บทที่ 783.6 อริยะปราชญ์ผู้กล้าแห่งใต้หล้า

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวี

แม่นางหน้ากลมนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคา สายตามองตรงไม่เหลือบไปทางอื่น มองไปยังลำคลองหลงซวีที่อยู่ห่างไกลออกไป ร้องเรียกว่านี่เบาๆ หนึ่งที ถือว่าเป็นการทักทายแล้ว

หลิวเสี้ยนหยางที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ด้านข้างหันหน้ามามองทันที ยิ้มกว้างเจิดจ้า “มีเรื่องอะไรหรือ? ขอแค่แม่นางอวี๋บอกมา ต่อให้ต้องลุยทะเลเพลิง ข้าน้อยก็ยินดีทำให้ไม่มีเกี่ยงงอน!”

แม่นางชุดผ้าฝ้ายที่ใช้นามแฝงว่าอวี๋เชี่ยนเยว่ถามชวนคุยว่า “ตำหนักคางคกหักกิ่งกุ้ย รู้หรือไม่ว่าหมายความว่าอะไร?”

หลิวเสี้ยนหยางกึ่งนั่งยองค้อมเอวไปจับเก้าอี้ไม้ไผ่ ขยับทั้งตัวเองและเก้าอี้ไปทางอวี๋เชี่ยนเยว่ ไม่คิดจะได้คืบแล้วเอาศอกมากเกินไป หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการล่วงเกินสาวงาม เขาหัวเราะร่าตอบว่า “ก็อวยพรให้สอบติดในการสอบเคอจวี่อย่างไรล่ะ แม่นางอวี๋ ไม่ใช่ว่าข้าคุยโวจริงๆ นะ บนภูเขาลั่วพั่วของเจ้าตะพาบน้อยเฉินผิงอันมีบัณฑิตคนหนึ่งชื่อว่าเฉาฉิงหล่างอยู่ อายุไม่มาก แต่เป็นคนจริงจังอย่างมาก ในอดีตตอนที่อยู่พื้นที่มงคลบ้านเกิด อายุอยู่ในวัยเด็กหนุ่มก็สอบได้อันดับหนึ่งในสามการสอบติดๆ กันแล้ว! พอมาอยู่ที่นี่ก็ยังร้ายกาจอยู่เหมือนเดิม เมื่อหลายปีก่อนเฉาฉิงหล่างก็เข้าเมืองหลวงไปสอบ แล้วก็สอบติดเป็นปั้งเหยี่ยน ปั้งเหยี่ยนของราชวงศ์ต้าหลีเชียวนะ! ก็คือปั้งเหยี่ยนที่บุกผ่านเส้นทางสายเลือดท่ามกลางเมล็ดพันธ์บัณฑิตของแจกันสมบัติทั้งทวีปมาได้ น้ำหนักนี้ จุ๊ๆ …”

เซอเยว่อดทนฟังหลิวเสี้ยนหยางพูดจาเหลวไหลไร้แก่นสารอยู่นาน ในที่สุดก็อดไม่ไหวถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าพูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม? ฟังแล้วก็ไม่เห็นจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเลย เจ้าจะคุยโวไปเพื่ออะไรกันแน่?”

แต่การพูดคุยกับหลิวเสี้ยนหยางนั้นมีดีอยู่อย่างหนึ่ง เจ้าหมอนี่กล้าด่าเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วผู้นั้นที่สุดแล้ว

หลิวเสี้ยนหยางยิ้มพลางเหลือบมองแม่นางอวี๋ จากนั้นกะพริบตาปริบๆ เห็นว่าดูท่าแม่นางอวี๋จะฟังไม่เข้าใจจริงๆ หลิวเสี้ยนหยางก็ได้แต่กระแอมหนึ่งที แล้วเริ่มอธิบายถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ “บอกตามตรง ความสามารถในการสอบเคอจวี่ของเฉาฉิงหล่างนั้น ข้าไม่กล้าพูดมาก แต่อย่างน้อยก็มีคุณความชอบของข้าอยู่ครึ่งหนึ่ง เพราะทุกครั้งที่ข้าแวะไปที่ภูเขาลั่วพั่วจะต้องพูดคุยถึงประสบการณ์จากการศึกษาหาความรู้กับเจ้าเด็กนี่อยู่เสมอ แม่นางอวี๋ เจ้าเองก็รู้ว่า หากพูดถึงการออกเดินทางหมื่นลี้ ข้าก็แค่ด้อยกว่าเจ้าตะพาบน้อยนั่นเล็กน้อยเท่านั้น แต่หากจะพูดถึงการอ่านตำราอริยะปราชญ์หมื่นเล่มล่ะก็ เหอะ ข้าคืออย่างนี้ เฉินผิงอันคืออย่างนี้”

