หากอยู่ที่อื่น ความคิดแรกของเขาก็คือนักฆ่า
แต่อยู่ที่นี่กลับไม่มีความจำเป็นเช่นนั้น ทว่าระมัดระวังขับเรือได้นานนับหมื่นปี ระวังตัวสักหน่อยย่อมไม่ผิดไปแน่ กู้ช่านจึงเก็บลมปราณ เดินเข้าหาเด็กสาวผู้นั้นช้าๆ
อำเภอพ่านสุ่ย เรือนพักสิบกว่าแห่งมีใครพักอาศัยอยู่บ้าง ล้วนชัดเจนดีอยู่แล้ว
เพราะผู้ที่มาเข้าร่วมงานประชุมที่ศาลบุ๋นครั้งนี้ หลังจากที่ปรากฏตัวที่ท่าเรือเวิ่นจิน ก็มีน้อยคนนักที่จะร่ายเวทอำพรางตา
หนึ่งเพราะไม่มีความจำเป็น อีกอย่างหนึ่งก็เพราะต้องการให้ความเคารพหลี่เซิ่งอยู่ไกลๆ
พวกเทพธิดาเทพจะมุ่งเป้าไปที่ฟู่จิ้นทั้งหมด
พวกบุรุษก็มุ่งเป้าไปที่เหล่าเทพีบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา
กู้ช่านกอดหนังสือปึกหนึ่งไว้ในอ้อมอก เดินผ่านตรอกเล็กมาแล้วก็หยุดเดิน ยิ้มถามว่า “แม่นางคิดจะมาหาฟู่จิ้นแห่งนครจักรพรรดิขาวผู้นั้นหรือ?”
แม่นางน้อยส่ายหน้าแรงๆ ไม่กล้ายอมรับ
กู้ช่านจึงเดินออกไปจากตรอกเล็ก มุ่งหน้าไปทางถนนใหญ่ หันหน้ามองไป เด็กสาวกำลังใช้หลังมือเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมาบนหน้าผาก คล้ายกำลังพูดคุยกับใครจึงตื่นเต้นอย่างมาก
เขาหลุดหัวเราะ เทพธิดาที่เป็นเช่นนี้จะอาศัยบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำหาเงินได้อย่างไร? หาเงินได้แล้วมีอะไรให้ต้องลำบากใจกัน?
กู้ช่านพลันหยุดเดิน
ในเรือนพัก
หลิ่วชื่อเฉิงดึงไฉ่ป๋อฝูให้เดินออกไปข้างนอกด้วยกัน ถามว่า “น้องหลงป๋อ รู้จักจางเถียวเสียผู้นั้นหรือไม่?”
ไฉ่ป๋อฝูส่ายหน้า
รายงานขุนเขาสายน้ำบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปในอดีตไม่ค่อยพูดถึงคนมหัศจรรย์เรื่องราวประหลาดของทวีปอื่นเท่าใดนัก ยกตัวอย่างเช่นบางครั้งที่หากจะพูดถึงเรือนซือเตาของภูเขาห้อยหัวก็ยังเป็นเพราะบนกำแพงติดประกาศมอบรางวัลให้กับคนที่ตัดหัวซ่งจ่างจิ้งได้ สำหรับผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปในเวลานั้นแล้ว นี่เป็นเรื่องที่มีหน้ามีตาอย่างมาก ดังนั้นรายงานขุนเขาสายน้ำของแต่ละฝ่ายจึงเน้นเขียนเรื่องนี้ด้วยตัวอักษรใหญ่ ส่วนสาเหตุที่เรือนซือเตาให้รางวัลกลับไม่พูดถึงแม้แต่คำเดียว พูดแค่ว่าซ่งจ่างจิ้งไปมีเรื่องกับยอดฝีมือของทวีปอื่น แจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ต้องไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ได้อีกแน่นอน
ผู้ฝึกตนแจกันสมบัติทวีปในอดีตจะยอมรับว่าตัวเองด้อยกว่าใบถงทวีปหนึ่งช่วงศีรษะ ด้อยกว่าอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆอย่างน้อยสองช่วงศีรษะ ส่วนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ไม่ต้องหวังเลย บางทีต่อให้กระโดดถ่มน้ำลายก็ยังถ่มใส่ได้ถึงแค่หัวเข่าของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเท่านั้น
หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ยทวงความเป็นธรรม “เขามีการช่วงชิงบนมหามรรคากับเจ้า ข้าก็ต้องช่วยเจ้าครั้งหนึ่ง เวลานี้หากไม่ผิดไปจากที่คาด เขาคงกำลังตกปลาอยู่ที่เกาะยวนยางเป็นแน่ พวกเราสองคนร่วมแรงกันเอาไม้กระบองไปฟาดเขากันเถอะ!”
