย่างมาก “หากถูกถ่ายได้จริง แล้วเปิดเผยออกมา ฉันก็จะบอกว่า คนที่ฉันกอดคือคู่หมั้นของฉัน หากชื่อเสียงจะตกต่ำลงเพราะเรื่องนี้ อย่างนั้นก็ปล่อยมันไปเถอะ เดิมทีฉันก็ไม่ได้อาศัยวงการบันเทิงเลี้ยงชีพอยู่แล้ว เข้ามาเล่นๆ เพื่อจะตามหาพี่ได้สะดวกเท่านั้นเอง ตอนนี้หาพี่เจอแล้ว ฉันก็ถอนตัวออกจากวงการได้ทุกเมื่อ”

“เอาเถอะ” เย่เฉินจนปัญญา จากนั้นก็ถามเธอว่า “พวกเรายังคงรีบไปพบคุณลุงคุณน้าก่อนดีกว่า เธอขับรถมาใช่ไหม?”

กู้ชิวอี๋พยักหน้าพร้อมพูดว่า “ฉันเอารถจอดไว้ที่ลานจอดรถเมื่อกี้ ไป พวกเราไปเอารถกัน!”

พูดจบกู้ชิวอี๋ก็กอดแขนของเย่เฉินไว้ กระโดดโลดเต้นพาเขาไปยังลานจอดรถ

วันนี้รถที่กู้ชิวอี๋ขับมา คือรถวอลโว่เก่าอืดที่ไม่สะดุดตาเป็นอย่างมากคันหนึ่ง หลังเข้าไปนั่งในรถแล้ว เธอก็ดึงหมวกลง พูดอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้างว่า “พี่เย่เฉิน ขอโทษด้วยนะ รถที่ขับมาวันนี้ซอมซ่อไปหน่อย ความจริงคือรถหลายคันของบ้านเราปาปารัสซีจำได้หมดแล้ว ดังนั้นจึงต้องขับรถอีแก่คันนี้ออกมา พี่อย่ารังเกียจมันเลยนะ”

เย่เฉินพยักหน้ายิ้มๆ พลางกล่าวว่า “หลายปีมานี้ฉันมีชีวิตผ่านมายังไงเธอไม่ใช่ไม่รู้ คราวก่อนก็บอกกับเธอแล้วว่า เมื่อก่อนใช้ชีวิตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หลังจากออกมาทำงาน ปู่ของภรรยาฉันก็จัดการให้ฉันไปเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง วันเวลาที่ลำบากอย่างไรฉันก็ผ่านมาหมดแล้ว ต่อให้เธอบอกกับฉันว่าต้องการให้ฉันเดินไปบ้านเธอ ฉันก็ไม่ขัดข้อง”