สายฝนค่อยๆ แรงขึ้น ม่านฝนหนาหนัก กลางวันเหมือนยามค่ำคืน สายฝนไหลลงมาตามขั้นบันได เหมือนลำธารสายหนึ่งที่ไหลริกๆ อย่างมีชีวิตชีวา
ตรงหน้าประตูใหญ่ของร้านฉ่าวโถวมีม้านั่งยาวตัวหนึ่งตั้งวางอยู่ เด็กชายชุดเขียวใบหน้าเบิกบานสดใสกำลังคุยเล่นอยู่กับนักพรตเฒ่าตาบอดคนหนึ่ง ต่างคนต่างนั่งไขว่ห้าง คุยโม้กันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หลังจากมองเห็นหวังจู เฉินหลิงจวินก็เหมือนเห็นผี นักพรตเฒ่าเจี่ยเฉิงที่พอจะรู้สถานะและรากฐานของสตรีผู้นั้นคร่าวๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร สองพี่น้องขยับก้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย นั่งไหล่ชนกันเพื่อปลุกความกล้าหาญให้กันและกัน
คนทั้งสองนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ไม่ได้ยกขาไขว่ห้างแล้ว
รอกระทั่งสตรีที่ไม่จำเป็นต้องกางร่มที่สุดในใต้หล้าผู้นั้นเดินขึ้นบันไดของตรอกฉีหลงไปทีละก้าวจนจากไปไกลอย่างสิ้นเชิงแล้ว สองพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากถึงได้รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก หัวเราะฮ่าๆ อย่างองอาจห้าวหาญ
เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรลูบหนวดพูดทอดถอนใจ “รู้จักคนทั่วใต้หล้า คนรู้ใจจะมีได้สักกี่คน? ได้พบเจอกับน้องหลิงจวินช่างเป็นเรื่องโชคดีในชีวิตจริงๆ”
เฉินหลิงจวินสะท้อนใจไม่หยุด “น่าเสียดายที่แม้ว่าพวกเราสองพี่น้องจะขอบเขตสูง แต่เงินในมือมีน้อย มีเงินแล้วคำพูดน่าเชื่อถือ ไม่มีเงินพูดอะไรไปใครก็ไม่เชื่อ ดังนั้นข้าถึงได้เงยหน้าไม่ขึ้นตอนอยู่ในงานเลี้ยงท่องราตรีของเว่ย หากมีเงินก็ดีน่ะสิ แต่เงินช่างหายากยิ่งนัก หากเงินเทพเซียนเหมือนกับฝนที่ตกลงมาก็คงจะสบายกว่านี้แล้ว”
นักพรตเฒ่าส่ายหน้า “พวกเราสองพี่น้องแค่มีเงินพอใช้ก็พอแล้ว ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่ใช่คนมากความสามารถอย่างเจ้าขุนเขา เรื่องของการหาเงินก็ปล่อยให้เป็นไปตามบุพเพวาสนาเถอะ ถึงอย่างไรคนที่ไร้เรื่องขอร้อง ไม่ว่าไปที่ไหนก็ไม่มีใครดูแคลน ไม่ดื่มเหล้า ไยต้องสนว่าค่าเหล้าเพิ่มขึ้นสูงมากเท่าไร”
หวังจูเดินไปถึงตรอกหนีผิงแล้วก็ก้าวเร็วๆ เดินต่อไป จากนั้นก็พลันชะงักฝีเท้า มายืนอยู่ข้างนอกบ้านบรรพบุรุษของใครบางคนพอดี
และประตูบ้านของเรือนที่อยู่ติดกันก็มีคนหนุ่มลักษณะคล้ายบัณฑิตตกอับ ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความยากจนนั่งอยู่ วางร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งพาดไว้บนหัวเข่า คล้ายกับรอคอยให้หวังจูปรากฏตัว
หากเฉินหลิงจวินที่อยู่ตรอกฉีหลงเห็นคนผู้นี้เข้า รับรองว่าจะต้องกระโดดตบหัวอีกฝ่ายแน่นอน ล้วนเป็นคนแซ่เฉิน เป็นพี่น้องบ้านเดียวกันนี่นะ
เฉินจั๋วหลิว
ก่อนหน้านี้ที่ไปเยือนสกุลเจียงอวิ๋นหลินซึ่งตั้งอยู่จุดที่ลำน้ำฉีตู้ไหลลงสู่ปากทะเลอย่างเงียบเชียบ ก็แค่ไปเที่ยวเล่นเท่านั้น
แต่ต่อให้เขาแค่ปรากฏกายอยู่ไกลๆ ก็ยังทำให้หวังจูจิตใจไม่สงบสุข จำต้องออกจากด่านมาอีกครั้ง สุดท้ายก็เลือกหวนกลับมาที่เมืองเล็ก
บัณฑิตชุดเขียวคนนั้นลุกขึ้นยืน ใช้ร่มค้ำยันพื้นเอาไว้ ยิ้มถามว่า “ผู้ที่รู้จักแม่น้ำและทะเลสาบ มักเป็นคนอายุสั้น (เปรียบเปรยถึงคนที่มองสภาพแวดล้อมทางสังคมออกอย่างกระจ่างแจ้ง ส่วนใหญ่ชีวิตมักจะพบเจอแต่อุปสรรค) กากเดนตัวน้อยๆ เจ้าว่าใช่หรือไม่เล่า?”
