อาเหลียงยกกาเหล้าขึ้นสูดดมกลิ่น ถามว่า”ทางฝั่งของใบถงทวีปล่ะ?”
หลี่เย่โหวเอ่ย “เหวยอิ๋งเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักกุยหยก อู๋ซูอริยะบู๊ มีแค่สองคนนี้ อู๋ซูกับลูกหลานสกุลเฉินผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีปมาที่ท่าเรือเวิ่นจินด้วยกัน”
อาเหลียงขมวดคิ้ว
หวงเจวี้ยนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “ครั้งนี้หลิ่วชีก็มาด้วย!”
อาเหลียงรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้ารู้จักเขา แต่เขาไม่รู้จักข้านี่นา”
หลิ่วชีผู้นั้นอายุมากไปสักหน่อย แล้วยังไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว อยู่ที่พื้นที่มงคลซืออวี๋แล้วก็ไม่ไปไหนอีก
นางเอ่ยอย่างมีโทสะ “ถ้าอย่างนั้นตอนแรกเจ้ามีหน้าบอกว่าตัวเองเป็นสหายรักของหลิ่วชีได้อย่างไร?!”
อาเหลียงเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ตอนนั้นสุรารสชาติกลมกล่อมสาวงามท่ามกลางค่ำคืนแสงจันทร์ คน สุรา แสงจันทร์ สามสิ่งนี้ทำให้ข้าเมามาย ข้าหรือจะต้านทานได้ไหว ดื่มจนเมาก็เลยพูดจาเลื่อนเปื้อน เอาจริงเอาจังไม่ได้หรอกนะ”
นางหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ข้ารอคอยการประชุมครั้งนี้อย่างยิ่ง หลังจากที่เจ้าได้พบหลิ่วชีกับซูจื่อแล้ว อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมีหน้าเป็นฝ่ายไปทักทายผู้อาวุโสทั้งสองท่านหรือไม่!”
หวงเจวี้ยนขุนนางน้ำแห่งทะเลสาบเจี่ยวเยว่ชื่นชมเลื่อมใสหลิ่วชีเป็นที่สุด
ดังนั้นปีนั้นที่อาเหลียงผู้นี้มาเยี่ยมเยือนจวนน้ำในพื้นที่ลับเป็นครั้งแรก ชายฉกรรจ์พูดจาน่าเชื่อถือว่าตัวเองเป็นสหายรักกับหลิ่วชี นางจึงหลงเชื่อ
นางหรือจะจินตนาการได้ว่า เซียนซือบนภูเขาท่านหนึ่งที่มาเป็นแขกถึงบ้าน แล้วยังได้ดื่มเหล้ากับนายท่านจะหน้าหนาไร้ยางอายถึงเพียงนี้? อีกทั้งยังได้ยินมาว่าคนผู้นี้เป็นทายาทของอริยะท่านหนึ่ง เป็นบัณฑิตที่เป็นบัณฑิตไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วในใต้หล้า!
อาเหลียงรีบหาวิธีทำความดีชดใช้ความผิด พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พี่หญิงหวงเจวี้ยน อย่าโกรธเลยนะ ข้ารู้จักเด็กรุ่นหลังอายุน้อยคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนิสัยใจคอ หน้าตาหรือความสามารถก็ล้วนไม่เป็นรองหลิ่วชีเลยแม้แต่น้อย มีคำเรียกขานที่ไพเราะว่า ‘มองไกลๆ คล้ายอาเหลียง’!”
หลี่ไหวยกเท้าถีบอาเหลียงหนึ่งที
อาเหลียงเอ่ยอย่างสงสัย “ทำไม น้องเขยตัวน้อย หรือเจ้าจะให้ข้าแนะนำเจ้าต่อพี่หญิงหวงเจวี้ยนแทนล่ะ?”
