ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้าไปบ่นเจ้าโง่สองคนนั้น “มัวยืนบื้ออยู่ทำไม ยังไม่รีบมาพบศิษย์น้องเล็กของพวกเจ้าอีก!”
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงจับแขนของลูกศิษย์คนสุดท้ายเอาไว้ ตัดใจปล่อยมือไม่ลง
จั่วโย่วกับหลิวสือลิ่วเดินเร็วๆ ไปหยุดอยู่ข้างกายอาจารย์
หลิวสือลิ่วยิ้มบางๆ พลางผงกศีรษะให้ศิษย์น้องเล็ก ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันเสียที
เฉินผิงอันรีบประสานมือคารวะทันใด “คารวะศิษย์พี่จวินเชี่ยน”
ศิษย์พี่ที่เพิ่งจะได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก ตอนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วได้ช่วยหาเงินเหรียญทองแดงแก่นทองมาให้ก้อนใหญ่
จั่วโย่วตีหน้าเคร่งพูดว่า “ความสามารถไม่น้อยเลยนี่”
เฉินผิงอันยืดตัวขึ้นแล้วก็เหลือบมองอาจารย์
ซิ่วไฉเฒ่ากระโดดตบป้าบเข้าที่หัวของจั่วโย่ว “เจ้าเป็นศิษย์พี่ พูดจาแบบนี้กับศิษย์น้องเล็กได้อย่างไร รู้จักพูดจาเหน็บแนมเสียแล้ว ใครเป็นคนสอนเจ้ากัน หา?!”
จั่วโย่วไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ลังเลอยู่ชั่วขณะก็เอ่ยว่า “ครึ่งหนึ่งเป็นคำพูดจากใจจริง”
ซิ่วไฉเฒ่าสังเกตเห็นว่าดูคล้ายลูกศิษย์คนสุดท้ายของตนจะยังน้อยเนื้อต่ำใจ จึงรีบหันไปโวยวายใส่จั่วโย่วทันที “อีกครึ่งหนึ่งล่ะ ถูกเจ้ากินไปแล้วหรือ แน่จริงก็คายออกมาสิ! พูดมาสิ อาจารย์จะต้องทวงความยุติธรรมให้แน่ จะไม่ลำเอียงเข้าข้างใครเด็ดขาด…”
จั่วโย่วจึงได้แต่ฝืนใจพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นความจริงทั้งหมด”
หลิวสือลิ่วยึดมั่นในหลักการข้อหนึ่ง มองไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า
จั่วโย่วและเฉินผิงอันศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนนี้ หากตีกันจริงๆ ตนค่อยเกลี้ยกล่อมก็ยังไม่สาย
ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าอันที่จริงสายของเหวินเซิ่ง ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย คนที่นิสัยดีที่สุด คือจั่วโย่ว
ดังนั้นคนที่โดนตีโดนด่ามากที่สุด จึงเป็นจั่วโย่วมาโดยตลอด
แน่นอนว่ายามที่ไม่อยู่กับอาจารย์ จั่วโย่วไม่มีทางโดนตีไม่เอาคืน โดนด่าไม่โต้กลับก็เท่านั้น
อยู่ในสำนักเดียวกัน ยังพอจะมีข้อดีอยู่บ้างเล็กน้อย ขอแค่มาจากสายเหวินเซิ่ง จั่วโย่วที่หลังจากฝึกกระบี่ก็คือจั่วโย่วอีกคนหนึ่งโดยสิ้นเชิง ไม่เคยเสียเปรียบมาก่อน
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดในสำนักของฝูลู่อวี๋เสวียน ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อในจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหานเชี่ยวเซ่อแห่งนครจักรพรรดิขาว ต่างก็มีตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่โชคไม่ดีกันทั้งสิ้น
เฉินผิงอันประสานมือคารวะ “คารวะศิษย์พี่จั่ว”
จั่วโย่วขมวดคิ้วน้อยๆ เพียงแต่เห็นแก่หน้าของอาจารย์ จึงไม่ถือสาเฉินผิงอัน
อาจารย์และลูกศิษย์ คนทั้งสี่นั่งลง
เฉินผิงอันมองสถานการณ์หมากบนกระดาน “อาจารย์ต้องชี้แนะศิษย์พี่ทั้งสองมาก่อนแน่นอน”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะปากกว้างจนหุบไม่ลง ดูสินี่ อะไรที่เรียกว่าเห็นเพียงเล็กน้อยก็อนุมานไปได้กว้างไกล อะไรคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจ ก็คือแบบนี้นั่นเอง!