หวังจูหน้าซีดขาว เงียบงันไปครู่หนึ่งก็พูดด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ไปต่อสู้กันที่อื่น”
เฉินจั๋วหลิวยิ้มเอ่ย “ยังไม่มีความคิดเช่นนั้น ไม่สู้ไปที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางด้วยกันดีไหม?”
หวังจูถาม “หนิงเหยาไปหรือไม่?”
เฉินจั๋วหลิวส่ายหน้า “เกินครึ่งคงไม่ไป”
กว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์กับใต้หล้าไพศาลได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีเหตุผลให้ต้องถูกนครบินทะยานลากเข้ามาเกี่ยวข้องอีกครั้ง
หวังจูเอ่ย “ข้ายิ่งไม่มีทางไป”
เฉินจั๋วหลิวถาม “ข้าตกลงแล้วหรือ?”
หวังจูกำร่มกระดาษน้ำมันในมือแน่น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เฉินจั๋วหลิวหัวเราะ “เอาล่ะ วันนี้แค่มารำลึกความหลังเท่านั้น ถือโอกาสเอ่ยเตือนเจ้าหนึ่งคำ อย่าคิดว่าจะอาศัยกุยซวีไปวางอำนาจบาตรใหญ่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ จะต้องตาย”
หวังจูยังคงไม่เอ่ยคำใด
เฉินจั๋วหลิวส่ายหน้า “โง่ก็โง่ไปหน่อยจริงๆ เหมือนอย่างปีนั้น ไม่มีพัฒนาการแม้แต่น้อย ความฉลาดเพียงหนึ่งเดียวก็คือรู้จักอาศัยลางสังหรณ์หลบมาอยู่ที่นี่ รู้ว่าหนีไปยังกุยซวีต่อหน้าต่อตาข้าจะต้องถูกฟันตายแน่นอน”
หวังจูถาม “ทางฝั่งของกุยซวีมีกับดักหรือ? คือผู้ฝึกลมปราณสายเวทเลี้ยงมังกร?”
เฉินจั๋วหลิวจุ๊ปากเอ่ยชื่นชม “ถือว่าไม่โง่จนตาย”
บัณฑิตชุดเขียวกางร่ม เดินสวนไหล่ผ่านหวังจูไปในตรอกเล็ก
หวังจูไม่ได้หันไปมอง เพียงถามว่า “ทำไมถึงช่วยข้าครั้งหนึ่ง?”