หลิวเสี้ยนหยางพูดมาถึงตรงนี้ก็ยกนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง แล้วค่อยกระดกนิ้วก้อยชี้ไปทางภูเขาลั่วพั่ว

ดูเหมือนว่าคุยกันไปคุยกันมากลับคุยจนลืมเรื่องจริงจังไปเสียแล้ว

เซอเยว่ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีเรื่องจริงจังอะไรให้ทำอยู่แล้ว วันเวลาที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองนี้ไม่ต่างจากลำคลองหลงซวีสักเท่าไร ล้วนไหลรินผ่านไปอย่างเนิบนาบ

นางพลันพูดเสียงเบาขึ้นมาหนึ่งประโยค ยังคงเป็นการพึมพำกับตัวเองอยู่เหมือนเดิม “เป็ดผัดหน่อไม้แห้งอร่อยมากเลย”

หลิวเสี้ยนหยางลำบากใจเล็กน้อย “ซื้อเป็ด ราคาไม่ถูกเท่าไร”

เซอเยว่ถาม “เก็บหินริมลำคลองก็ต้องจ่ายเงินด้วยหรือ?”

หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกระอักกระอ่วน ช่วงนี้คิดจะหาเป็ดจากริมลำคลองยากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

เซอเยว่ลังเลอยู่นาน ยังคงข่มกลั้นข้อสงสัยที่ใหญ่ที่สุดในใจไม่ไหวจนต้องถามออกมา “ทำไมเฉินผิงอันถึงต้องกลัวเจ้าขนาดนั้น?”

เจ้าหมอนั่นคือคนที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรงจริงๆ นะ

ถึงขนาดกล้าผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ อยู่ที่นั่นเขาต้องเป็นเพื่อนบ้านกับหลงจวิน แล้วยังต้องเผชิญหน้ากับแผนการของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ เฝ้าอยู่ที่นั่นเพียงลำพังมานานหลายปีขนาดนั้น แล้วเขายังมีชีวิตรอดกลับคืนมาบ้านเกิดได้อีก

หลิวเสี้ยนหยางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เหยียดสองขา ยืดแขนบิดขี้เกียจ “นั่นไม่เรียกว่ากลัวกระมัง”

เซอเยว่ถาม “แล้วเรียกว่าอะไร?”

หลิวเสี้ยนหยางขบคิดก่อนเอ่ยว่า “บอกได้ยาก เฉินผิงอันเป็นคนที่แปลกมากคนหนึ่ง เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ยากจะเข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ เป็นเพื่อนบ้านกับซ่งปันไฉมานานหลายปีก็ไม่เคยเอาเปรียบเขาแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ไม่รู้สึกอิจฉา เจ้าว่าเป็นเพราะเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้นหรือ ก็ไม่ใช่ นับตั้งแต่ที่ข้ารู้จักเขา ทุกวันเฉินผิงอันจะต้องวางแผนว่าจะหาเงินอย่างไร ข้าล่ะแปลกใจนัก จะรีบร้อนหาเงินแบบนั้นไปทำไม ตอนที่เพิ่งได้เป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร อายุน้อยๆ เงินเหรียญทองแดงแต่ละเหรียญที่มีอยู่ก็ขาดแค่ว่าไม่ได้ตั้งชื่อให้พวกมันเท่านั้น แต่ก็ไม่เหมือนว่าอยากจะเก็บเงินไว้แต่งเมียนะ เพราะตอนนั้นเฉินผิงอันก็คือตอไม้ทึ่มทื่อที่ไม่เข้าใจเรื่องอะไรสักอย่าง แม้แต่จะไปแอบฟังข้างกำแพงก็ไม่เคยทำ”