จั่วโย่วไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน
อยู่ดีๆ หลิวสือลิ่วก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าต้นกำเนิดขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วมาจากที่ใด
ประหลาดยิ่งนัก หากว่ากันตามจริงอาจารย์ก็ไม่ค่อยได้ถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์น้องเล็กกับตัวเองสักเท่าไร ช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายได้อยู่ร่วมกันนั้นสั้นมาก เหตุใดศิษย์น้องเล็กถึงเป็นครามที่เกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าต้นครามได้นะ?
เวลานี้ดูเหมือนว่าในสายตาของซิ่วไฉเฒ่าจะมีเพียงเฉินผิงอันคนเดียวเท่านั้น “อาจารย์อยู่ที่นี่ได้แต่คาดเดาอย่างร้อนรนไปวันๆ ปลีกตัวไปไม่ได้ ไม่อาจไปหาเจ้าได้จริงๆ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะอีกครั้ง
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ ลุกขึ้นยืน ตบแขนของเฉินผิงอันเบาๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “อย่าทำแบบนี้ ไม่อย่างนั้นอาจารย์จะรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิมแล้ว นั่งลงคุยกัน เร็วเข้า”
หลิวสือลิ่วเหลือบมองจั่วโย่ว สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อยจริงดังคาด
หลิวสือลิ่วขยับเส้นสายตามองไปทางคนหนุ่มที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ เห็นอีกฝ่ายนั่งอกตั้งหลังตรงอย่างสำรวม สองมือกำเป็นหมัดแน่น วางหมัดไว้บนหัวเข่า
ดวงตาคู่นั้นที่ทำให้คนจดจำได้อย่างลึกซึ้งใสกระจ่างเจิดจ้า คล้ายกับน้ำในลำธารบนภูเขาลั่วพั่วที่ไหลริน ไม่มีที่ใดที่จะไปไม่ถึง
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “จั่วโย่ว จวินเชี่ยน ไหนลองเล่าเรื่องของพวกเจ้าสิ อย่ารอให้ศิษย์น้องเล็กต้องถามพวกเจ้า”
หลิวสือลิ่วเล่าสภาพการณ์ที่พบเจอหลังหวนกลับมายังใต้หล้าไพศาลให้ฟังคร่าวๆ บอกว่าเขาไปที่ภูเขาลั่วพั่ว ถามหมัดต่อฟ้า หลังจากนั้นก็ลงใต้ไปยังนครมังกรเฒ่า แล้วจึงไปใบถงทวีป รับลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งจากพื้นที่มงคล สุดท้ายจึงไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างมารอบหนึ่ง ไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ได้เจอกับศิษย์พี่จั่วโย่วพอดี เลยมาที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางด้วยกัน
เวลาประมาณครึ่งก้านธูป เฉินผิงอันเงี่ยหูตั้งใจฟัง ระหว่างนั้นก็ถามสองเรื่องอย่างละเอียด หอสยบปีศาจของใบถงทวีป รวมไปถึงลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของศิษย์พี่จวินเชี่ยน
พอมาถึงจั่วโย่ว เขากลับไม่พูดอะไรมาก เอ่ยแค่ประโยคเดียวว่า “หลังออกไปจากใต้หล้าไพศาล ก็ไปเข่นฆ่ากับคนอื่นอยู่ที่ฟ้านอกฟ้า แต่ก็ยังไม่ตาย”
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ทุกวันนี้เซียวสวิ้นอยู่ที่ไหน?”