ไฉ่ป๋อฝูใจหายวาบไปหมดแล้ว
เห็นหลิ่วชื่อเฉิงก้าวเดินเร็วรี่ราวกับบิน ไฉ่ป๋อฝูที่ติดตามอยู่ข้างหลังอย่างระมัดระวังก็ปลุกความกล้าถามว่า “เกิดเป็นการช่วงชิงบนมหามรรคาได้อย่างไร?”
หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ย “เขามีฉายาว่าหลงป๋อ เจ้าทนได้หรือ?”
ไฉ่ป๋อฝูเอ่ยอย่างร้อนรน “ทนได้สิ! ทำไมจะทนไม่ได้ล่ะ…”
เล่นลูกไม้อยู่ที่อื่นก็ยังทำเนา แต่คิดจะมาทำที่นี่ จะได้อย่างไร?
หลิ่วชื่อเฉิงหลุดหัวเราะพรืด “ทุกวันนี้จะดีจะชั่วเจ้าก็เป็นเซียนดินโอสถทองคนหนึ่งแล้ว จะต้องกลัวอะไร”
ไฉ่ป๋อฝูถามอย่างระมัดระวัง “จางเถียวเสียผู้นั้นมีขอบเขตอะไร?”
หลิ่วชื่อเฉิงส่ายหน้า “ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางแล้ว”
หัวใจบีบรัดตัวแน่น ไฉ่ป๋อฝูรีบถามทันที “หยกดิบ? เซียนเหริน? บินทะยาน?!”
เกือบจะถามไปแล้วว่าจางเถียวเสียใช่ขอบเขตสิบสี่หรือไม่
หลิ่วชื่อเฉิงส่ายหน้า “ล้วนไม่ใช่”
ไฉ่ป๋อฝูคลางแคลงไม่เข้าใจ
หลิ่วชื่อเฉิงร้องอ้อหนึ่งที “ก็คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง ก่อนที่เผยเปยจะมีชื่อเสียง เขาก็คือยอดฝีมือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของใต้หล้าไพศาล เพียงแต่ว่าถูกการตกปลาถ่วงรั้งเอาไว้ หลังจากเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางก็แทบจะไม่เคยถามหมัดกับใครมาก่อน ดังนั้นชื่อเสียงจึงไม่โด่งดังมากนักมาโดยตลอด”
ไฉ่ป๋อฝูยืนอยู่ที่เดิม
หลิ่วชื่อเฉิงยื่นมือไปประคองจับแขนของน้องหลงป๋อ
ไฉ่ป๋อฝูกัดฟัน ถึงกับโคจรลมปราณทำให้ตัวเองหมดสติไป พอเลือดไหลออกจากทวารเจ็ดก็สลบเหมือดคาที่ทันที
หลิ่วชื่อเฉิงเสียดายเล็กน้อย
ไปหาจางเถียวเสียคือเรื่องจริง แต่ไม่ได้จะไปท้าทาย เพราะผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับนครจักรพรรดิขาว หลิ่วชื่อเฉิงจึงคิดจะไปพูดคุยรำลึกความหลังกับอีกฝ่าย
ถ้าอย่างนั้นก็ให้น้องหลงป๋อนอนไปแล้วกัน ไม่ปลุกเขาให้ตื่นแล้ว
หลิ่วชื่อเฉิงเตรียมจะออกไปเดินเล่นข้างนอก
อยู่ดีๆ ตรงนอกประตูก็มีเสียงคนตะโกนดังลั่น “ฟู่ปัญญาอ่อน ออกมาตายให้ข้าผู้อาวุโสเดี๋ยวนี้!”
