กู้เย้นจงดึงเย่เฉินไว้ ให้นั่งลงตรงที่นั่งข้างกายตนเอง

เพิ่งจะนั่งลง เขาก็เรียกเย่เฉินด้วยความรักใคร่ทันที “เฉินเอ๋อ พวกเรากินข้าวก่อน เธอลองดูว่าอาหารที่บ้านถูกปากหรือไม่ หากไม่ถูกปาก ลุงจะให้คนไปทำมาให้ใหม่”

เย่เฉินรีบพูดว่า “ลุงกู้ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ก็ได้”

กู้เย้นจงพยักหน้า ก่อนจะซักถามถึงชีวิตของเย่เฉินที่ประสบพบเจอหลายปีมานี้

สำหรับคนในครอบครัวอย่างกู้เย้นจง เย่เฉินจึงไม่ได้ปิดบังมากเท่าไหร่นัก นอกจากความลับของตำราเก้าเสวียนเทียนที่ไม่อาจบอกใครได้แล้ว เรื่องอื่นๆ เขาก็เล่าให้พวกเขาฟังพอสังเขปตั้งแต่ต้นจนจบ

ประกอบด้วยชีวิตก่อนอายุสิบแปดปีของตัวเอง รวมถึงสิ่งที่ประสบพบเจอมาตอนอยู่ในสังคมหลังจากตัวเองอายุสิบแปดปีแล้ว รวมถึงการพบกันของตัวเองกับคุณท่านใหญ่เซียว การแต่งงานกับเซียวชูหรัน รวมถึงชีวิตหลังแต่งงาน

กู้เย้นจงกับหลินหว่านชิวยิ่งฟังก็ยิ่งปวดใจ ในสายตาพวกเขา เย่เฉินอย่างไรก็เป็นลูกหลานของตระกูลเย่ เป็นหลานสายตรงของตระกูลเย่ ทั้งยังบิดาเขาในตอนนั้น คือดาวดวงใหม่ที่เจิดจรัสที่สุดดวงหนึ่งของตระกูลเย่ ตามหลักแล้ว เย่เฉินควรจะมีชีวิตที่สุขสบายใช้ชีวิตหรูหราตั้งแต่เด็กเสียด้วยซ้ำ กลับคิดไม่ถึงว่า เขาจะผ่านเรื่องราวมากมายขนาดนี้อยู่ข้างนอกมาตั้งแต่เด็ก ผ่านความยากลำบากที่คนทั่วไปประสบพบเจอไม่ได้ขาด

พอกู้เย้นจงฟังจบ ก็ทอดถอนใจออกมาไม่หยุด จากนั้นเขาก็ถามเย่เฉินว่า “เฉินเอ๋อ แล้วตอนนี้เธอวางแผนอย่างไรต่อ? ยังคิดจะกลับตระกูลเย่เพื่อทำความรู้จักกับพวกปู่ของเธออีกไหม?”

เย่เฉินส่ายศีรษะ “บอกตามตรงไม่ปิดบัง ลุงกู้ ตอนนี้ผมยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ อีกทั้งผมสงสัยเรื่องการตายของพ่อกับแม่มาตลอด ตระกูลเย่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน ก่อนที่ผมยังไม่ได้สืบเรื่องราวให้กระจ่าง คนในตระกูลเย่ก็คือผู้ต้องสงสัยที่ฆ่าพ่อแม่ของผม ดังนั้นผมจึงไม่คิดจะกลับไปทำความรู้จักกับพวกเขา”

กู้เย้นจงเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า “เฉินเอ๋อ เธอฟังลุงสักประโยค ไม่กลับไปทำความรู้จักกับคนในตระกูลเย่ย่อมได้ แต่อย่าได้โกรธเคืองคนในตระกูลเย่จนกลายเป็นความแค้นเด็ดขาด”

เย่เฉินกล่าวอย่างจริงจังว่า “จะโกรธจนกลายเป็นความแค้นหรือไม่ ไม่ใช่ผมที่เป็นคนตัดสิน แต่เป็นความจริงที่เป็นตัวตัดสิน หากพวกเขาฆ่าพ่อแม่ของผมจริง อย่างนั้นผมจะแก้แค้นให้กับพ่อแม่ของตัวเองไม่ได้เชียวหรือ?”

กู้เย้นจงถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เรื่องราวในปีนั้น…บอกตามตรง ฉันเองก็ยังหาเบาะแสที่แท้จริงไม่เจอสักอย่างจนถึงตอนนี้ พ่อแม่เธอใช่ถูกคนในโลกธุรกิจทำร้ายหรือเปล่า ในตอนนี้ยังคงไม่มีหลักบานใดๆ”

เย่เฉินพูดว่า “อย่างน้อยพ่อแม่ผมในปีนั้นที่ถูกบีบให้ไปจากเย่นจิง เป็นเพราะการบีบคั้นจากคนในตระกูลเย่ หากไม่ใช่เพราะพวกเขา พ่อแม่ผมก็คงไม่มีทางตายอยู่ในจินหลิง”

กู้เย้นจงพยักหน้าเบาๆ “สาเหตุของเรื่องเป็นเช่นนี้จริงๆ การตายของพ่อแม่เธอ คนตระกูลเย่สมควรต้องชดใช้อย่างแท้จริง”

พูดจบ กู้เย้นจงก็กล่าวปลอบอีกว่า “เฉินเอ๋อ ลุงว่าตระกูลเย่สั่งให้ถังซื่อไห่มอบบริษัทราคาแสนล้านแห่งหนึ่งให้กับเธอ และยังมอบเงินให้เธอเป็นจำนวนหมื่นล้าน ตามความเห็นของลุง นี่คงจะเป็นสิ่งที่ตระกูลเย่ชดเชยให้กับเธอ หรือชดเชยให้กับพ่อแม่ของเธอ ทรัพย์สินและเงินทองเหล่านี้ แม้ไม่นับว่ามากมายสำหรับตระกูลเย่ แต่ก็นับว่าเป็นความบริสุทธิ์ใจอย่างหนึ่ง หากเธอไม่ต้องการกลับตระกูลเย่ ทรัพย์สินเหล่านี้ก็มากพอให้เธอเหลือกินเหลือใช้ไปตลอดชีวิต เธอลำบากลำบนมาหลายปีขนาดนี้ สมควรได้มีชีวิตที่ดีๆ บ้าง อย่าเอาแต่ยึดติดกับเรื่องในอดีตอีกเลย…”