จั่วโย่วกล่าว “ถูกฟันไปยังใต้หล้ามืดสลัวแล้ว”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้
เซียวสวิ้นอดีตอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้นคือขอบเขตสิบสี่ แล้วยังเป็นผู้ฝึกกระบี่
ต่อให้เป็นขอบเขตสิบสี่ของเซียวสวิ้นที่ไม่ได้ผสานมรรคากับคนสามัคคีอย่างที่ผู้ฝึกกระบี่แสวงหา นั่นก็ยังเป็นขอบเขตสิบสี่ของแท้แน่นอน
และความร้ายกาจของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ เฉินผิงอันก็เพิ่งจะได้สัมผัสมาจากเรือราตรีลำนั้น
เมื่อออกมาจากปากของศิษย์พี่จั่วโย่ว การจับคู่เข่นฆ่ากับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง ก็ดูเหมือนจะเป็นแค่เรื่องของการแลกกระบี่กัน ต่างคนต่างฟัน ฟันจนใครสักคนตายก็เท่านั้น…
เฉินผิงอันรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา เพราะจำขั้นตอนการฝึกกระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ในปีนั้นขึ้นมาได้
จั่วโย่วเอ่ย “เฉาฉิงหล่างตั้งใจศึกษาหาวิชาความรู้ ความคิดจิตใจใสสะอาด เผยเฉียนตั้งใจฝึกวรยุทธ ไม่สิ้นเปลืองพรสวรรค์อย่างเสียเปล่า ทั้งสองคนต่างก็เคารพครูบาอาจารย์อย่างมาก ลูกศิษย์สองคนที่เจ้ารับมาต่างก็ไม่เลว”
ความนัยในคำพูดก็คือ อาจารย์ของนักเรียน อาจารย์พ่อของลูกศิษย์ กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะ ‘ไม่เลว’?
เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมาหลายกา ยื่นส่งให้กับอาจารย์และพวกศิษย์พี่คนละกา
ซิ่วไฉเฒ่าแกะผนึกดินออก สองมือจับประคองกาเหล้า แหงนหน้ากระดกดื่มคำเล็กๆ ยิ้มตาหยี พยักหน้าเบาๆ เพียงแค่จิบเหล้าคำเล็กๆ ผู้เฒ่าก็เมามายเคลิบเคลิ้มแล้ว
อายุน้อยชอบศึกษาเล่าเรียน สดใสเหมือนพระอาทิตย์ที่เพิ่งลอยขึ้นมา วัยหนุ่มชอบศึกษาเล่าเรียน เหมือนตะวันแรงกล้ายามเที่ยงวัน วิญญูชนเล่าเรียนเหมือนจักจั่นลอกคราบที่จะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว
วัยแก่ชอบเล่าเรียน สว่างไสวเหมือนแสงเทียน วิญญูชนไม่กังวลถึงร่างกายที่เสื่อมถอย แต่วิญญูชนเป็นกังวลเพราะปณิธานที่ถดถอย
ลูกศิษย์สามคนที่อยู่ตรงหน้าต่างก็ทำให้อาจารย์รู้สึกเพียงว่าความรู้ของตัวเองตื้นเขิน ไม่มีอะไรจะสอนได้แล้ว
ถึงขั้นที่ว่าแต่ละคนล้วนดีเกินไป แม้แต่อาจารย์จะกำชับให้พวกเขาดูแลตัวเองให้ดีก็ยังเกินความจำเป็นอย่างเห็นได้ชัด
สายบุ๋นสายหนึ่งขณะที่กำลังจะเสื่อมถอย คนที่ถูกวัฒนธรรมนี้หล่อหลอม ต้องเจ็บปวดอย่างมากแน่นอน
เวทกระบี่ของจั่วโย่วนั้นสูง ความสามารถก็สูง แต่กลับมีขีดจำกัดอยู่ที่นิสัยใจคอของตัวเอง
อันที่จริงความรู้ของจวินเชี่ยนก็ไม่เลว นิสัยก็ดี เหมาะแก่การถ่ายทอดความรู้ไขข้อข้องใจ แต่ถึงอย่างไรก็ถูกจำกัดด้วยสถานะของคนต่างเผ่า
ถึงท้ายที่สุด ภาระบางอย่างจึงหล่นลงบนบ่าของเฉินผิงอันที่อายุน้อยที่สุด
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ครั้งก่อนหลังจากที่อาจารย์จากไป ศิษย์พี่จั่วไม่เคยพาสหายไปอุดหนุนกิจการที่ร้านเหล้าเลย”
ไหแตกแล้วก็ขว้างให้แหลกเสียเลย มีอาจารย์อยู่ ใครต้องกลัวใครกันแน่
จั่วโย่วหน้าดำทะมึน
หลิวสือลิ่วยกนิ้วโป้งให้ศิษย์น้องเล็ก
ซิ่วไฉเฒ่าพูดขึ้นว่า “จั่วโย่วอ่า”
จั่วโย่วรีบพูดทันใด “ศิษย์ลืมไป”
ซิ่วไฉเฒ่าถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าลืมด้วยหรือไม่ว่าตัวเองยังมีศิษย์น้องเล็กอยู่อีกคนน่ะ?”