หลิ่วชื่อเฉิงอึ้งตะลึง ฟังจากน้ำเสียงแล้วค่อนข้างคุ้นหูนะ เพียงแต่ว่าเขาถูกขังอยู่ในแจกันสมบัติทวีปมาพันกว่าปีจึงค่อนข้างจะแปลกหูไปบ้าง พอมาลองคิดอีกที มารดามันเถอะ เจ้าตัวดี คือกู้ชิงซงผู้นั้น! คนพายเรือผู้เฒ่าที่ทำตัวราวกับว่าพุ่งชนด่านประตูผีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันผู้นี้ ถึงกับยังไม่ถูกคนฟันตาย? ชั่วชีวิตนี้หลิ่วชื่อเฉิงไม่เคยเจอใครที่ไม่ต้องการชีวิต แต่กลับยังมีชีวิตรอดมาได้แบบนี้มาก่อน
หลิ่วชื่อเฉิงถาม “เสี่ยวฟู่ จะให้อาจารย์อาช่วยเจ้าหรือไม่?”
ฟู่จิ้นเพียงแค่นั่งบำรุงหล่อเลี้ยงปณิธานกระบี่อยู่ในห้องของตัวเองเงียบๆ
ทั้งไม่สนใจกู้ชิงซงคนนั้น แล้วก็ไม่สนใจหลิ่วชื่อเฉิงผู้เป็นอาจารย์อา
พวกเทพธิดาที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง แต่ละคนล้วนมีสีหน้าสดใสเบิกบาน ทั้งนินทาผู้เฒ่าไม่หยุดปากว่าถึงกับกล้าเรียกฟู่หลางว่าฟู่ปัญญาอ่อนเสียได้ แต่ก็ซาบซึ้งใจจากใจจริงด้วยหลายส่วน หากฟู่หลางปรากฎตัวเพราะเหตุนี้ กลับต้องขอบคุณการโยนอิฐล่อหยกของผู้เฒ่าแล้ว
ใบหน้าของกู้ชิงซงเต็มไปด้วยรอยยิ้มหยามหยัน “เจ้าเด็กฟู่ สวมชุดขาวอยู่ตลอดทั้งปี ไว้ทุกข์ให้ใครงั้นรึ?”
หลิ่วชื่อเฉิงลูบคลำปลายคาง ดีนักนะ แม้แต่ศิษย์พี่ของตนก็ถูกด่ารวมไปด้วย? มาดของกู้ชิงซงไม่ด้อยไปกว่าในอดีตเลยนะ
หันเชี่ยวเซ่อที่เดิมทีนอนคว่ำนับทรัพย์สมบัติอยู่บนเสื่อเย็นในห้องตัวเอง ขวดไหแต่ละใบล้วนเป็นผงเครื่องประทินโฉมหลากสีสันของบนภูเขา สตรีออกเรือนแล้วของสกุลหลิวธวัลทวีปผู้นั้นสายตาไม่เลวเลยจริงๆ
นางลุกขึ้นเดินก้าวหนึ่งออกไปจากเรือน มาที่หน้าประตูใหญ่ เพียงแต่ว่าไม่รอให้นางเปิดปากพูด กู้ชิงซงผู้นั้นก็โบกมือ “บุรุษเขาจะตีกัน สตรีถอยไปห่างๆ!”