นางทำสีหน้าเหลอหรา ไม่รู้ว่าคนที่อาเหลียงพูดถึงเป็นเทพเซียนจากที่ใดกันแน่
หลี่เย่โหวยิ้มอธิบายว่า “หากเดาไม่ผิด คนหนุ่มผู้นั้นก็คืออิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
นางรีบเก็บเสียงวางสีหน้าเคร่งขรึมทันที
คร้านจะถือสาอาเหลียงที่ปากสุนัขไม่งอกงาช้างแล้ว
ป๋ายเหย่พกกระบี่เดินทางไกลไปเยือนฝูเหยาทวีปเป็นบทเริ่มต้น เจิ้งจวีจงแห่งนครจักพรรดิขาวเดินทางไปยังฝูเหยาทวีป ปิดฉากสถานการณ์บนกระดานหมากของหนึ่งทวีปเพียงลำพัง เฉินฉุนอันผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีปขัดขวางหลิวชา สถานการณ์การสู้รบในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงสนามรบที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น การเข่นฆ่าอันดุเดือดรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องนานหลายปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของไพศาลในทุกวันนี้ แทบทุกคนล้วนทำการทบทวนกระดานหมากและผ่านการอนุมานมาก่อน ไม่ว่าจุดเริ่มต้นจะมาจากจุดที่ไหน สุดท้ายแล้วล้วนหนีไม่พ้นกำแพงเมืองปราณกระบี่และแจกันสมบัติทวีป เกี่ยวกับเหล่าผู้กล้าทั้งหลายที่โดดเด่นขึ้นมาบนโลก แต่ละคนก็มีความคิดเห็นต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่นหวงเจวี้ยนที่นับถือคนหนุ่มต่างถิ่นผู้หนึ่งอย่างมาก ไม่เพียงแต่หยัดยืนอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างมั่นคง ยังรับหน้าที่เป็นอิ่นกวาน ไม่เพียงถ่วงระยะเวลากองทัพใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้นานหลายปี ประเด็นสำคัญคือยิ่งรบนานเท่าไร คนที่รอดชีวิตกลับมีมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายช่วยให้นครบินทะยานรักษาเมล็ดพันธ์บนวิถีกระบี่ไว้ได้มากกว่าเดิม
เพียงแค่พูดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้นางอดรู้สึกนับถืออิ่นกวานหนุ่มที่ไม่เคยพบหน้าผู้นั้นมากขึ้นอีกหลายส่วนไม่ได้
เพราะว่าใต้หล้าไพศาลมีคนเพิ่มมาหนึ่งถึงสองหมื่นคน กับนครบินทะยานที่อยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้ามีคนเพิ่มมาหนึ่งถึงสองหมื่นคน คือความหมายสองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นั้นถามอย่างใคร่รู้ “ปีนั้นที่คัดเลือกคนรุ่นเยาว์สิบคนของหลายใต้หล้า เวลานั้นอิ่นกวานหนุ่มก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาแล้วหรือ?”
“ช่วยไม่ได้ ข้าเคยชี้แนะวิชาหมัดให้เจ้าเด็กนั่นมาก่อน อาจารย์ผู้มีชื่อเสียงย่อมมีลูกศิษย์มากฝีมือ”
อาเหลียงประกบสองนิ้วชี้ไปที่ตาสองข้างของตัวเอง “นี่เรียกว่าดวงตาเฉียบคมเหมือนคบเพลิง!”
หลี่ไหวกระแอมหนึ่งที
อาเหลียงรีบเก็บความคิด ถามว่า “เฉินผิงอันยังมาไม่ถึงหรือ?”