จั่วโย่วเงียบงันไม่พูดจา
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “หากอาจารย์จำไม่ผิดล่ะก็ ตอนที่ศิษย์น้องเล็กของเจ้าอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ มีแค่ศิษย์พี่เช่นเจ้าเท่านั้นที่สามารถพึ่งพาได้ ต่างก็พูดกันว่าเป็นศิษย์พี่คนหนึ่งเท่ากับเป็นผู้อาวุโสครึ่งตัว ดูท่าคำพูดของอาจารย์จะไม่ได้ผลเสียแล้ว”
จั่วโย่วจึงได้แต่เอ่ยว่า “เคยสอนเวทกระบี่ให้ศิษย์น้องเล็กแล้ว เรื่องของการศึกษาหาความรู้ ข้าเองก็เคยถามถึง”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนจะได้รับความอยุติธรรมมากเลยนะ”
จั่วโย่วส่ายหน้า “ไม่เลย เป็นศิษย์พี่ นี่เป็นหน้าที่อยู่แล้ว”
จั่วโย่วที่ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยชอบดื่มเหล้าถึงกับเริ่มดื่มเหล้า
เฉินผิงอันเอ่ย “อาจารย์ ได้ยินมาว่าที่ใบถงทวีปมีแม่นางคนหนึ่งชื่ออวี๋ซิน ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมกับศิษย์พี่ แม่นางคนนี้มีความรับผิดชอบอย่างมาก ปีนั้นยอมเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวง แต่ก็ต้องส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังศาลบรรพจารย์ของสำนักกุยหยกให้จงได้”
ซิ่วไฉเฒ่าค่อยๆ คลี่ยิ้ม “รู้แล้ว รู้แล้ว อาจารย์เคยเจอกับนาง เป็นแม่นางที่ดีคนหนึ่ง ดีจริงๆ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นสตรีที่จิตใจดีงาม ศิษย์พี่จั่วที่เป็นตอไม้ทึ่มทื่อของเจ้า ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะคู่ควรกับนางหรอกนะ”
จั่วโย่วกล่าว “ไม่คู่ควรสิดี”
ในเมื่อไม่กล้าเถียงอาจารย์ก็ได้แต่ถอยมาเลือกอันดับรองแทน
เฉินผิงอันกำลังจะเปิดปากพูด จั่วโย่วกลับเหล่ตามองมาก่อนแล้ว
เฉินผิงอันจึงได้แต่หุบปาก ไม่ปักบุปผาลงบนผ้าแพรแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าหิ้วกาเหล้าไว้ ลุกขึ้นยืนช้าๆ ยิ้มเอ่ย “อาจารย์มีธุระเล็กน้อยต้องไปทำก่อน พวกเจ้าสามคนคุยกันไปเถอะ”
ตอนที่พวกลูกศิษย์ยังไม่มา ผู้เฒ่าก็จะบ่นว่าทำไมศาลบุ๋นต้องรีบร้อนจัดงานประชุมขนาดนั้น ยืดเวลาไปอีกสักสองสามวันจะเป็นไรไป รอกระทั่งลูกศิษย์สามคนต่างก็มาถึงสวนกงเต๋อแล้ว ผู้เฒ่าก็เริ่มบ่นอีกว่าเรื่องใหญ่อย่างการประชุมนี้จะรีบร้อนไปไย ใช้เวลาเตรียมการอีกสักหลายๆ วันย่อมต้องดีกว่า
