หลี่ไหวถาม “ทำไมพวกเราถึงต้องใช้เส้นทางภูเขาเส้นนี้ด้วย? ใช้ถนนทางหลวงดีจะตายไป ขี่ม้าก็ไม่ต้องกระเด้งกระดอนขนาดนี้”
อาเหลียงยิ้มกล่าว “มียอดฝีมือเร้นกายมาอยู่ที่นี่ จะพาเจ้าไปเยี่ยมเยือน เจ้าจะได้รู้ว่าพี่อาเหลียงของเจ้าอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้วเนื้อหอมแค่ไหน”
หลี่ไหวเอ่ยอย่างเดือดดาล “อ้อมเส้นทางมาตั้งไกลขนาดนี้เป็นเพื่อนเจ้าก็เพื่อให้เจ้าโอ้อวดว่าตัวเองรู้จักคนเยอะงั้นรึ?!”
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “อีกเดี๋ยวพออาศัยใบบุญของข้าได้ดื่มสุราเลิศรส ได้เห็นพี่สาวหน้าตางดงาม ถึงเวลานั้นค่อยขอบคุณข้าก็ยังไม่สาย”
หลี่ไหวกึ่งเชื่อกึ่งกังขา
บนยอดเขาสูงย่อมต้องมีเซียนศักดิ์สิทธิ์ กลางภูเขาลึกย่อมต้องมีภูตมีตัวประหลาด กลางน้ำลึกย่อมต้องมีเจียวมีตะพาบ ทว่าภูเขาลูกนี้มองดูแล้วธรรมดามากเลยนะ
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา จากขี่ม้าขึ้นเขาก็กลายเป็นขี่ม้าลงเขาแล้ว
หลี่ไหวหัวเราะหยันไม่หยุด
อาเหลียงที่แสร้งทำเป็นเยือกเย็นจึงได้แต่ตะโกนเสียงดังในใจ “มีสหายอยู่ด้วย ไว้หน้ากันหน่อยสิ เปิดประตูยกชามาให้ดื่มสักถ้วย ดื่มเสร็จเดี๋ยวก็ไปแล้ว”
เซียนเหรินที่อยู่กลางภูเขาตอบรับฉับไว “ข้าไม่อยู่”
อาเหลียงร้อนใจขึ้นมาครามครัน “ไม่จำเป็น พี่เย่โหวเจ้าจะอยู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญ ขอแค่พี่หญิงหวงเจวี้ยนอยู่ก็พอแล้ว”
คนผู้นั้นคล้ายจะหมดความอดทน “ไสหัวไปที่อื่นเลย!”
อาเหลียงจึงได้แต่ใช้ท่าไม้ตาย “หากเจ้ายังเป็นแบบนี้อยู่อีกก็อย่าโทษว่าข้าปล่อยหมาไปข่วนประตูบ้านเจ้านะ! คนข้างกายข้าผู้นี้ ลงมือไม่รู้จักหนักเบา ถึงเวลานั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าควบคุมไม่เข้มงวดแล้วกัน”
คนผู้นั้นจึงได้แต่เงียบงัน
อาเหลียงเอ่ยข่มขู่ “ข้าคนนี้รักหน้าตาเป็นที่สุด ท่องอยู่ในยุทธภพ แต่ไหนแต่ไรมาใครเคารพข้า ข้าก็เคารพคนผู้นั้น วันนี้หากเจ้าไม่ไว้หน้าข้า คราวหน้ารอให้ข้าไปถึงอำเภอพ่านสุ่ยท่าเรือเวิ่นจิน ก็อย่ามาโทษว่าข้าช่วยสร้างชื่อเสียงให้เจ้าล่ะ”
ในพื้นที่ลับตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีตราผนึกหนาชั้น ขุนเขาสายน้ำอิงแอบกัน มีลำธารหลงจิ่งสายน้ำไหลริกๆ เลื้อยลดคดเคี้ยวลงสู่ทะเลสาบสีเขียวมรกตใสแจ๋วราวกระจก ประหนึ่งมังกรเลื้อยลงน้ำ