บัณฑิตผู้นั้นเดินย่ำทีละก้าวอยู่ในดินโคลน ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เวทพิฆาตมังกรเมื่อเทียบกับเวทเลี้ยงมังกรแล้วหวังให้บนโลกมีมังกรที่แท้จริงมากกว่า อีกอย่างก็คือเจ้าผอมเกินไปแล้ว”
หวังจูขมวดคิ้วแน่น
ความนัยในคำพูดของคนผู้นี้เรียบง่ายอย่างยิ่ง ขุนให้อ้วนพีก่อนค่อยปล่อยให้เขามาฆ่า
พอคนผู้นั้นเดินออกไปจากตรอกหนีผิงแล้ว ดวงตาสีทองของหวังจูก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ส่วนเฉินจั๋วหลิวที่เดินไปถึงตรอกฉีหลงก็เดินลงบันไดไป
เฉินหลิงจวินที่นั่งไขว่ห้างแทะเมล็ดแตงพลันตกตะลึง กระโดดพรวดขึ้นยืน หัวเราะฮ่าๆ สองมือเท้าเอวยืนอยู่บนธรณีประตูร้าน “น้องเฉิน มารดาเถอะ เป็นเพราะเจ้าไม่มีเงินค่าเดินทางใช่หรือไม่ ถึงต้องอาศัยสองขาเดินมาถึงอำเภอไหวหวงแห่งนี้ หา? ไม่อย่างนั้นจะต้องใช้เวลานานขนาดนี้เชียวหรือ? ให้นายน้อยอย่างข้านับดวงดาวนับแสงจันทร์รอนานถึงเพียงนี้! บอกกับเจ้าไปตั้งนานแล้วว่าล้วนอยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ข้ากับซานจวินใหญ่เว่ยเป็นเพื่อนรักกัน ขอแค่เจ้าบอกชื่อของข้าไป ดื่มเหล้าก็ไม่ต้องจ่ายเงิน นั่งเรือก็ได้อยู่ห้องชั้นหนึ่ง!”
คาดว่าในบรรดาเผ่าพันธุ์น้ำเจียวหลงในหลายๆ ใต้หล้า คงมีแค่นายท่านใหญ่เฉินเท่านั้นที่กล้าพูดคำว่ารอนานแล้วกับคนสังหารมังกรคนหนึ่ง
บัณฑิตท่าทางยากจนที่ขากางเกงเปื้อนดินโคลนเต็มเปรอะวิ่งเหยาะๆ ลงบันไดมา ไปถึงใต้ชายคาของร้านฉ่าวโถวแล้วก็หุบร่ม ยิ้มเอ่ย “ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว”
เฉินหลิงจวินตบหัวบัณฑิตดังป้าบ พูดอย่างขุ่นเคือง “ลืมเรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ลืมเรื่องนี้ได้หรือ? เจ้าเป็นคนต่างถิ่นต่างทวีปคนหนึ่ง หากเจอเรื่องไม่คาดฝันบนภูเขาที่อันตรายเข้าจริงๆ ให้คนอื่นรู้ว่าสหายของพี่น้องเจ้าคือเว่ยซานจวินแห่งภูเขาพีอวิ๋นก็จะได้ช่วยชีวิตน้อยๆ ของเจ้าได้อย่างไรเล่า!”
บัณฑิตพยักหน้ารับพร้อมยิ้มบางๆ จากนั้นเอ่ยขออภัยว่า “ข้าไม่อาจอยู่ได้นานนัก ดื่มเหล้าด้วยกันหนึ่งมื้อก็ต้องออกเดินทางไกลแล้ว”
เฉินหลิงจวินสีหน้าหม่นหมอง อุตส่าห์คิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะรับรองพี่น้องที่ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองร่วมกันผู้นี้อย่างไร จะไปเดินเล่นบนภูเขาลั่วพั่วบ้านตนอย่างไร ฝั่งภูเขาพีอวิ๋นควรจะปรึกษากับเว่ยป้ออย่างไรถึงจะสามารถพาสหายไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนอกไม่อาจไปเยือนได้ เหตุใดแค่ดื่มเหล้ามื้อเดียวก็จะจากไปแล้วเล่า
แต่เพียงไม่นานเฉินหลิงจวินก็คลี่ยิ้มกว้าง พี่น้องนี่นะ ต้องอภัยให้กัน
เฉินหลิงจวินรีบหันไปตะโกนพูดกับนักพรตเฒ่าทันที “พี่เจี่ย จัดสุราอาหารมาโต๊ะหนึ่ง!”
นักพรตเฒ่าไว้หน้ากันอย่างมาก หัวเราะร่าเอ่ยว่า “น้องหลิงจวินพูดขนาดนี้แล้ว ต้องจัดของดีมาให้เลยล่ะ!”
บัณฑิตถือร่มเดินข้ามธรณีประตู จู่ๆ ก็ถามว่า “หากบนโลกมีมังกรที่แท้จริงได้แค่ตัวเดียว เจ้าคิดว่าเป็นใครถึงจะค่อนข้างเหมาะสม?”