ส่วนซิ่วไฉเฒ่าจะไปทำธุระอะไร แน่นอนว่าจะต้องไปพูดคุยเรื่องความในใจกับพวกสหายเก่าแก่ทั้งหลายน่ะสิ
พูดคุยว่าคุณสมบัติด้านการฝึกกระบี่ของลูกศิษย์จั่วโย่วธรรมดา นี่อยู่นอกฟ้าก็ยังไม่อาจสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่คนนั้นได้ไม่ใช่หรือ? เจ้าโง่ใหญ่ออกหมัดไปบนม่านฟ้าของแจกันสมบัติทวีป แค่ฝนโปรยๆ ไม่มีอะไรให้พูดมาก แน่นอนว่าจะต้องถามตาแก่พวกนั้นด้วยว่า พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ใครมาเยือนสวนกงเต๋อ ยังคลายตราผนึกเยอะกว่าฝูลู่อวี๋เสวียนที่หวนกลับมาศาลบุ๋นหนึ่งชั้นด้วยนะ? ถือโอกาสถามด้วยว่าปีนี้ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคือปีอะไร จากนั้นลองเอามาคิดเป็นชื่อปีของต้าหลีแจกันสมบัติทวีป ถึงจะรู้ว่าวันนี้ลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าอายุเท่าไรแล้ว…
คนทั้งสามลุกขึ้นยืนตามผู้เฒ่า
จั่วโย่วเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์”
ซิ่วไฉเฒ่าถามอย่างกังขา “มีอะไรหรือ?”
จั่วโย่วไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่รู้สึกละอายใจและเสียใจเท่านั้น
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยเขย่งปลายเท้าจัดคอเสื้อให้กับลูกศิษย์คนนี้ เอ่ยปลอบใจว่า “อาจารย์ก็เป็นแค่อาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่ง ไม่ใช่คนที่เอะอะก็จะร้องให้ตีร้องให้ฆ่าแกงกันสักหน่อย ขอบเขตตบะ ความสามารถในการต่อสู้อะไรนั่นก็เรียกว่าเป็นเรื่องเป็นราวได้ด้วยหรือ? ไม่ผ่านการทดสอบด้วยความยากลำบากก็ยากจะรู้ได้ว่าคนผู้หนึ่งใช่วิญญูชนที่แท้จริงหรือไม่”
จั่วโย่วพยักหน้า
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเอ่ยเรียก “จวินเชี่ยนอ่า”
หลิวสือลิ่วรีบเอ่ยอย่างนอบน้อมทันที “ศิษย์อยู่นี่ขอรับ”
ซิ่วไฉเฒ่ามองเจ้าโง่ใหญ่ผู้นี้แล้วส่ายหน้า ทอดถอนใจไม่หยุด
หลิวสือลิ่วสงสัย “อาจารย์?”
ซิ่วไฉเฒ่าชี้ไปที่จั่วโย่วและเฉินผิงอัน พูดด้วยน้ำเสียงรวดร้าวปานจะขาดใจ “จวินเชี่ยนอ่า เจ้าลองดูเจ้าสิ ไม่ต้องพูดถึงศิษย์น้องเล็กของเจ้าแล้ว ต่อให้เป็นจั่วโย่ว ก็ยังมีสตรีหลายคนชื่นชอบเขา เพียงแต่ว่าเขาไม่ชอบคนอื่นก็เท่านั้น แล้วเจ้าล่ะ หา? มันเรื่องอะไรกัน ละอายใจหรือไม่ ลำบากใจบ้างหรือไม่?”