ห่างไปไม่ไกลคือยอดเขาลี่จิ้งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ บนยอดเขาราวถูกมีดปาดจนราบเรียบ หน้าผาอยู่สองข้างฝั่ง สันเขาเป็นเส้นยาวบางๆ มีทางเส้นเล็กอยู่แค่เส้นเดียว ตรงจุดที่กว้างที่สุดของยอดเขาถึงจะพอสร้างเรือนเล็กหลังหนึ่งขึ้นมาได้ ทุกครั้งที่แสงตะวันแสงจันทร์ส่องทะลุผ่านยอดเขา เส้นแสงสีทองก็จะเหมือนกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่แทงเข้ามายังน้ำในทะเลสาบ
ใต้หล้าไพศาลมีห้าทะเลสาบใหญ่ และสุ่ยจวินของห้าทะเลสาบ ระดับขั้นก็ทัดเทียมกับพวกเทพภูเขาของภูเขาใหญ่อย่างภูเขาสุ้ยซาน ภูเขาจิ่วอี๋ ภูเขาจวีซวี ภูเขาแยนจือ รวมไปถึงเทพวารีของลำน้ำใหญ่ทั้งหลาย
สถานที่แห่งนี้ก็คือที่ตั้งของจวนวารีลึกลับของหลี่เย่โหวสุ่ยจวินแห่งทะเลสาบเจี่ยวเยว่ (จันทร์สกาว)
ไม่เหมือนกับเทพใหญ่ของขุนเขาทั้งหลาย สุ่ยจวินของทะเลสาบเจี่ยวเยว่นี้มีการเปลี่ยนสถานะไปมาหลายครั้ง อีกทั้งเมื่อเทียบกับอีกสี่ทะเลสาบที่เหลือ ศาลสุ่ยจวินของทะเลสาบเจี่ยวเยว่ก็มีควันธูปน้อยที่สุด ดังนั้นสุ่ยจวินของทะเลสาบเซิ่นเจ๋อจึงคิดอยากจะมาแทนที่อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าไม่เคยทำสำเร็จได้สักที
บุรุษผู้หนึ่งที่บุคลิกองอาจสง่างามนอนเอนกายอยู่ในระเบียงไผ่เขียวของศาลาริมน้ำ ชุดสีขาวแขนเสื้อกว้างใหญ่ บนใบหน้าสวมหน้ากากปิดทับ เอนตัวพิงหมอนกระเบื้องสีขาวหิมะใบหนึ่ง ในมือถือพัดใบลานเก่าแก่ที่สีออกเหลืองพัดเอาลมเย็นโบกเข้าตัวเบาๆ
หมอนกระเบื้องขาวก็คือสมบัติล้ำค่าตระกูลเซียน ชื่อว่าหมอนเซียนพเนจร หนุนหมอนนอนหลับ ห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทรล้วนมารวมกันอยู่ในความฝัน
ด้านหน้าบุรุษวางพิณโบราณไว้คันหนึ่ง กับตำราโบราณที่วางทับซ้อนกันอีกกองหนึ่ง
ซ้ายพิณขวาตำรา
ตรงช่วงกลางของพิณแกะสลักตัวอักษรเอาไว้เยอะมาก บวกกับลายตราประทับเล็กเจินหง ตราประทับอักษรจิ่วเตี๋ย มากมายแน่นขนัด เห็นได้ชัดว่าของชิ้นนี้มีการสืบทอดต่อกันมาอย่างเป็นระบบระเบียบยิ่ง
เหนือสระมังกรสลักคำว่าชุดอวี้หลุน ด้านข้างเป็นอักษรลี่ซูเขียนเป็นคำว่าลวี่ฉี่ไถ นอกจากนี้ยังมีอักษรเป็นคำว่า ‘สะท้านขื่อพันปี’ ‘เอกอุแห่งใต้หล้า’ ‘แสงเรื่อเรืองสนเขียวขจี เสี้ยวแสงจันทร์ประตูทอง’ ‘ไม่รู้ว่าน้ำมาจากไหน คลื่นระลึกโถมถั่งไวดุจสายฟ้า’ …
ภูเขาสูงไร้เซียนย่อมมีภูตตัวประหลาด บ่อลึกไร้เจียวย่อมมีเซียนน้ำ
ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยแต่แข็งแรงกำยำคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนผิวทะเลสาบเหมือนเดินอยู่บนพื้นที่ราบ ฝึกกระบวนท่าเดินฝึกวิชาหมัดไปอย่างเชื่องช้า
ใจกลางทะเลสาบสร้างเวทีกลางน้ำไว้หลังหนึ่ง
สตรีสวมอาภรณ์สีสันสดใสคนหนึ่งกำลังร่ายรำอยู่บนเวที เรือนร่างชดช้อยอรชร