หลี่เย่โหวส่ายหน้า “ตามคำกล่าวของทางศาลบุ๋น ระหว่างทางที่เฉินผิงอันเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปได้ผลัดหลงเข้าไปในเรือราตรี หนิงเหยาพกกระบี่บินทะยานมายังใต้หล้าไพศาล อาศัยการชักนำระหว่างกระบี่เซียนถึงได้ตามหาเรือข้ามฟากลำนั้นเจอ เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวของนางกับเฉินผิงอันส่งมาอีก”
อาเหลียงยกนิ้วโป้งมาปาดเช็ดมุมปาก หุบรอยยิ้ม สายตามืดลึก “แบบนี้น่าจะยุ่งยากเล็กน้อยแล้ว ง่ายที่จะพลาดงานประชุมไปนะ”
หลี่ไหวรู้สึกเป็นกังวล คงไม่ใช่ว่าอุตส่าห์เร่งเดินทางอย่างยากลำบากมา ผลกลับกลายเป็นว่าสุดท้ายแล้วก็ยังไม่ได้พบหน้าเฉินผิงอันสักครั้งหรอกกระมัง?
หลี่ไหวเอ่ยเสียงเบา “อาเหลียง ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ?”
อาเหลียงส่ายหน้า “หาเจอยากเกินไป ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ไม่มีอะไร”
เรือข้ามฟากลำนั้นเชี่ยวชาญด้านการอำพรางร่องรอย ยากจะหาได้พบ
อาจารย์ผู้เฒ่าฝูเคยขึ้นเรือราตรีสองครั้ง คำวิจารณ์ที่เขามีต่อเรือข้ามฟากลำนี้มีทั้งดีและไม่ดี อาจารย์ผู้เฒ่ายังยกตัวอย่างแบบเห็นภาพอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับใต้หล้าไพศาลแล้ว เรือข้ามฟากล่องลอยไม่หยุดนิ่งอยู่บนทะเลก็คล้ายในบ้านหลังหนึ่งของคนธรรมดามียุงอยู่ตัวหนึ่ง ขอแค่มันไม่เป็นฝ่ายส่งเสียงหวึ่งๆๆ ด้วยตัวเอง ก็ยากที่จะตามหาได้พบ
มีคนถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า หรือว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่งก็ยังไม่อาจหาร่องรอยของเรือข้ามฟากลำนั้นได้พบ?
อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะดังลั่น เอ่ยประโยคหนึ่งว่า เดิมทีข้าก็พูดถึงว่าพวกเขาสองคนมองเรือข้ามฟากลำนั้นอย่างไรอยู่แล้ว ส่วนคนธรรมดานั้นต้องอาศัยโชคถึงจะได้ขึ้นเรือ และต้องอาศัยความรู้ถึงจะลงจากเรือมาได้
มีคนโชคดีได้ขึ้นเรือทั้งยังได้ลงจากเรือ หลังจบเรื่องก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า พอถึงเวลาที่ต้องใช้ความรู้จริงๆ ก็ได้แต่เจ็บใจที่ตัวเองความรู้น้อยเกินไป ไม่อย่างนั้นหากรู้ตั้งแต่แรกว่ามีเรือเช่นนี้อยู่ ข้าผู้อาวุโสก็คงจะอ่านตำราของเมธีร้อยสำนักจนปรุไปหมดแล้ว
บนเรือข้ามฟากพิถีพิถันในเรื่องการแลกเปลี่ยนโชควาสนา ของทุกชิ้นล้วนเป็นสะพานหนึ่งแห่ง เป็นท่าเรือหนึ่งแห่ง เอกสารผ่านด่านก็คือความรู้ของแขกที่ผ่านทางมา เทียบเท่ากับว่าในมือกำเงินค่าเดินทางไว้ก้อนหนึ่ง ดังนั้นถึงได้บอกว่าเรือราตรีลำนี้ก็คล้ายการแสดงออกของมหามรรคาแห่งความรู้ในใต้หล้า และสถานที่ที่ความรู้มีค่ามากที่สุดในใต้หล้านี้ก็คือบนเรือข้ามฟากลำนี้นี่เอง