หลิวสือลิ่วเกาหัว
จั่วโย่วหัวเราะร่า เอ่ยว่า “หากจะพูดถึงวาสนากับสตรี เมื่อเทียบกับศิษย์น้อง ข้าด้อยกว่าเยอะเลย ปีนั้นตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีสตรีหลายคนตั้งใจไปร้านเหล้าของเขา หากเรื่องแบบนี้ก็แบ่งขอบเขตด้วยล่ะก็ ข้ากับจวินเชี่ยนก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่คุณสมบัติแย่มาก ศิษย์น้องเล็กเป็นขอบเขตบินทะยานไปตั้งนานแล้ว ขาดก็แค่ไม่ได้ผสานมรรคากับขอบเขตสิบสี่เท่านั้นกระมัง”
หลิวสือลิ่วเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้งในฉับพลัน “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าเล่า มิน่าเล่า”
เฉินผิงอันยังคงยิ้มบางๆ อยู่เหมือนเดิม
“พวกเจ้าสองคนจะไปเข้าใจกับผายลมอะไร”
ซิ่วไฉเฒ่าตบชายแขนเสื้อของลูกศิษย์คนสุดท้าย พูดด้วยใบหน้าชื่นชม “ยืนหยัดได้มั่นคงท่ามกลางมวลบุปผาวุ่นวาย นั่นต่างหากถึงจะเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้กล้าที่แท้จริง”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ไม่ได้เกินจริงอย่างที่อาจารย์พูดเสียหน่อย”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ใช่สิ ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ!”
เฉินผิงอันพูดยืนกราน “ไม่ใช่จริงๆ”
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม “ดีๆๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่”
หลิวสือลิ่วมองศิษย์น้องเล็กแวบหนึ่ง
มักมีความรู้สึกเหมือนภาพลวงตาว่าบนร่างของคนคนหนึ่งมีลักษณะของคนสองคนอยู่
จั่วโย่วและหลิวสือลิ่วสองคนที่เป็นศิษย์พี่รู้ใจกัน จึงหันมาสบตากันแล้วต่างฝ่ายก็ต่างพยักหน้าเบาๆ
ศิษย์น้องเล็กคนนี้ ในเมื่อสามารถทำให้อาจารย์พอใจได้ถึงเพียงนั้น ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าจะฝึกหมัดหรือฝึกกระบี่ก็ล้วนไม่อาจเกียจคร้านได้แล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าเดินอาดๆ จากไป ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดราวกับบิน
เทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซาน ไปคุยกับเจ้าโง่ใหญ่นั่นดีกว่า จะต้องคุยกันให้ดีๆ เลยล่ะ
จวี้จื่อรุ่นที่สี่ของสำนักโม่ ดูเหมือนว่าจะมาถึงแล้วเหมือนกัน
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งที่ไม่มียศ รวมไปถึงตาเฒ่าฝูที่ไม่มีตำแหน่งฐานะ พวกเจ้าสองคนจะมัวยุ่งวุ่นวายอยู่กับอะไรส่งเดช พวกเราต้องพูดคุยกันให้ดีๆ สักหน่อย
อวี๋เสวียน
ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกว่าก็ควรจะไปเยี่ยมเยียนสักรอบ จะเสียมารยาทไม่ได้
ถึงอย่างไรตนก็เป็นพี่ใหญ่ของสวนกงเต๋อแห่งนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะแสดงมิตรภาพของเจ้าบ้านเสียหน่อย
ส่วนจะพูดคุยกันอย่างไร ร่างคำพูดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว กับเจ้าโง่ใหญ่ของภูเขาสุ้ยซานจะคุยเรื่องของเด็กหนุ่มที่ปีนั้นส่งกระบี่ผ่าพันธนาการของภูเขาสุ้ยซานอย่างง่ายดาย เรื่องนี้เจ้าก็เห็นกับตาไม่ใช่หรือ?