เซอเยว่ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม “พวกเจ้าสองคนต่างกันขนาดนี้ ทำไมถึงมาเป็นเพื่อนกันได้”

หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “ปีนั้นตอนอยู่ในตรอกหนีผิง ถือว่าเฉินผิงอันเคยช่วยชีวิตข้าหนึ่งครั้ง ข้าหน้าบาง ไม่เคยพูดขอบคุณเขา ก็เลยเปลี่ยนวิธีการใหม่ บอกกับเขาว่า ขอแค่เขามาอยู่กับข้า รับรองว่าจะมีกินอิ่มหนำสำราญ แต่พอเฉินผิงอันได้ไปเป็นลูกศิษย์ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินดื่มแล้ว กลับกลายเป็นข้าที่ใช้เงินมือเติบส่งเดช ทุกครั้งที่ได้เงินเดือนหากไม่เอาไปเลี้ยงคนอื่นก็ซื้อของมั่วซั่ว ดังนั้นจึงมักจะมาขอยืมเงินจากเขาบ่อยๆ เขาบันทึกลงบัญชีทีละก้อนทีละก้อนก็จริง และตอนนั้นเขาก็มีท่าทางของนักบัญชีแล้ว แต่กลับไม่เคยเอ่ยปากทวงเงินจากข้าเลยสักครั้ง”

เซอเยว่กะพริบตาปริบๆ หันหน้ามาถาม “ในเมื่อคิดบัญชีกันอย่างชัดเจนแล้ว ก็คงต้องหวังว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะใช้คืนกระมัง?”

หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้า “แม่นางอวี๋ เรื่องนี้เจ้าคงไม่เข้าใจ เขาจดลงบัญชี แค่จดว่าตัวเองหาเงินมาได้กี่มากน้อย ไม่เคยอยากจะให้ข้าใช้คืนเลยจริงๆ พวกลูกศิษย์และคนงานเตาเผามังกรหลายคนที่เคยมายืมเงินจากเฉินผิงอัน เขาก็ไม่เคยหวังว่าพวกเขาจะใช้คืน หากใช้คืนได้ย่อมดีที่สุด แต่หากไม่คืนก็ไม่ถามถึง แต่ว่ามีอยู่ข้อหนึ่งที่ข้าไม่เหมือนกับคนอื่น ข้าไม่คืนเงิน คราวหน้าที่ยืมเงิน เฉินผิงอันยังคงมอบให้อย่างไม่ลังเล มีแค่ไหนก็ให้แค่นั้น แต่หากเป็นคนอื่น ขอแค่ยืมครั้งหนึ่งแล้วไม่คืน เฉินผิงอันก็จะจดลงบัญชีไว้ในใจโดยไม่สนว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร อย่างมากสุดก็ให้ยืมอีกแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่มีทางให้ยืมอีก แม้แต่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวก็ไม่ยอมให้”

เซอเยว่กระตุกมุมปาก โอ้โห เรื่องนี้ก็ต้องเอามาโอ้อวดด้วยหรือ หน้าหนาจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นบัณฑิต

หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกลาว “จะเล่าเรื่องหนึ่งให้แม่นางอวี๋ฟังก็แล้วกัน ปีนั้นพวกเราสามคนไปขโมยแตงด้วยกัน เจ้าขี้มูกยืดน้อยรับผิดชอบเด็ดแตง ข้าเป็นคนขนย้าย เฉินผิงอันช่วยดูต้นทาง พอขโมยแตงมาได้แล้วก็หาสถานที่มาหลบแบ่งของกัน เจ้าเดาดูว่าเป็นอย่างไร เจ้าเด็กเฉินผิงอันนั่นไม่เคยกินแม้แต่ครั้งเดียว เอาแต่มองข้ากับกู้ช่านกินกันอย่างเมามัน ไม่ว่าจะโน้มน้าวอย่างไรเขาก็ไม่ยอมกิน ขโมยแตงมาแต่กลับไม่กิน ทว่ายินดีดูต้นทางให้ เจ้าว่าเขาต้องการอะไร? มีครั้งหนึ่งถูกเจ้าของสวนแตงจับได้ ข้ากับกู้ช่านรีบชักเท้าเผ่นหนีทันที หันกลับมามอง ดีนักนะ เจ้าเด็กนั่นยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่คิดจะหนีเลยสักนิด”