หวงเจวี้ยนยิ้มพลางพูดเจื้อยแจ้วถึงสตรีแต่ละคน “ฮูหยินภูเขาชิงเสิน เซียนเหรินชงเชี่ยน เทพีบุปผาเจ้าแห่งชะตาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาท่านหนึ่ง…”
อาเหลียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หากหัวใจสองดวงมีรักให้กันตลอดเวลา ไหนเลยจะต้องอยู่ร่วมเรียงเคียงข้างกันทุกวัน
หลี่ไหวเอ่ยอย่างตกตะลึง “อาเหลียง เจ้าจีบสตรีมากมายขนาดนี้เชียวหรือ? เจ้าคิดว่าจับปลาหรือไง ถึงต้องหว่านแหออกไปน่ะ”
อาเหลียงยกสองมือขึ้นปาดจากล่างขึ้นบน ลูบเส้นผมหร็อมแหร็มของตัวเอง “ใครจีบใครยังไม่แน่เลยนะ”
หลี่เย่โหวยิ้มกล่าว “นอกจากท่าเรือทางฝั่งตะวันออกที่คนค่อนข้างน้อย อีกสามสถานที่อย่างอำเภอพ่านสุ่ย เกาะยวนยาง ภูเขาอ๋าวโถว อีกเดี๋ยวก็จะต้องมีงานชุมนุมสามครั้งถูกจัดขึ้น คนสามคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีก็ได้แก่สกุลหลิวธวัลทวีป อวี้พ่านสุ่ย เทพีบุปผาแห่งพื้นที่มงคลร้อยบุปผา อวี้พ่านสุ่ยหลักๆ แล้วดึงเอาฮูหยินภูเขาชิงเสินมาด้วย และยังมีหลิ่วชี เฉาจู่ที่เดินทางมาร่วมกับฮูหยินท่านนั้น ดังนั้นพลังอำนาจนี้จึงไม่น้อยเลยจริงๆ”
หลี่เย่โหวพูดถึงทิศทางการแจกบัตรเชิญของทั้งสามฝ่ายคร่าวๆ หลิวจวี้เป่าจะจัดงานชุมนุมบนเกาะยวนยาง เชื้อเชิญกลุ่มคนของสำนักกระบี่หลงเซี่ยง และยังมีฮว่อหลงเจินเหรินแห่งอุตรกุรุทวีป เซียนกระบี่ป๋ายฉาง ฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าหยวน ราชครูหยางชิงข่ง หลิวทุ่ยแห่งฝูเหยาทวีป ชงเชี่ยน ฉินจ่าวแห่งหลิวเสียทวีป
เนื่องจากสาเหตุเพราะฮูหยินภูเขาชิงเสิน อวี้พ่านสุ่ยจึงจะเชื้อเชิญฝูลู่อวี๋เสวียน ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อแห่งจวนเทียนซือกลุ่มใหญ่ที่มีจ้าวเทียนไล่เทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์เป็นผู้นำ และยังมีจิ้งจอกฟ้าหนึ่งตัว รวมไปถึงฮ่วนซาฮูหยินที่ใช้นามแฝงว่าจิ่วเหนียง ยังมีเผยเปย เฉาสือแห่งราชวงศ์ต้าตวนและสกุลเจียงอวิ๋นหลินแห่งแจกันสมบัติทวีป
งานชุมนุมที่พื้นที่มงคลร้อยบุปผาเป็นเจ้าภาพ นอกจากชิงจงฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่แล้ว ยังเชิญซูจื่อ เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว ไหวอิน เหวยอิ๋งเจ้าสำนักกุยหยก อู๋ซูอริยะบู๊แห่งใบถงทวีป
แน่นอนว่าในงานเลี้ยงย่อมไม่ขาดสุราดี เพียงแต่เชื่อว่าทุกคนที่ไปร่วมงานต้องไม่มีทางไปเพียงแค่เพื่อเหล้าหมักตระกูลเซียนอย่างแน่นอน ต่อให้บนโต๊ะเหล้าจะต้องมีเหล้าภูเขาชิงเสิน เหล้าหมักร้อยบุปผา เหล้าหานซูก็ตาม
แต่ว่าเจ้าคนบางคนที่ถูกอาเหลียงเรียกขานอย่างให้เกียรติว่า ‘สุนัขรับใช้ใหญ่เหยียน’ คาดว่าน่าจะเป็นข้อยกเว้น
“มีงานเลี้ยงสุราเยอะขนาดนี้เชียวหรือ?! เพียงแค่เพื่อต้อนรับข้าน่ะนะ?”
อาเหลียงกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันใด พูดด้วยสีหน้ากระปรี้กระเปร่าว่า “ได้สิๆ ซาบซึ้งๆ คิดไม่ถึงว่าไม่ได้กลับบ้านเกิดแค่ไม่กี่ปี เหล่าพ่อแม่พี่น้อง พี่สาวน้องสาวทั้งหลายจะยิ่งให้ความสำคัญกับข้าอาเหลียงมากกว่าเดิมแล้ว! น่าเสียดายที่อาเหลียงมีแค่คนเดียว อย่าได้แย่งชิงกันจนหัวร้างข้างแตกเสียล่ะ งานเลี้ยงสุราสามงาน ทางที่ดีที่สุดควรแยกกันจัดคนละเวลา พี่เย่โหว เจ้ารีบไปบอกพวกเขาเร็วเข้า บอกว่าข้าจะรีบเดินทางไปเดี๋ยวนี้…”
หลี่เย่โหวไม่สนใจแม้แต่น้อย พูดเพียงว่า “ทุกวันนี้มีคนไม่น้อยรู้สึกว่าทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทุ่งกว้างใหญ่มังกรจำศีล กวางใต้หล้าตัวอ้วนพี”
อาเหลียงลุกขึ้นยืน เดินอ้อมพิณโบราณและกองหนังสือมา มือหนึ่งหิ้วกาเหล้า อีกมือหนึ่งตบราวรั้ว มองไปทางผิวน้ำทะเลสาบที่ราบเรียบไร้คลื่นลม “แต่ละคนล้วนป่ายปีนรุ้งหมายจะพุ่งขึ้นฟ้าอย่างบ้าคลั่ง จะมีเรื่องดีที่ง่ายดายเช่นนี้เสียที่ไหน”
อาเหลียงดื่มเหล้าในกาหมดแล้วก็ยื่นส่งให้หูจวินที่ยืนอยู่ด้านข้าง หลี่เย่โหวรับกาเหล้ามา อาเหลียงถือโอกาสฉวยพัดใบลานในมือเขามากระพือลมแรงๆ “ดีนักล่ะ แต่ละคนพยายามหลบร้อนกันแทบตาย ยินดีจะช่วยก็ไปช่วยเถอะ ถึงอย่างไรพี่อาเหลียงก็ไม่อยากก่อลมก่อมรสุม ในหัวอกไร้น้ำแข็งไร้ถ่านร้อน ไร้ภาระก็ตัวเบาหวิว เย็นฉ่ำสบายตัวยิ่งนัก”
อาเหลียงตบราวรั้วหนึ่งที “ไปแล้วๆ!”
หวงเจวี้ยนมองเจ้าคนที่ไม่รู้ว่าหน้าหนาเท่าสิ่งใด แล้วก็จริงดังคาด ไม่ทำให้คนประหลาดใจแม้แต่น้อย เห็นเพียงว่าเขาเอื้อมมือไปด้านหลัง เอาพัดใบลานแนบติดแผ่นหลัง จากนั้นขยับเท้าออกห่างไปอย่างต่อเนื่อง แต่หันหน้าเข้าหาเจ้านายของตนตลอดเวลา ซ่อนพัดใบลานเอาไว้ พอเดินอ้อมไปได้ครึ่งวงก็เอ่ยอำลา แล้วชักเท้าวิ่งตะบึงเผ่นหนีไปทันที
นางจึงเตรียมจะยกกระบี่ตามไปไล่ฆ่า หลี่เย่โหวกลับโบกมือ “จะถือสากับคนหัวโล้นครึ่งตัวทำไม”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำรู้สึกกังขาเล็กน้อย “ทำไมพอไม่มีผมแล้ว คราวนี้ถึงได้ดูเหมือนว่าอาเหลียงสูงกว่าเดิม?”
