เย่เฉินรู้ว่ากู้เย้นจงหวังดีต่อตนเอง แต่เขายังคงส่ายหน้าเบาๆ เขาเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังยิ่ง “ลุงกู้ แม้ผมกับพ่อแม่จะมีวาสนาต่อกันค่อนข้างสั้น ได้ใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขาเพียงแปดปี แต่ที่ไหลเวียนอยู่ในกายผม คือสายเลือดของพวกท่านทั้งสอง หากชาตินี้ไม่อาจแก้แค้นให้พวกเขาได้ อย่างนั้นผมจะไม่ผิดต่อสายเลือดและชีวิตที่พวกท่านมอบให้ผมได้อย่างไร?”

หลินหว่านชิวที่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอด พอฟังถึงตรงนี้ ก็อดขอบตาแดงเรื่ออุทานเสียงเบาไม่ได้ “เย้นจง บุคลิก และอุปนิสัยของเฉินเอ๋อ แทบจะไม่ต่างอะไรกับพี่เย่ในตอนนั้นเลย พี่เย่ในตอนนั้นหากขยี้เจอเม็ดทรายเข้าตา เขาไม่มีทางพาลูกเมียจากเย่นจิงไปอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยวหรอก ตอนนั้นคุณยังโน้มน้าวพี่เย่ไม่ได้ ตอนนี้ก็อย่าได้โน้มน้าวเฉินเอ๋อเลย”

กู้เย้นจงพยักหน้าอย่างห่อเหี่ยว ถอนใจยาวออกมาเสียงหนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่เย่เฉิน แล้วก็มองไปที่กู้ชิวอี๋ลูกสาว ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า “เฉินเอ๋อ เรื่องอื่นสามารถชะลอก่อนได้ หากอนาคตเธอต้องเป็นศัตรูกับตระกูลเย่จริง ให้ตระกูลเย่ชดใช้ออกมา อย่างน้อยก็ต้องมีกำลังที่กล้าแข็งมากเพียงพอก่อน”

กู้เย้นจงพูดจบ ก็นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ตามความเห็นลุง เรื่องด่วนของเธอ ยังคงออกมาจากจินหลิงจะดีกว่า กลับมาเย่นจิง แต่งงานกับหนานหนานก่อน ถึงตอนนั้นต่อให้เธอไม่ได้กลับสู่ตระกูลเย่อย่างเป็นทางการ เธอก็เป็นลูกเขยของตระกูลกู้เรา ถึงเวลาหากลุงเคราะห์ดียังไม่ตาย ลุงยังสามารถจัดการเรื่องให้เธอได้บ้าง ให้เธอลงหลักปักฐานอยู่ในตระกูลกู้ ให้ตระกูลกู้เป็นแหล่งเงินทุน เป็นเส้นสายให้เธอได้ใช้สอยโดยสมบูรณ์”

หลินหว่านชิวได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้าแล้วกล่าวขึ้นโดยไม่ลังเลว่า “ใช่แล้ว เฉินเอ๋อ แม้ตอนนี้เธอจะเคยแต่งงานแล้ว แต่การหมั้นหมายของเธอกับหนานหนาน นานกว่าการแต่งงานของเธอในตอนนี้ถึงยี่สิบกว่าปีเชียวนะ ดังนั้นหญิงสาวตระกูลเซียวคนนั้นที่เธอพูดถึง พูดได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ คนที่เข้ามาแทรกการหมั้นหมายดั้งเดิมของเธอ”

กล่าวถึงตรงนี้ หลินหว่านชิวก็รีบแสดงความเห็นอีกว่า “แน่นอนว่าน้าไม่ได้ตำหนิเธอคนนั้น เพราะอย่างไรเรื่องนี้เธอคนนั้นก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ น้าแค่อยากบอกว่า ตามการจัดการของพ่อแม่เธอในตอนนั้น เธอก็ควรจะแต่งงานกับหนานหนาน ส่วนหญิงสาวตระกูลเซียวคนนั้น ถึงเวลาตระกูลกู้จะไม่มีทางเอาเปรียบเธอคนนั้น หลังหย่ากันแล้ว น้าจะเตรียมเงินเป็นค่าชดเชยให้เธอคนนั้นพันล้าน ไม่มีทางทำให้เธอลำบากใจเด็ดขาด”

เย่เฉินพลันกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาทันที

ก่อนที่เขาจะมาตระกูลกู้ สิ่งที่กังวลใจที่สุดก็คือเรื่องหมั้นหมายที่พ่อแม่กู้ชิวอี๋เอ่ยขึ้นกับตัวเองนี่แหละ

การหมั้นหมายในวัยเด็ก อย่างไรก็ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว นานหลายปีขนาดนี้ ตนกับกู้ชิวอี๋ไม่เคยพบหน้ากันเลย จึงไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อกันโดยสิ้นเชิง

หากตอนนี้ตนยังโสด ใคร่ครวญถึงการจัดการของพ่อแม่ก่อนตาย ตนเองคงจะสามารถบ่มเพาะความรู้สึกกับกู้ชิวอี๋ได้ หากเข้ากันได้ จะแต่งงานตามที่พ่อแม่จัดการก็ไม่เสียหาย

แต่ตอนนี้ตนเองแต่งงานแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จะให้ตนเองทอดทิ้งเซียวชูหรันแล้วมาอยู่กับกู้ชิวอี๋ได้อย่างไร?

เห็นเย่เฉินเงียบไม่พูดไม่จา หลินหว่านชิวก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจังว่า “เฉินเอ๋อ สุขภาพร่างกายของลุงกู้เธอในตอนนี้ คิดว่าเธอเองก็คงได้ยินมาจากหนานหนานแล้ว ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ไปเป็นเพื่อนลุงกู้ของเธอรักษาตัวอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานานมาก สองวันมานี้หมอในประเทศพบว่าโรคของลุงกู้เธอมีอาการย่ำแย่ลง จึงแนะนำให้ลุงกู้เธอรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่อ แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น ไม่แน่ว่าวันไหนอาจจะ…”

พอพูดถึงตรงนี้ หลินหว่านชิวก็รู้สึกเศร้าเสียใจไปชั่วขณะ ถอนหายใจออกมาหลายครั้ง จากนั้นก็เช็ดน้ำตา แล้วค่อยกล่ายต่อว่า “การหมั้นหมายของเธอกับหนานหนาน เป็นพวกเราสี่คนตกลงกันเองในเวลานั้น ตอนนี้ในสี่คนจากไปแล้วสองคน สุขภาพของลุงกู้เธอเกรงว่าคงจะยื้อได้อีกไม่นานเท่าไหร่นัก พ่อแม่เธอจากไปก่อนแล้ว ไม่ได้เห็นเด็กอย่างพวกเธอสองคนแต่งงานกัน น้าจึงหวังจากใจจริงว่าลุงกู้ของเธออย่าได้มีความรู้สึกเสียดายแบบเดียวกันเลย…”

กู้ชิวอี๋ที่อยู่ด้านข้างดวงตาแดงก่ำแล้ว นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย

เธอในเวลานี้ ไหนเลยจะยังเป็นดาราสาวที่ทำให้ชาวโลกและคนทั้งประเทศตกหลุมรักอย่างบ้าคลั่งคนนั้นได้อีก เธอในตอนนี้ ก็คือสายน้อยที่น่าสงสารอับจนหนทาง ทำให้เย่เฉินเห็นแล้ว อดรู้สึกสงสารจับใจขึ้นมาไม่ได้..