หลิ่วชื่อเฉิงรีบปรากฏตัวข้างกายศิษย์พี่หญิง ผลคือกู้ชิงซงผู้นั้นร้องถุยหนึ่งที ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ “กลางวันแสกๆ ดันสวมชุดคลุมเต๋าสีชมพู แต่งกายเป็นหญิงให้ใครสะอิดสะเอียนกัน ทำไมเจ้าไม่สวมรองเท้าปักลายไปด้วยเลยเล่า?”
เพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยคก็หาเรื่องทั้งเจิ้งจวีจง ฟู่จิ้น หันเชี่ยวเซ่อ หลิ่วชื่อเฉิงได้ครบถ้วนแล้ว
คาดว่านี่ก็คงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล สำเร็จเสร็จสิ้นในรวดเดียวแล้ว
คือวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่เป็นไปตามธรรมชาติของกู้ชิงซง
หานเชี่ยวเซ่อที่เดิมทีคิดจะลงมือต่อคนพายเรือเฒ่าเหลือบตามองหลิ่วชื่อเฉิง แล้วจู่ๆ นางก็หัวเราะ ถึงกับไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อย ด่าได้ดีจริงๆ
บางทีนี่อาจจะเป็นวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอีกบทหนึ่งของกู้ชิงซง
กู้ช่านหันหน้าไปยิ้มเอ่ยกับเด็กสาวคนนั้น “โอกาสที่พันปียากจะพานพบเช่นนี้ แม่นางยังไม่เปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำอีกหรือ?”
พวกเทพธิดาที่อยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามมีคนที่ได้ผลเก็บเกี่ยวเป็นกอบเป็นกำแล้ว ลำพังเพียงแค่คำพูดประโยคนี้ของกู้ชิงซงก็ชิงเอาเงินเทพเซียนจากพวกคนดูไปได้ไม่น้อยแล้ว
เด็กสาวรีบยกกระจกในมือขึ้น มือเท้าพันกันเป็นพัลวัน
กู้ช่านที่กอดหนังสือไว้ในอ้อมอกถอยกลับเข้ามุมเลี้ยวไปแล้ว
เด็กสาวมือหนึ่งถือกระจก อีกมือหนึ่งเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
ไม่ได้เงินเกล็ดหิมะมาแม้แต่เหรียญเดียว
ภูเขาเล็กเกินไป
กู้ช่านถาม “แม่นาง หากวันหน้าอยากดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของเจ้าต้องซื้อของบนภูเขาอะไรหรือไม่ แพงหรือไม่?”
เด็กสาวดวงตาเป็นประกาย ตบห่อสัมภาระบนร่าง “ซื้อกระจกที่ตระกูลข้าหลอมขึ้นมาก็พอแล้ว ไม่แพงหรอก แค่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น”
กู้ช่านยิ้มเอ่ย “สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะก็ไม่ถูกนะ”
เด็กสาวหน้าแดงน้อยๆ “ขายให้เจ้าหกเหรียญเงินเกล็ดหิมะ นี่คือต้นทุนแล้วจริงๆ”
กู้ช่านถาม “ห้าเหรียญขายหรือไม่? เปิดประตูใหญ่เพื่อความเป็นมงคลอย่างไรล่ะ”
เด็กสาวลังเลเล็กน้อย พยักหน้ารับ แกะห่อสัมภาระออก หยิบกระจกประทินโฉมบานหนึ่งออกมา เนื้อหาที่แกะสลักไว้ไพเราะอย่างยิ่ง ‘เมฆาคิดถึงภูษาบุปผาคิดถึงรูปโฉม กระจกวิเศษงดงามสะท้อนสายลมวสันต์’
กู้ช่านหยิบเงินเกล็ดหิมะห้าเหรียญออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้เด็กสาว
มือหนึ่งส่งเงิน อีกมือหนึ่งรับเงิน
เส้นสายตาของเด็กสาวหลุบลงต่ำ
ฮ่า ได้กำไรมาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ!