ตรงระเบียงใต้ชายคาวางโครงไม้โบราณแขวนระฆังเปียนจง (เครื่องดนตรีสำหรับตีอย่างหนึ่งสมัยโบราณ) ทองสัมฤทธิ์เก้าชิ้นไว้หนึ่งแถว มีเด็กหญิงสวมชุดสีเขียวและเด็กชายสวมชุดสีแดงเข้มเคาะตีไปตามจังหวะ เสียงนั้นไพเราะดุจเสียงจากสวรรค์
ศาลาริมน้ำที่อยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘คลังตำรา’
กลอนคู่เป็นคำว่า บนชั้นวางไม้จิ้มฟันสามหมื่นแกน หีบเก็บแผ่นไม้ไผ่สองพันชิ้น
บนเส้นทางภูเขา หลี่ไหวจำต้องเปิดปากพูดเตือนว่า “อาเหลียง หากยังปล่อยให้กีบเท้าม้าดังกุบกับๆ แบบนี้ต่อไปก็จะเดินไปถึงตีนเขาแล้วนะ ทำไม สหายเซียนซือบนภูเขางีบหลับอยู่หรือ หรือว่าบังเอิญออกจากบ้านเดินทางไกลไปพอดี?”
อาเหลียงจับประคองงอบ เพียงยิ้มรับไม่เอ่ยคำใด
ยื่นมือไปกดด้ามดาบไม้ไผ่ที่เหน็บไว้ตรงเอว
มารดามันเถอะ เจ้าหลี่เย่โหวผู้นี้ไม่ดื่มสุราคารวะ แต่ดันจะดื่มสุราลงทัณฑ์ ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในกาลก่อนนะ
บนเส้นทางเบื้องหน้ามีริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอกเหมือนลายน้ำที่แผ่ออกมา ราวกับว่าบนเส้นทางมีกระจกที่มองไม่เห็นบานหนึ่งมาตั้งขวางไว้ อาเหลียงหัวเราะร่าเสียงดัง หนีบท้องม้าควบทะยานไปเบื้องหน้าอย่างว่องไว หนึ่งคนหนึ่งม้าพุ่งนำเข้าไปยังพื้นที่ลับจวนเซียนก่อน
หลี่ไหวกับนักพรตเนิ่นขี่ม้าตามไป เพียงชั่วพริบตานั้นหลี่ไหวก็ค้นพบว่าตัวเองมาอยู่บนเส้นทางริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง ห่างจากศาลาริมน้ำแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ต่างคนต่างเก็บยันต์ม้าเดินลงไป หลี่ไหวสำรวมตนอยู่บ้าง เดินอยู่ข้างกายอาเหลียงที่ก้าวยาวๆ ไปเบื้องหน้า ส่วนนักพรตเนิ่นนั้นรีบกวาดตามองไปรอบด้าน ดูว่าจะมีโอกาสได้ฉกฉวยผลประโยชน์ แล้วได้ถือโอกาสสาดน้ำสกปรกใส่อาเหลียงหรือไม่
ทรัพย์สินได้มาอย่างไร? ไม่มีทางหล่นลงมาจากฟ้าแน่นอน ล้วนต้องขุดหามาอย่างยากลำบากทั้งสิ้น
ก่อนจะเดินเข้าไปในระเบียงของศาลาริมน้ำ อาเหลียงก็นั่งแปะลงบนขั้นบันได เพิ่งจะถอดรองเท้าก็ขมวดคิ้วมุ่น รีบสวมรองเท้ากลับเข้าไปใหม่
หลี่ไหวไม่รู้ว่านี่เป็นข้อพิถีพิถันอะไร จึงได้แต่ทำตาม ถอดรองเท้าแล้วก็สวมกลับคืนเหมือนเดิมเช่นเดียวกัน
อาเหลียงปลดงอบลง เอามาหนีบไว้ใต้รักแร้ ยืนเอนตัวพิงเสา ปลายเท้าข้างหนึ่งแตะพื้น มองไปยังสตรีเรือนกายอรชรที่อยู่บนเวทีกลางทะเลสาบ สายตาแฝงความขุ่นเคือง พึมพำกับตัวเองว่า “ทุกครั้งที่ลมพัดโชยสู่ลานต้นไม้ แสงจันทร์ส่องทะลุหน้าต่าง เห็นภาพแล้วคิดถึงคน วิญญาณในฝันสั่นคลอน”
เขาพลันยิ้มบางๆ แล้วเริ่มนับ “สาม สอง หนึ่ง!”