เซอเยว่เอ่ย “ไม่ค่อยเหมือนกับอิ่นกวานในตอนหลังสักเท่าไร”

หลิวเสี้ยนหยางถาม “ไม่เหมือน? ไม่ใช่ว่าเหมือนมากเลยหรอกหรือ?”

เซอเยว่เงียบไปพักหนึ่ง “อายุน้อยแค่นั้น อีกทั้งยังเติบโตมาในชนบท อันที่จริงการกระทำนั้นของเฉินผิงอันไม่มี…นิสัยของมนุษย์อย่างมาก เปลี่ยนคำพูดใหม่ก็แล้วกัน ต้องบอกว่าไม่สอดคล้องกับความรู้สึกทั่วไปของคนอย่างยิ่ง”

หลิวเสี้ยนหยางไม่กลัวเฉินผิงอัน แต่นางกลับกลัวอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นมากนะ

อีกทั้งยิ่งหลิวเสี้ยนหยางพูดถึงเรื่องเก่าแก่ในอดีตพวกนี้ เซอเยว่ก็ยิ่งหวาดกลัว

คนผู้หนึ่งที่อายุน้อยๆ นิสัยของมนุษย์บางอย่างก็เริ่มมีแนวโน้มไปทางนิสัยของเทพแล้ว ในฐานะหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูงสิบสองท่านที่มาจุติบนโลก เซอเยว่กลับยิ่งรู้สึกกลัวเขา

“ดังนั้นถึงได้บอกว่าเขาเป็นคนแปลกอย่างไรเล่า”

หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “การที่เป็นสหายกัน กู้ช่านอายุน้อย รู้สึกว่ามีเฉินผิงอันอยู่ข้างกาย ไม่ว่าอะไรก็ไม่ต้องกลัวทั้งนั้น ส่วนข้า ก็แค่แน่ใจในเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าเฉินผิงอันจะคิดอย่างไร เอาเป็นว่าเขาคนนี้ไม่เคยทำร้ายผู้อื่นมาก่อน ตอนนั้นข้าก็มั่นใจแล้วว่าไม่ว่าบนร่างข้าจะมีแค่เหรียญทองแดงอยู่ไม่กี่เหรียญ หรือว่าเรียนรู้เคล็ดลับฝีมือทั้งหมดมาจากผู้เฒ่าเหยาได้ ได้กลายเป็นช่างเผาเครื่องปั้นที่เก่งกาจที่สุด จากนั้นก็ร่ำรวยมีเงินมีทองขึ้นมา ในมือได้กำเงินหลายพันตำลึง ดึกดื่นรู้สึกว่าไม่กล้านอนหลับ ถ้าอย่างนั้นก็เรียกเฉินผิงอันมาอยู่เป็นเพื่อน เจ้าหมอนี่ต้องคอยช่วยข้าเฝ้าต้นทาง เฝ้าเงินด้วยท่าทางโง่งมเหมือนเดิมแน่นอน”

เซอเยว่ผ่อนลมหายใจโล่งอก เอ่ยว่า “พอเจ้าพูดแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะโง่งมมากจริงๆ”

หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “เฉินผิงอันผู้นี้มักเดินไปข้างหน้า ไม่ต้องให้ใครมาผลักให้เขาเดิน แต่ดูเหมือนว่าในใจของเขาจำเป็นต้องมีคนอยู่คนหนึ่ง ที่ไม่ว่าจะเดินอยู่ข้างหน้า หรือจะยืนอยู่ห่างไปไกล เขาก็จะต้องมองเห็นอยู่เสมอเพื่อให้รู้สึกมั่นใจ เขาไม่กลัวที่ต้องเดินทางไกล เขากลัวก็แต่ว่าจะ…เดินไปผิดทาง มองดูว่าหลิวเสี้ยนหยางมีชีวิตอยู่อย่างไร เฉินผิงอันก็จะรู้สึกว่าตัวเองรู้แล้วว่าควรจะมีชีวิตที่ดีอย่างไร มีความหวังในชีวิต ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตั้งแต่ตอนที่ยังเด็กมากเขาก็เข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่งแล้ว นั่นคือเรื่องบางอย่าง ดูเหมือนว่าเมื่อพลาดไปแล้วครั้งหนึ่งก็จะต้องเสียใจ ต้องกลุ้มใจอยู่นานมาก เทียบกับความยากลำบากที่ต้องทนหิวทนหนาวแล้วยังทรมานมากยิ่งกว่า เวลานั้นข้าแค่รู้สึกว่าเฉินผิงอันไม่มีเหตุผลให้ต้องมีชีวิตยากลำบากขนาดนั้น บอกตามตรง ปีนั้นข้าคิดว่าเฉินผิงอันเป็นคนดื้อด้าน ไม่มีทางได้ดิบได้ดี มีชะตาที่ไม่อาจหาเงินก้อนใหญ่ได้ คาดว่าก่อนที่จะตั้งตัวมีครอบครัวได้ก็คงได้แต่เป็นลูกสมุนที่คอยตามก้นข้าต้อยๆ เท่านั้น ส่วนเจ้าขี้มูกยืดน้อยก็ค่อยเป็นตัวภาระ เป็นแมลงตามก้นเขาอีกที”

“ในใจของเขา เจ้าขี้มูกยืดน้อยแห่งตรอกหนีผิงและท่านอาหญิงที่เคยให้ข้าวเขากิน ก็คือ…ครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่งของเขา ไม่อาจสูญเสียไปอีกเด็ดขาด เขาจำเป็นต้องปกป้องสถานที่เล็กๆ นี้ไว้ให้ดี เพราะแม่ของกู้ช่านก็คือผู้อาวุโส คือญาติของเขา เจ้าขี้มูกยืดน้อยก็คือน้องชายของเขา”

“ใต้หล้านี้มีใครที่เกิดมาก็ชอบความยากลำบากบ้างเล่า?”

“เด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยได้เรียนหนังสือ พ่อแม่ก็มาด่วนจากไป พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือนิสัยเกิดจากการเลี้ยงดูของครอบครัว? คนที่อายุเพียงแค่นั้น อายุลวง (เป็นการนับอายุของคนจีนในสมัยโบราณ นับตั้งแต่ที่ถือกำเนิดอยู่ในครรภ์ เมื่อคลอดออกมาก็จะถือว่ามีอายุหนึ่งขวบแล้ว อายุจะมากกว่าอายุจริงหนึ่งปี) ห้าขวบ ต่อให้จะจดจำความดีของพ่อแม่ได้มากแค่ไหน แต่จะจำได้สักเท่าไรกันเชียว? ดังนั้นเฉินผิงอันไม่ได้เป็นคนดีเพื่อให้ได้เป็นคนดี แน่นอนว่าเขามีสิ่งที่ต้องการ อีกทั้งยังไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกกาย เขาต้องการจะทำการค้ากับเทพเทวดาครั้งหนึ่ง เขาเคยได้ยินคำพูดเก่าแก่ที่พวกคนเฒ่าคนแก่ใต้ต้นไหวโบราณคุยกัน อะไรที่บอกว่าคนทำดีต้องได้ดีตอบแทน อะไรที่บอกว่าทำเรื่องดีมากๆ ชาติหน้าก็จะยังได้กลับมาเกิดเป็นคนอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงต้องการเป็นคนดีไปชั่วชีวิต แม้แต่ส่วนของพ่อแม่เขาก็จะคิดรวมกันไปด้วย”

“ทำเรื่องดีหนึ่งร้อยเรื่อง ถ้าอย่างนั้นขอแค่เทพเทวดาไม่เอาแต่งีบหลับก็จะต้องมองเห็นสักสองสามเรื่อง ก็เท่ากับว่าเขาได้กำไรแล้ว”