หัวเราะไม่ได้ ห้ามหัวเราะเด็ดขาด
กู้ช่านเก็บกระจกประทินโฉมบานนั้นมา เอนหลังพิงกำแพง มองไปทางประตูใหญ่
กู้ชิงซง ชื่อจริงเซียนฉา ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ ลูกศิษย์ใหญ่ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง เค่อชิงสกุลลู่ของสำนักหยินหยาง ปิดบังชื่อแซ่ รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานของตระกูลฟ่านนครมังกรเฒ่า ว่ากันว่าหลงรักกุ้ยฮูหยิน มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดแนบแน่นกับบรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักชิงเสวียนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้าไพศาล แม้ว่าจะไม่เคยต่อสู้ชนะใครมาก่อน แต่ก็ไม่เคยแพ้เรื่องโต้เถียงใคร
กู้ช่านคิดแล้วก็เดินออกไปหนึ่งก้าว ตรงกลับเข้าไปในบ้านพัก ไปนั่งนิ่งๆ ในห้อง เปิดหนังสือออกอ่าน
ส่วนกระจกประทินโฉมบานนั้น ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในชายแขนเสื้อก็ระเบิดแตกไปแล้ว
อย่าว่าแต่กู้ชิงซงผู้นั้นเลย ต่อให้เป็นหลิ่วชื่อเฉิงอาจารย์อาของตน ฟู่จิ้นศิษย์พี่ของตน หรือแม้กระทั่งหานเชี่ยวเซ่ออาจารย์อาหญิงของตน พวกเขาจะเป็นหรือตาย อันที่จริงกู้ช่านก็ไม่ใคร่จะเก็บมาใส่ใจนัก
คนผู้เดียวที่กู้ช่านใส่ใจ ยังไม่มา
จนถึงทุกวันนี้กู้ช่านก็ยังไม่กล้าแน่ใจว่า ต่อให้เขามาแล้วจะมาพบตนหรือไม่
เขาพลันวางหนังสือลง เดินออกจากห้อง มาที่สระน้ำ ก้มหน้ามองไป ในน้ำก็มีกู้ช่านคนหนึ่ง
……
บนเส้นทางภูเขาที่อันตรายแห่งหนึ่ง บนทางเล็กไส้แกะมีคนสามคนขี่ม้าเดินมาเนิบช้า มีชายฉกรรจ์สวมงอบพกดาบไม้ไผ่คนหนึ่ง คนที่ขี่ม้ามาเคียงข้างเขาคือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อหนุ่มคนหนึ่ง สะพายหีบไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียว
ด้าหลังคนทั้งสองคือผู้เฒ่าคนหนึ่ง แต่กลับเป็นคนที่มีมาดของตระกูลเซียนมากที่สุด เขาสวมชุดสีเหลือง มือหนึ่งจูงเชือกม้า อีกมือหนึ่งถือประคองคถาหรูอวี้ทรงเมฆม้วน วัสดุทำมาจากไม้ทาสีแดง แกะสลักอักษรคำว่าสิงโตคำราม
ผู้เฒ่าพึมพำเบาๆ ว่ากลางภูเขาลึกจะมีอะไร บนยอดเขามีเมฆขาวอยู่มากมาย เทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้สมกับคำว่าควบม้ากลางภูเขา เอาแต่คิดว่าตัวเองร้ายกาจ
คนหนุ่มที่เป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อถามว่า “อาเหลียง พวกเราเตร็ดเตร่ไปชักช้าแบบนี้จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ? อย่าให้ถ่วงรั้งการเข้าประชุมของเจ้านะ”