หลี่ไหวมึนงงไม่เข้าใจ
ตอนที่อาเหลียงนับถึงหนึ่ง บนเวทีกลางทะเลสาบ สตรีสวมชุดสีสันสดใสคนนั้นพลันหยุดชะงัก มองมาทางศาลาริมน้ำ “โจรสุนัขตายซะเถอะ!”
อาเหลียงหัวเราะ “หลี่ไหว เป็นอย่างไร?”
หลี่ไหวถาม “อะไรเป็นอย่างไร?”
อาเหลียงจุ๊ปากพูด “จากลากันสั้นๆ หวานชื่นยิ่งกว่าตอนแต่งงานใหม่ ตีเพราะสนิทสนม ด่าก็เพราะรักอย่างไรล่ะ เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
ชุดสีสันสดใสพลิ้วกายมาถึง ในมือมีกระบี่ยาวโผล่เพิ่มมาเล่มหนึ่ง ปลายกระบี่ชี้ตรงมาที่ศีรษะของเจ้าหมอนั่น
อาเหลียงถึงกับหลับตาลง วางท่าว่ายอมอยู่นิ่งเฉยรอรับความตาย
เรือนกายหยุดลงนอกราวรั้ว สตรีตะลึงพรึงเพริด เห็นได้ชัดว่าคาดไม่ถึงว่าอาเหลียงผู้นี้ไม่คิดจะหลบเลี่ยง นางลังเลเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังทิ่มปลายกระบี่ออกมา
ปลายกระบี่แค่สัมผัสโดนหว่างคิ้วของเจ้าคนบ้ากามเล็กน้อย แทงจนเกิดเป็นรอยแผลนิดหน่อยนางก็เก็บกระบี่กลับมาแล้ว
คิดไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์ผู้นั้นจะหงายหลังผลึ่งเสียงดังตุ้บ จากนั้นก็เริ่มเอาสองมือกุมหัว กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนระเบียง แล้วยังแผดเสียงตะโกนดังลั่นคล้ายต้องการเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง “ลูกผู้ชายหลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตา อาเหลียงเจ้าต้องเข้มแข็งไว้นะ ห้ามเสียมาดวีรบุรุษผู้องอาจต่อหน้าพี่หญิงหวงเจวี้ยนเด็ดขาด…”
หลี่ไหวทึ่งตะลึงอย่างยิ่ง
นักพรตเนิ่นก็ยิ่งรู้สึกนับถือ
หูจวิน (ผู้ครองทะเลสาบ) หลี่เย่โหวลุกขึ้นยืนแล้ว ปลดหน้ากากเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เผยให้เห็นใบหน้าของบุรุษวัยกลางคน ไม่ได้ดูแก่ แต่ดวงตามืดลึกคู่นั้นบ่งบอกให้รู้ถึงประสบการณ์อันโชกโชน หูจวินชุดขาวที่เร้นกายมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่มีมาดสง่างามโดดเด่น บุคลิกค่อนข้างเงียบขรึม แต่กลับไม่ถึงขั้นทำให้คนรู้สึกว่าเขาเซื่องซึมไม่กระตือรือร้น
หลี่ไหวมองเซียนซือท่านนี้แล้วค่อยมองอาเหลียงที่กลิ้งไถลไปตลอดทางจนไปถึงหมอนกระเบื้องขาว สุดท้ายหมอนกระเบื้องขาวก็ถูกเขาหนุนหนอนเหมือนนกพิราบยึดรังนกกางเขนทั้งอย่างนี้ แล้วยังยกขาไขว่ห้าง กางแขนกางขา โหวกเหวกว่าล่องลอย ล่องลอย
หลี่เย่โหวคร้านจะมองอาเหลียงให้เต็มตา แต่หันมาผงกศีรษะทักทายหลี่ไหวและนักพรตเนิ่น
หลี่ไหวรีบประสานมือคารวะ “ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อหลี่ไหวแห่งสำนักศึกษาซานหยา”
ผู้เฒ่าชุดเหลืองก็ยิ้มแนะนำตัวเองว่า “นักพรตเนิ่น คือข้ารับใช้ในตระกูลของคุณชายหลี่”
หลี่เย่โหวรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
คนหนุ่มลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่มาจากสำนักศึกษาซานหยาของแจกันสมบัติทวีป เหตุใดข้างกายถึงได้มีข้ารับใช้เป็น…ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งได้?