“ดังนั้นเฉินผิงอันตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มทั้งไม่กลัวตาย แล้วก็กลัวตายมากที่สุดด้วย ไม่กลัวตายเพราะรู้สึกว่ามีชีวิตอยู่ก็เป็นได้แค่นั้นแล้ว กลัวตายที่สุดก็เพราะกลัวว่าจะทำเรื่องดีได้ไม่มากพอ อยู่ไกลเกินกว่าจะพอ”

“หัวใจคือผืนนาแห่งความสุข คำพูดและการกระทำก็คือลมและน้ำ ดังนั้นต้องรู้จักทะนุถนอมความสุข แล้วก็ต้องสามารถเก็บลมซ่อนน้ำไว้ให้ได้”

กระทั่งบัดนี้เซอเยว่ถึงเพิ่งจะค้นพบเรื่องหนึ่ง อย่าเห็นว่าเวลาปกติหลิวเสี้ยนหยางมักทำตัวเอ้อระเหยลอยชาย ยามที่พูดจาจริงจังขึ้นมาก็เหมือนบัณฑิตจริงๆ

ไม่รู้ว่าหลิวเสี้ยนหยางหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาเมื่อไหร่ เขาก้มเอวลง ดื่มเหล้า มองไปยังทิศไกล

เซอเยว่ถาม “เคยคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้บ้างไหม?”

หลิวเสี้ยนหยางยิ้มเอ่ย “ข้า เฉินผิงอัน กู้ช่าน ปีนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ได้”

เซอเยว่พยักหน้า “ก็พอๆ กัน เดินบนเส้นทาง เดินไปเดินมาก็กลายมาเป็นแบบนี้แล้ว”

ฝนเม็ดเล็กขมุกขมัวพร่างพรม มีสตรีบอบบางเดินถือร่มริมลำคลองอย่างนวยยาด คล้ายเดินเข้ามาในม้วนภาพเบาๆ

นางเพียงแค่เดินผ่านร้านตีเหล็กตรงไปทางสะพานโค้ง

สีหน้าของหลิวเสี้ยนหยางเปลี่ยนมาเป็นปั้นยาก

เซอเยว่มองไปทางนั้น ถามว่า “นางก็คือจื้อกุยแห่งตรอกหนีผิงกระมัง?”

หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้ารับ

เซอเยว่ถาม “พวกเจ้าสนิทกันขนาดนั้น ทำไมไม่ทักทายกันล่ะ?”

หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะหึหึไม่พูดอะไร

ไม่รู้ว่าเหตุใดหวังจูถึงกลับบ้านเกิดมาเพียงลำพัง นางเดินผ่านศาลเทพวารีลำคลองหลงซวีที่ไม่มีเทวรูป ควันธูปธรรมดาอย่างมาก เพราะเหนียงเนียงเทพวารีของแม่น้ำเถี่ยฝูที่อยู่ห่างไปไม่ไกลคือองค์เทพแห่งสายน้ำที่ระดับขั้นสูงสุดของราชวงศ์ ขยับห่างไปอีกนิด ผ่านภูเขาฉีตุนและเมืองหงจู๋ไปก็คือศาลสามแม่น้ำอย่างซิ่วฮวา อวี้เย่และชงตั้น แต่ละที่ล้วนมีตำแหน่งขุนนางใหญ่กว่าศาลเทพลำคลองทั้งสิ้น

ผ่านสะพานหินโค้งไปแล้วนางก็เดินเข้าไปในเมืองเล็ก เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย ที่ว่าการผู้ตรวจการ ที่ว่าการอำเภอ ร้านตระกูลหยาง โรงเรียนแห่งหนึ่งที่ถูกทิ้งร้าง บ้านบรรพบุรุษตระกูลหยวนตรอกเอ้อหลาง เดินผ่านไปทีละสถานที่ จากนั้นนางก็มากางร่มยืนอยู่ด้านล่างขั้นบันไดของตรอกฉีหลง ห่างไปไม่ไกลก็คือร้านยาสุ้ยและร้านฉ่าวโถวที่อยู่ติดกัน

——