เส้นทางภูเขามีทางแยก ดูเหมือนชายฉกรรจ์จะถูกหลังม้ากระแทกกระเทือนจนเจ็บ จึงยกก้นขึ้น เอื้อมมือไปขยำเป้า ยิ้มเอ่ย “ยังมีเวลาอีกหกวันกว่าจะเริ่มประชุม ก็แค่ระยะทางสี่ห้าร้อยลี้ อย่าว่าแต่ขี่ม้าเลย ต่อให้ขี่หมาไปก็ยังไปทัน”
ม้าตัวสูงใหญ่สามตัว มองดูเหมือนทรงพลังไม่ธรรมดา แต่แท้จริงแล้วกลับเป็น ‘ยันต์ม้าไม้ไผ่’ ของบนภูเขา
คนหนุ่มบ่นว่า “พูดอะไรแบบนั้น จะดีจะชั่วผู้อาวุโสก็เป็นขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ขอบเขตเดียวกับเจ้า ให้ความเคารพกันหน่อย”
ก็คืออาเหลียงกับหลี่ไหว และยังมีนักพรตเนิ่นขอบเขตบินทะยานผู้นั้นที่ได้รับคำสั่งจึงคอยปกป้องคุ้มกันคุณชายหลี่ไหวของตนมาตลอดทาง นักพรตเนิ่นมีความสุขกับการทำเรื่องนี้มาก ไม่มีคำบ่นหรือความไม่พอใจใดๆ อยู่กับนายท่านใหญ่หลี่ไหวมีให้กินมีให้ดื่ม ขอแค่ไม่ต้องกังวลว่าอยู่ดีๆ จะถูกฟ้าผ่าหรือถูกแสงกระบี่เปล่งวาบเข้าใส่ก็ถือว่ามีชีวิตของเทพเซียนที่ต้องจุดธูปขอบคุณแล้ว หากเป็นเมื่อก่อน เขาหรือจะกล้ามาเดินเล่นอยู่ข้างกายอาเหลียง นักพรตเนิ่นคงเปลี่ยนเป็นนักพรตโซ่ว (ผอมแห้ง) ไปแล้วกระมัง
อาเหลียงหันหน้ามามองเจ้าคนที่ถือว่าเป็นบรรพจารย์ของเผ่าพันธุ์สุนัขไล่ภูเขาบนโลกตัวนั้น ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเคยมีเทพภูเขาหลายร้อยตนที่ถูกเจ้านี่ทรมาทรกรรมจนไม่มีบ้านให้กลับ ขอแค่มันเผยร่างจริง ยอดเขาแต่ละลูกอยู่ใต้ฝ่ามือของมันก็เหมือนลูกหิมะลูกหนึ่ง ค่ายกลภูเขาสายน้ำอะไร วิชาอภินิหารซานจวินอะไร ล้วนไม่ต่างจากกระดาษเปียก และขอบเขตบินทะยานตัวนี้ อันที่จริงก็มีความสามารถในการจับคู่เข่นฆ่าไม่ธรรมดา อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ยังติดอันดับต้นๆ ปีนั้นตาเฒ่าต่งบุกเดี่ยวออกไปท่องใต้หล้าเปลี่ยวร้าง มีชีวิตรอดกลับคืนมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ก็เพราะถูกเจ้าตัวนี้ไล่กัดมาตลอดทาง หากไม่เป็นเพราะถูกเฒ่าตาบอดพันธนาการอยู่ในเทือกเขาใหญ่แสนลี้ ด้วยสภาพการณ์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างในทุกวันนี้ หากปล่อยให้มันออกไปเริงร่าข้างนอก คาดว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างคงจะต้องมีภูเขาที่กองกันสูงยิ่งกว่าภูเขาทัวเยว่เกิดขึ้นมาลูกหนึ่งแล้ว