เฉินหลิงจวินหัวเราะหึหึ “ดูสินี่ ยังไม่ทันได้ดื่มเหล้าก็เริ่มพูดจาใหญ่โตแล้ว ดี! ไม่เสียแรงที่เป็นพี่น้องที่รักของข้า ไม่ดื่มเหล้าก็เป็นแบบนี้แล้ว พอดื่มเหล้าเข้าไป นับดูวีรบุรุษมากมายในใต้หล้าก็มีแค่ไม่กี่คนที่ได้นั่งบนโต๊ะเหล้าร่วมกันแล้ว”
เขายักคิ้วหลิ่วตา จงใจกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “รู้จักสตรีที่ชื่อหวังจูผู้นั้นไหม มังกรที่แท้จริง! นางคือคนที่เดินออกไปจากสถานที่แห่งนี้ของพวกเรา! นี่นางก็เพิ่งจะเดินผ่านตรอกฉีหลงไปเจ้าก็มาถึงเลยไม่ใช่หรือ นางยังทักทายข้าด้วยนะ เรียกพี่ชายน้อยหลิงจวินคำแล้วคำเล่า ทำเอาข้ารู้สึกลำบากใจไม่น้อย รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงสนิทกับนาง? นายท่านของข้าเป็นเพื่อนบ้านกับนางมาตั้งแต่เด็กแล้ว ความสัมพันธ์เป็นอย่างไร เหมยเขียวม้าไม้ไผ่จะนับเป็นผายลมอะไรได้ คืออย่างนี้…”
เฉินหลิงจวินยื่นสองมือออกมา เอานิ้วโป้งชนกัน
บัณฑิตยากจนคลี่ยิ้มรับ
เขายื่นมือมาลูบหัวของเฉินหลิงจวิน
ผลคือถูกเจ้าลูกกระต่ายถองเข้าให้ ทั้งยังสบถด่าดังลั่น “บังอาจ! ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่น้อง เจ้าเห็นข้าเป็นลูกชายรึ?!”
……
เรือหลิวเสียลำหนึ่งพุ่งไปว่องไวราวห่านหงส์กระพือปีกบิน เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ เพียงชั่วพริบตาก็ไปหยุดจอดที่ท่าเรือทางทิศเหนือได้อย่างมั่นคง
มีคนสามคนเดินลงมา เด็กหนุ่มหน้าตาเหมือนเหยี่ยว สายตาคมปลาบ
คุณชายสูงศักดิ์ที่ถือกรงนกหนึ่งกรง ท่วงท่ามีเสน่ห์สง่างาม
และยังมีสตรีที่งดงามราวบุปผาราวหยก
ก็คือหลิวทุ่ยผู้ฝึกตนใหญ่ที่ขอบเขตถดถอยอยู่ในฝูเหยาทวีป จึงปิดด่านรักษาบาดแผลที่หลิวเสียทวีป เพิ่งออกจากด่านมา
เซียนเหรินสองท่านของหลิวเสียทวีป มาจากสำนักเดียวกัน เจ้าสำนักฉินจ่าว ศิษย์พี่หญิงชงเชี่ยน
ฉินจ่าวที่อดกลั้นไม่กล้าพูดอะไรมาตลอดทาง ในที่สุดก็อดไม่ไหวเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หญิง จะงัดข้อกับเจ้าหมอนั่นจริงๆ หรือ?”