สตรีสวมชุดสีสันสดใสพลิ้วกายลงในระเบียง มือถือกระบี่ยาว ตวาดอย่างเดือดดาลว่า “อาเหลียง เอาที่นั่งคืนมาให้นายท่านของข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
ชายฉกรรจ์ร่างเตี้ยกำยำที่ฝึกหมัดอยู่บนทะเลสาบก็มาที่ศาลาริมน้ำเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่ได้พูดจาร้ายกาจใส่อาเหลียง
อาเหลียงพลิกตัวนอนตะแคง เอาหลังพิงราวรั้วของศาลา ทำท่านอนตะแคงที่ตัวเองคิดว่างดงามดุจขุนเขาหยก คล้ายจะเล่นแง่กับสตรีจึงพูดด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ “ไม่เสียอย่าง”
สตรีชุดสีสันสดใสที่นั่งเก้าอี้อันดับหนึ่งของเผ่าพันธุ์น้ำแห่งทะเลสาบเจี่ยวเยว่ ในทำเนียบทองหยกของจวนสุ่ยจวิน นางมีชื่อว่าหวงเจวี้ยน เกิดมาก็ชอบกินปลามอด
ส่วนวิญญาณวีรบุรุษผีพรายตนนั้นมีชื่อว่าซาชิง ตอนมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง ทุกวันนี้สถานะเทียบเท่ากับเค่อชิงอันดับหนึ่งของทะเลสาบเจี่ยวเยว่
หวงเจวี้ยนก้าวเร็วๆ เดินไปข้างหน้าแล้วเงื้อกระบี่ฟันฉับ
อาเหลียงใช้มือข้างเดียวยันพื้นอย่างคล่องแคล่ว หน้ามองพื้นเท้าชี้ฟ้า หลบกระบี่นั้นมาได้พ้นก็งอข้อศอก ออกแรงเล็กน้อยพลิกตัวกลับมานั่งขัดสมาธิ ดีดนิ้วหนึ่งที
ไม่มีความเคลื่อนไหว
อาเหลียงจึงดีดนิ้วอีกที
ยังคงไม่ต่างไปจากเดิม
อาเหลียงหันหน้าไปมองหลี่เย่โหวที่ยืนพิงราวรั้วแล้วพูดกลั้วหัวเราะดังลั่น “พี่เย่โหว เจ้าคือเจ้าบ้านครึ่งตัว ขอดูภาพบรรยากาศบริเวณใกล้เคียงท่าเรือทั้งสี่แห่งหน่อยสิ”
หลี่เย่โหวโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง บนทะเลสาบก็มีม้วนภาพขุนเขาสายน้ำปรากฏ เทือกเขาขึ้นลงสลับสล้าง แสงไฟกระจายเป็นจุดๆ ส่วนที่ใหญ่ก็ใหญ่เหมือนโคมไฟ ส่วนที่เล็กก็เล็กเหมือนเมล็ดงา แตกต่างกันอย่างมาก คือศาสตร์การมองปราณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ แสงไฟแต่ละจุดก็คือผู้ฝึกลมปราณแต่ละคน
อาเหลียงโน้มตัวไปข้างหน้า เท้าแก้มด้วยมือข้างเดียว “คนที่มาจากอุตรกุรุทวีปมีน้อยไปหน่อย”
หลี่เย่โหวเงียบงัน ล้วนเป็นการจัดการของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง เขาเป็นแค่หูจวินตัวเล็กๆ คนหนึ่งไม่อาจจะไปวิจารณ์อะไรได้
อาเหลียงถาม “ตาเฒ่าเผยมาแล้วหรือยัง?”