นักพรตเนิ่นคล้ายจะมองเห็นสายตาเมตตาที่บิดามองบุตรชายของอาเหลียงจึงรีบก้มหน้าค้อมเอวต่ำทันใด นึกอยากจะนั่งทับให้หลังม้ายุบลงไปบนพื้นเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะยิ้มประจบเอ่ยว่า “ข้าจะนับเป็นขอบเขตบินทะยานกับผายลมอะไรได้ อยู่ต่อหน้าอาเหลียงที่เคยชมทัศนียภาพของขอบเขตสิบสี่มาก่อน อย่างน้อยขอบเขตก็ต้องถูกลดทอนไปครึ่งหนึ่ง”
อาเหลียงเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ก็โชคดีที่ศาลบุ๋นไม่ได้ยกเลิกคำสั่งห้ามจัดพิมพ์รายงานขุนเขาสายน้ำ ไม่อย่างนั้นตลอดทางที่พวกเรามุ่งหน้าไปยังท่าเรือเวิ่นจินนี้ เจ้าคิดจะหาส้วมสักแห่งยังยาก ถึงเวลานั้นดึกดื่นเดินก้นส่ายไปถึงก็ยังเหมือนจุดโคมไฟให้คนแห่มาดูอยู่ดี”
การประชุมที่ศาลบุ๋นครั้งนี้ ถึงอย่างไรก็มีข่าวลือแพร่ออกไปแล้ว บวกกับที่ศาลบุ๋นไม่ได้ขัดขวางข่าวนี้มากนัก คาดว่ารอให้การประชุมเสร็จสิ้นลงคงมีการสั่งให้เปิดรายงานขุนเขาสายน้ำขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
หลี่ไหวถาม “อาเหลียง ทำไมถึงไม่สวมชุดลัทธิขงจื๊อแล้วล่ะ?”
อาเหลียงเหลือกตามองบน “เจ้าว่าตาเฒ่าอวี๋จะสวมชุดที่มียันต์แปะเต็มร่างออกมาจากบ้านไหม?”
หลี่ไหวเอ่ยอย่างกังขา “นี่มันเหตุผลอะไรกัน?”
อาเหลียงปลดกาเหล้าลงมาดื่มอึกใหญ่ “เหตุผลก็คืออะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี ดังนั้นข้าจึงต้องเก็บมาดองอาจสง่างามของตัวเองเอาไว้สักหน่อย ก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่อาจารย์ลุงจั่วของเจ้าต้องเก็บปราณกระบี่ทั่วร่างนั่นแหละ ความต่างเพียงอย่างเดียวก็คือจั่วโย่วเก็บปราณกระบี่ได้อย่างง่ายดาย แต่ข้ากลับเก็บซ่อนมาดองอาจไว้ได้ค่อนข้างยากลำบาก”
หลี่ไหวหลุดหัวเราะพรืด “โม้อีกแล้วหรือ? สุนัขเปลี่ยนนิสัยกินอาจมไม่ได้จริงๆ สินะ?”
จู่ๆ ก็รู้สึกผิดขึ้นมา หลี่ไหวหันหน้าไปมอง นักพรตเนิ่นรีบพูดด้วยสีหน้าจริงจังทันใด “ได้กินของแบบเดียวกับอาเหลียงนับเป็นเกียรติสูงสุด!”
อาเหลียงคร้านจะพูดจาไร้สาระ ยกกำปั้นขึ้น ไม่ได้ออกแรงอย่างไรด้วยซ้ำ ผู้เฒ่าชุดเหลืองก็ปลิวกระเด็นออกไปจากหลังม้าแล้ว คทาหรูอี้อันนั้นหลุดออกไปจากมือ ถูกอาเหลียงกางแขนออกด้านข้างคว้ามาไว้ในมือแล้วเก็บใส่ชายแขนเสื้ออย่างคล่องแคล่ว
นักพรตเนิ่นกลิ้งตัวลุกขึ้นยืน สะบัดไหล่เบาๆ สะบัดชุดหนึ่งทีก็กระเทือนเศษฝุ่นบนร่างทิ้งไปได้หมด
ได้กำไรแล้ว ได้กำไรแล้ว
หากมอบคถาหรูอี้อันหนึ่งออกไปแล้วด่าอาเหลียงได้หนึ่งประโยค นักพรตเนิ่นก็สามารถมอบให้อาเหลียงได้หนึ่งกระบุงเลย
——