เขาพูดถึงอาเหลียงที่ก่อนหน้านี้มาเป็นแขกที่สำนักแล้วยังตั้งใจแวะไปเยี่ยมเยือนศิษย์พี่หญิงมาด้วย
ชงเชี่ยนหันมาถลึงตาใส่อย่างขุ่นเคือง “ไม่ได้จะให้เจ้าลงมือสักหน่อย ถึงเวลานั้นไปรออยู่ข้างๆ ก็พอ”
หลิวทุ่ยผู้ฝึกตนใหญ่ที่อายุมากแล้ว แต่กลับยังมีใบหน้าของเด็กหนุ่มเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “สู้กันที่นี่ อาเหลียงต้องเสียเปรียบแน่”
ผู้เฒ่าเคราดกสวมรองเท้าสานถือไม้เท้าเดินป่าคนหนึ่ง ข้างกายมีเด็กหนุ่มสะพายหีบหนังสือกับเด็กสาวที่สะพายห่อสัมภาระใบใหญ่ติดตามมา ชื่อของพวกเขาคือจั๋วอวี้และเตี่ยนซู
ในร้านตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงท่าเรือเวิ่นจิน มีเซียนซือบนภูเขาคนหนึ่งกำลังสอบถามเถ้าแก่ร้านว่าเทียบอักษรที่เป็นสมบัติพิทักษ์ร้านราคาเท่าไร
นั่นเป็นภาพต้นไม้และก้อนหิน ว่ากันว่าเป็นผลงานของซูจื่อ ทางร้านเพิ่งจะได้มาจากฝูเหยาทวีป
บนเนินหินมีกอไผ่เล็กๆ และต้นไม้แห้งเดียวดายต้นหนึ่ง เต็มไปด้วยกลิ่นอายของธรรมชาติ
ผู้เฒ่าถือไม้เท้ายิ้มตาหยี ฟังสองฝ่ายต่อราคากันอยู่ด้านข้าง
เตี่ยนซูพูดเสียงเบา “นายท่าน เป็นของปลอมนะ”
ผู้เฒ่าโบกมือ “อย่าพูดเหลวไหล”
เด็กหนุ่มเหลือกตามองบน
เถ้าแก่ร้านคือคนที่ทำการค้าเป็น จึงไม่ถือสาอะไร
ทว่าลูกจ้างหนุ่มกลับพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “จะเป็นของปลอมไปได้อย่างไร จิตรกรเอกหลายสิบคนเคยช่วยตรวจสอบมาก่อน เป็นของจริงแท้แน่นอน!”
ผู้เฒ่าถือไม้เท้ารีบดึงตัวเด็กหนุ่มเด็กสาวออกไปจากร้าน
ในอำเภอพ่านสุ่ย คนหนุ่มชุดขาวที่อ่อนเยาว์หล่อเหลาคนหนึ่งตรงเอวห้อยกิ่งหลิวหนึ่งกิ่ง ข้างกายคือบุรุษลักษณะเหมือนคนอายุสามสิบปี สะพายร่มกระดาษน้ำมันไว้บนหลังเอียงๆ
ข้างกายคนทั้งสองมีสตรีสองคน คนหนึ่งสวมหมวกคลุมหน้า เรือนกายสูงเพรียว และยังมีเด็กสาวอีกคนหนึ่งชื่อว่าฉุนชิง
บริเวณโดยรอบของศาลบุ๋นยังมีเทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีป เซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายฉาง ฮ่องเต้สกุลหลูราชวงศ์ต้าหยวน เจ้าตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียน หยางชิงข่งราชครูต้าหยวน
ฉีเจินเทียนจวินของสำนักโองการเทพแจกันสมบัติทวีป ซ่งจ่างจิ้งแห่งราชวงศ์ต้าหลี
มีฮ่องเต้หนุ่มที่ข้างกายพาโฉมงามมาด้วยสองคน ตอนที่เรือข้ามฟากจอดเทียบท่า เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะปลดเสื้อเกราะน้ำค้างใหญ่บนร่างออก มอบเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารเม็ดนี้ให้กับสาวงามข้างกายที่มีชื่อว่าเสียซิ่ว
มีผู้เฒ่าเปลือยเท้าผมขาวสวมชุดม่วงคนหนึ่ง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าหนึ่งลูก ปรากฏตัวจากบนม่านฟ้า ประหนึ่งดาวดวงหนึ่งที่ตกลงมายังพื้นดิน
เทพภูเขาสุ้ยซานและเทพภูเขาจิ่วอี๋ ต่างคนต่างออกมาจากอาณาเขตขุนเขาของตัวเอง จากนั้นจับมือกันเดินทางมายังศาลบุ๋นแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีสุ่ยจวินห้าทะเลสาบที่กำลังเร่งเดินทางมาเช่นกัน
ทางฝั่งของใบถงทวีปก็มีเหวยอิ๋งเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักกุยหยกที่มาเยือนศาลบุ๋นเพียงลำพัง
สวนกงเต๋อศาลบุ๋น
ซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งไม่ได้พิถีพิถันตามกฎที่ว่าชมหมากล้อมห้ามพูดคุยอย่างส่งเดช กำลังสอนอาจารย์ผู้เฒ่าสองคนที่กำลังเล่นหมากล้อมกันว่าควรเล่นหมากล้อมอย่างไร ทั้งสองฝ่ายที่เล่นหมากล้อมย่อมไม่คิดจะฟังเขา ซิ่วไฉเฒ่าพยายามจะช่วยใครสักคนวางหมากอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนถูกปัดมือทิ้ง ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างเจ็บปวดใจ “ทำไมถึงได้มีคนที่ไม่อยากชนะในการเล่น อยากแต่จะแพ้อย่างพวกเจ้ากันนะ? มาๆๆ ลองเชื่อข้าสักครั้ง ตาเฒ่าต่ง เจ้าวางหมากตรงนี้ วิธีการเล่นแบบเทพเซียนเช่นนี้หินแตกฟ้าสะเทือนได้เลย ข้ากังวลว่ากระดานหมากบวกกับโต๊ะตัวนี้ก็ยังมิอาจแบกรับพลานุภาพหมื่นชั่งนี้เอาไว้ได้…”
ยังคงไม่มีใครสนใจ
ซิ่วไฉเฒ่าพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “อาจารย์ต่ง ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่มียศตำแหน่งนะ?”