หลี่เย่โหวถือพัดใบลานออกเหลืองชิ้นนั้นอยู่ในมือ โบกลมเบาๆ เอ่ยว่า “ศาลบุ๋นไม่ได้เชิญ เผยหมิ่นก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายปรากฏตัวก่อน”
อาเหลียงถามอีก “ภิกษุเหลี่ยวหรานของวัดเสวียนคงล่ะ?”
หลี่เย่โหวเอ่ย “มาแล้ว คนจากสองลัทธิอย่างพุทธกับเต๋า รวมไปถึงบรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนัก และยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่มีภูเขาสุ้ยซานเป็นหนึ่งในนั้น ไม่ว่าจะมาเข้าร่วมการประชุมหรือไม่ก็ล้วนไม่ได้พักอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับท่าเรือทั้งสี่แห่ง ศาลบุ๋นจัดหาที่พักแยกให้พวกเขา ไม่ห้ามหากพวกเขาจะไปเยี่ยมเยือนสหายที่อยู่สี่สถานที่นี้ เพียงแต่ว่าคนที่ยินดีจะไปมาหาสู่กันจริงๆ กลับมีไม่มาก”
อาเหลียงลูบคลำปลายคาง จุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “คนก็เรียกมาแล้ว แต่ส่วนใหญ่กลับยังไม่แน่เสมอไปว่าจะเข้าร่วมการประชุมได้ ไม่ถือว่าเข้าร่วมพิธีการด้วยซ้ำ ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องมาเสียเที่ยวงั้นรึ? ทำไมถึงได้รู้สึกว่าครั้งนี้ศาลบุ๋นค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเองนะ”
อาเหลียงถาม “เจ้าเด็กเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะล่ะ?”
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินเพียงหนึ่งเดียวในท้องถิ่นของแจกันสมบัติทวีป ทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารของศาลลมหิมะ แล้วยังเคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน ในศึกของเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีก็ฉายประกายเจิดจ้า ตามหลักแล้วต้องมีคุณสมบัติได้เข้าร่วมการประชุม
หลี่เย่โหวส่ายหน้า “ไม่ได้มา รายชื่อของสำนักการทหารที่ศาลบุ๋นกำหนดไว้มีจำกัด เว่ยจิ้นจึงมอบโอกาสนี้ให้กับคนหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อสวี่ป๋าย”
อาเหลียงยิ้มกล่าว “เจ้าเด็กที่มีฉายาว่า ‘เจียงไท่กงตอนเป็นเด็กหนุ่ม’? สวี่เซียนคนนั้นรึ?”
หลี่เย่โหวพยักหน้ารับเบาๆ
อาเหลียงถูมือเอ่ย “เจ้าตัวดี ขอให้ข้าได้ประลองกับเขาบนกระดานหมากสักสองสามตาเถอะ ข้าจะต้องเอาชนะจนช่วงชิงฉายา ‘เจียงไท่กงตอนอายุมาก’ มาได้แน่! ประลองหมากกับเขาครั้งนี้สามารถเรียกได้ว่าสถานการณ์เมฆหลากสีน้อย รับรองว่าต้องทิ้งชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์แน่นอน!”