หลี่เย่โหวเอ่ยเตือน “รองเท้า”
ซาชิงทำหน้ากระจ่างแจ้งในฉับพลัน ก้มลงมองรองเท้าของตัวเองเงียบๆ
สตรีสวมชุดสีสันสดใสเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “สรุปแล้วเจ้าหมอนี่มียางอายบ้างหรือไม่?!”
ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยรีบเงยหน้าขึ้นพูดคล้อยตามด้วยสีหน้าจริงจังทันใด “หน้าไม่อายจริงๆ”
บนเส้นทาง อาเหลียงกำลังจะหยิบยันต์ม้าเดินออกมาก็ถูกหลี่ไหวยื่นมือมารัดคอ
อาเหลียงตบแขนหลี่ไหว เอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “น้องหลี่ไหว เจ้าทำอะไรน่ะ?!”
หลี่ไหวออกแรงเพิ่ม หัวเราะหึหึ “มีหน้ามีตาแล้ว วันนี้นายท่านใหญ่อย่างข้าถือว่ามีหน้ามีตาแล้ว พอไปถึงอำเภอพ่านสุ่ย พวกเราสองคนแยกกันไปทางใครทางมัน เจ้าห้ามบอกใครว่ารู้จักข้าเด็ดขาด”
อาเหลียงได้แต่เขย่งปลายเท้า ยืดคอยาว ตบอกพูดรับรอง “ไม่มีปัญหา หากเจอใครข้าก็จะบอกว่าตัวเองไม่รู้จักหลี่ไหว”
หลี่ไหวหัวเราะอย่างฉุนๆ ทิ้งตัวไปด้านหลัง สองเท้าของอาเหลียงก็แทบจะลอยพ้นพื้นมาด้วย
คาดว่าหากอวี้พ่านสุ่ยมาเห็นภาพนี้เข้า น้ำตาคงไหลอาบใบหน้าแก่ๆ เป็นแน่
นักพรตเนิ่นผู้นั้นรู้สึกเลื่อมใสในตัวหลี่ไหวจากใจจริง คุณชายบ้านตนร้ายกาจยิ่งนัก คือมังกรคือหงส์ในกลุ่มคนโดยแท้!
ตอนแรกก็ถีบเฒ่าตาบอด แล้วยังมาบีบคออาเหลียง ประเด็นสำคัญคือสองคนนี้ล้วนไม่ตอบโต้เขาด้วย!
หลี่ไหวปล่อยมือออก ถามคำถามหนึ่ง “มีคนมากมายขนาดนั้นมาเข้าร่วมประชุมจริงๆ หรือ?”
อาเหลียงลังเลเล็กน้อย ก่อนใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อันที่จริงมีการประชุมสองครั้ง ครั้งหนึ่งคนเยอะ ครั้งหนึ่งคนน้อย น้อยมากๆ”
……
อีกสองวันศาลบุ๋นก็จะเริ่มงานประชุมแล้ว
สวนกงเต๋อ
ซิ่วไฉเฒ่านั่งอยู่บนม้านั่งหิน กำลังบ่นพึมพำปากขมุบขมิบ ทางฝั่งศาลบุ๋นนี้ดีแต่รู้จักกินข้าวกันหรืออย่างไร เรือราตรีแค่ลำเดียวก็ถึงกับหาไม่เจอ
แต่ว่าลองนับนิ้วคำนวณดู จั่วโย่วกับจวินเชี่ยนก็น่าจะใกล้ถึงแล้ว
ด้วยความเบื่อหน่าย ซิ่วไฉเฒ่าจึงเล่นหมากล้อมกับตัวเอง
ตราผนึกพลันเปิดออก ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้าไปมอง เงาร่างของคนสองคนที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดพลันปรากฏตัว
ลูกศิษย์ของหลิวสือลิ่วอย่างภูตน้อยตนนั้นถูกพาไปอยู่ที่อื่นก่อนชั่วคราว เพราะถึงอย่างสวนกงเต๋อก็ไม่ใช่สถานที่ทั่วไป
จั่วโย่วและจวินเชี่ยนประสานมือคารวะพร้อมกัน “คารวะท่านอาจารย์”
ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้เห็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่อยากพบมากที่สุดจึงหันหน้ากลับมาจ้องกระดานหมาก แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้ยิน
ครู่หนึ่งต่อมา ลูกศิษย์สองคนยังคงค้อมตัวคารวะไม่ยืดตัวขึ้นมา ซิ่วไฉเฒ่าจึงพลันคลี่ยิ้มกว้าง กวักมือแรงๆ เอ่ยเรียก “มัวยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นทำไม มาๆๆ มาเล่นหมากล้อมกับอาจารย์สักตา”
จวินเชี่ยนคิดว่าจะเดินไปอยู่ด้านหลังอาจารย์ แต่กลับถูกจั่วโย่วเรียกคำหนึ่งว่าศิษย์น้อง เขาจึงได้แต่นั่งลงบนม้านั่งหินตรงข้ามกับอาจารย์
คิดไม่ถึงว่าซิ่วไฉเฒ่าจะลุกขึ้นยืน ยกที่นั่งให้จั่วโย่ว บอกว่าพวกเจ้าสองพี่น้องไม่ได้พบกันบ่อยๆ พวกเจ้ามาเล่นกันสักตาเถอะ
ซิ่วไฉเฒ่าชี้แนะอย่างส่งเดชพลางเดินวนอ้อมโต๊ะไปช้าๆ ตบไหล่จั่วโย่ว แล้วก็ตบหัวจวินเชี่ยน
ผู้เฒ่าไม่ได้พูดอะไรมาก
หลังจากเล่นหมากล้อมจบไปหนึ่งกระดาน ซิ่วไฉเฒ่ามองกระดานหมาก เอาสองมือไพล่หลัง พึงพอใจอย่างยิ่ง ภายใต้การชี้แนะของตน ลูกศิษย์สองคนวางหมากออกมาเป็นสถานการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลยนะ
ทางฝั่งของศาลบุ๋น ตราผนึกหลายชั้นเปิดออกติดต่อกันอย่างที่หาได้ยาก จากนั้นก็มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งที่กลายร่างเป็นรุ้งยาวซึ่งถึงกับสามารถพุ่งตรงมาที่สวนกงเต๋อได้โดยตรง
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเงยหน้าขึ้น
คนผู้หนึ่งสวมชุดเขียว ปักปิ่นหยกไว้บนมวยผม สะพายกระบี่เดินทางไกลมาถึงที่แห่งนี้
มือกระบี่ชุดเขียวเฉินผิงอันประสานมือคารวะ “ลูกศิษย์เฉินผิงอัน คารวะท่านอาจารย์”
ซิ่วไฉเฒ่าก้าวเดินเร็วๆ ไปข้างหน้า สองมือกำแขนของลูกศิษย์คนสุดท้ายเอาไว้แน่น
จั่วโย่วกับจวินเชี่ยนต่างก็ลุกขึ้นยืนแล้ว
ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเบาว่า “ดีมาก ดีมาก”
การประชุมในศาลบุ๋นครั้งนี้ คนที่หลี่เซิ่งเชื้อเชิญด้วยตัวเอง อันที่จริงมีแค่สองคนเท่านั้น
คนหนึ่งมีอายุยาวนาน ฝึกตนมาได้สองหมื่นกว่าปีแล้ว คนผู้หนึ่งปัจจุบันเพิ่งจะมีอายุลวง (การนับอายุของคนจีนสมัยโบราณ นับตั้งแต่วันที่ถือกำเนิดอยู่ในครรภ์ เมื่อคลอดออกมาก็จะถือว่าอายุหนึ่งขวบทันที จึงเท่ากับว่าอายุลวงมากกว่าอายุจริงหนึ่งปี) สี่สิบสองปีเท่านั้น
ป๋ายเจ๋อ
สายเหวินเซิ่ง อิ่นกวานเฉินผิงอัน
——