อาจารย์ผู้เฒ่าแซ่ต่งคร้านจะถือสาซิ่วไฉเฒ่าที่แกล้งถามทั้งที่รู้คำตอบดี เพียงยิ้มเอ่ยว่า “ตอนนั้นไม่ได้สอบเคอจวี่”
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดพยักหน้า หันไปพูดกับอีกคนหนึ่ง “เจ้าขุนเขาโจวมีชาติกำเนิดเป็นจิ้นซื่อ เก่งมากเลยนะ”
แล้วก็พูดเสริมประโยคหนึ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “น่าเสียดายที่เป็นแคว้นเล็กใต้อาณัติ คนร่วมสอบน้อย จิ้นซื่อมาก หากว่ากันในด้านคุณภาพก็เหมือนไม่ค่อยจะเพียงพอสักเท่าไรนะ”
เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาผู้นั้นพยักหน้าเอ่ย “ย่อมสู้ปั้งเหยี่ยนที่เป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์เหวินเซิ่งไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว”
“พูดคุยแบบนี้น่าเบื่อมากเลยนะ”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “เจ้าขุนเขาโจว รู้หรือไม่ว่าทำไมทุกวันนี้เจ้าถึงเพิ่งจะได้เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา ให้ตายอย่างไรก็เป็นผู้อำนวยการใหญ่ไม่ได้เสียที?”
เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาอวี๋ฝูในอดีตผู้นั้นเอ่ย “ไม่รู้”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดเสียงเบา “อาจเป็นเพราะเจ้าชื่อโจวมี่ ตั้งชื่อได้ไม่ดี”
โจวมี่อดทนข่มกลั้น ช่างเถิด ด่าคนสู้เหวินเซิ่งไม่ได้
ได้แต่ถูกซิ่วไฉเฒ่าก่อกวนให้รำคาญใจ หรือว่าจะให้เขานั่งลงถกเถียง ประลองวิชาความรู้กับซิ่วไฉเฒ่ากันเล่า? เปลี่ยนไปเป็นเจ้าสำนักศึกษา อริยะปราชญ์วิญญูชนทั่วไป คาดว่าคงต้องเปลี่ยนสายบุ๋นไปโดยตรงแล้ว
อาจารย์ต่งพลันลุกขึ้นยืน บอกว่าจะไปรับรองแขก
โจวมี่เองก็ทำเช่นเดียวกัน ทางฝั่งของอุตรกุรุทวีปมีคนที่ต้องให้เขาออกหน้าไปต้อนรับ
คนเล่นหมากล้อมฝีมือห่วยแตกทั้งสองคนพากันจากไปแล้ว
ทิ้งซิ่วไฉเฒ่าให้นั่งอยู่บนม้านั่งหินเพียงลำพัง สถานการณ์บนกระดานหมากล้อมเขาเองก็ดูไม่เข้าใจ อยู่คนเดียวว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงไล่นึกถึงพวกลูกศิษย์ทุกคนจนครบไปรอบหนึ่ง
ผู้เฒ่ารู้สึกโดดเดี่ยวเล็กน้อย
——