หลี่เย่โหวเอนหลังพิงราวรั้ว โบกพัดใบลานเบาๆ มองชายฉกรรจ์ที่ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือแล้วก็ให้รู้สึกว่าวันหน้าทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขเป็นแน่
รายงานขุนเขาสายน้ำของสำนักตระกูลเซียนบางแห่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่มีความน่าเชื่อถือแม้แต่นิดจริงๆ อะไรที่บอกว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ผลงานการสู้รบดีเยี่ยมที่สุดในใต้หล้าไพศาล คนรุ่นเยาว์มากความสามารถสิบคนแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ผู้ฝึกตนสิบคนที่มีวาสนากับสตรีมากที่สุดแห่งใต้หล้าไพศาล ล้วนต้องมีเจ้าอาเหลียงผู้นี้อยู่ติดอันดับเหมือนกันหมดอย่างไม่มีข้อยกเว้น โชคดีที่รายงานขุนเขาสายน้ำพวกนี้มักจะขายไม่ดีนัก คาดว่าคงเป็นเพราะถูกคนเอามีดมาจ่อคอก็เลยได้แต่ฝืนใจเขียนเพื่อรับมือกับเจ้าชาติสุนัขผู้นี้กระมัง
อาเหลียงมองไปยังชายร่างเล็กเตี้ยที่ชื่อว่าซาชิง ฝ่ายหลังจึงได้แต่โยนเหล้าเจี่ยวเยว่บ้านตนออกมาหนึ่งกา
อาเหลียงเอ่ยอย่างเดือดดาล “ซาชิง ข้ารึอุตส่าห์สอนวิชาหมัดล้ำโลกให้เจ้าหลายกระบวนท่า แค่เหล้ากาเดียวเองรึ จิตสำนึกของเจ้าถูกนักพรตเนิ่นกินไปหมดแล้วหรือไร?!”
แล้วก็เพราะว่ามีคนนอกอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นหลี่ไหวจะต้องรัดคออาเหลียงให้เขาหุบปากแล้ว
ปีนั้นที่ออกเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อ หลี่ไหวอายุน้อยที่สุดจึงมักจะขี่คออาเหลียงร้องย๊าๆๆ แกว่งเท้าที่สวมรองเท้าสานสองข้าง บอกให้อาเหลียงวิ่งเร็วๆ หน่อย
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่ปรากฏกายบนโลกด้วยร่างของภูตผีจึงได้แต่โยนเหล้าออกไปอีกสองกา พยัคฆ์ดำควักใจ งมจันทร์ใต้มหาสมุทร วานรเด็ดลูกท้อ ฮ่าๆ ช่างเป็นกระบวนท่าหมัดที่ดีจริงๆ
อาเหลียงขยับก้นไปนั่งอยู่ตรงหน้าพิณโบราณ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ค่อยๆ ยกสองมือขึ้น แล้วจู่ๆ ก็หยิบเหล้ากาหนึ่งขึ้นมา จิบเหล้าหนึ่งอึกก็สะดุ้งเฮือกเหมือนถูกผีเข้า ครั้นจึงเริ่มลูบไล้พิณ โคลงศีรษะไปมา เอียงซ้ายเอียงขวา อาเหลียงเคลิบเคลิ้มเมามายอยู่กับตัวเอง
บรรยากาศของศาลาริมน้ำเปลี่ยนมาเป็นลุ่มลึกทันใด พวกภูตน้อยทั้งหลายที่ก่อนหน้านี้เคาะตีระฆังรีบพากันยกมืออุดหู
หลี่ไหวทนรับไม่ไหวจริงๆ ประเด็นสำคัญคือเหลือบไปเห็นว่าเทพธิดาชุดสีสดใสหน้าเขียวแล้ว ปลายกระบี่สั่นเบาๆ คาดว่านางอาจจะลงมือได้ทุกเมื่อ หลี่ไหวจึงรีบกระแอมหนึ่งที อาเหลียงใช้สองมือกดสายพิณ หันหน้ามาถามอย่างสงสัย “มีอะไรหรือ?”
หลี่ไหวยกฝ่ามือข้างหนึ่งทำท่าปาดคอ เตือนว่าเจ้าแค่พอประมาณก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นพอออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่ก็อย่าโทษว่าข้าไม่เห็นแก่มิตรภาพพี่น้องล่ะ
อาเหลียงถอนหายใจ มีแต่พวกคนหยาบกระด้าง ฟังบทเพลงก็ไม่รู้จักความหมายอันลุ่มลึกเสียเลย
——