โต้เรื่องความรู้ของสายสำนักโม่ ยอดเยี่ยมมาก แต่น่าเสียดายที่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าคนนั้นเป็นลูกศิษย์ปิดประตูของสายเหวินเซิ่งพวกเราแล้ว ไม่อย่างนั้นคิดจะเป็นจวี้จื่อรุ่นที่ห้าของสำนักโม่พวกเจ้า ไม่กล้าพูดประโยคว่ามากพอเหลือแหล่ แต่หากพูดว่าพอจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูไถ กลับไม่เกินไปแม้แต่น้อย แน่นอนว่าหากสามารถควบตำแหน่งจวี้จื่อไปพร้อมๆ กันด้วย ข้าซิ่วไฉเฒ่าใจกว้างถึงเพียงใด ย่อมไม่ถือสาอยู่แล้ว ทางฝั่งของศาลบุ๋นก็พูดคุยได้ง่ายเลย ข้ากับตาเฒ่าและหลี่เซิ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เจ้าไม่รู้หรือ?
ส่วนตาเฒ่าอวี๋ก็ยิ่งมีเรื่องให้คุยแล้ว
แม่นางน้อยของเกราะทองทวีปที่อายุไม่ถึงสามสิบก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าแล้ว ชื่อว่าเจิ้งเฉียนใช่ไหม?
บังเอิญนัก คือศิษย์หลานของข้าเอง! ฮ่าๆ ยิ่งบังเอิญก็คือคนหนุ่มที่สามารถเปิดตราผนึกของศาลบุ๋นติดต่อกันได้หลายชั้นผู้นั้นก็คืออาจารย์ของเจิ้งเฉียน ลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าเอง
ผู้เฒ่าหันกลับไปมองแวบหนึ่ง
จั่วโย่ว จวินเชี่ยน เฉินผิงอัน
ผู้เฒ่าภูมิใจในตัวเองอย่างมาก เพียงแต่ว่าไม่นานก็หันกลับมา ราวกับว่าไม่กล้ามองไปมากกว่านี้
ผู้เฒ่ารู้สึกเจ็บปวดใจอยู่บ้าง เหตุใดพวกเขาถึงต้องกลายมาเป็นลูกศิษย์ของตนนะ
……
เรือหอเรือนสามชั้นลำหนึ่งแล่นอยู่บนผิวลำคลอง เมื่อเทียบกับเรือข้ามฟากตระกูลเซียนของท่าเรือเวิ่นจินพวกนั้นแล้ว เรือหอเรือนนี้ไม่สะดุดตา อีกทั้งความเร็วยังไม่มาก เห็นได้ชัดว่าเจ้าของเรือคำนวณเวลาในการไปเข้าร่วมงานประชุมที่ศาลบุ๋นไว้อย่างแม่นยำ ไม่ค่อยเหมือนกับพวกฉินจ่าว เหยียนเก๋อที่ไม่มีเรื่องใหญ่กับผายลมอะไร แต่กลับดันไปขอกินเปล่าดื่มเปล่าอยู่ที่นั่นเสียแต่เนิ่นๆ
ม้าสามตัวเดินเลียบตลิ่งไปช้าๆ อาเหลียงมองเห็นเรือข้ามฟากที่ล่องไปตามลำคลองตามกฎเกณฑ์ บวกกับกลิ่นอายคุ้นเคยขุมนั้น ในใจก็พลันกระจ่างแจ้ง จับประคองงอบ บิดก้นหนึ่งทีก็ลุกขึ้นมายืนบนหลังม้า ตะเบ็งเสียงดังลั่น “พี่ติง พี่ติง! ทางนี้ ทางนี้!”
เรือหอเรือนลำนั้นขยับเข้ามาใกล้ทางฝั่งเล็กน้อย เพียงไม่นานตรงหัวเรือก็มีเทพเซียนหลายสิบคนปรากฏตัว อันที่จริงมีคนบางส่วนไม่ยินดีจะเผยโฉม คิดไม่ถึงว่าเส้นสายตาของชายฉกรรจ์สวมงอบจะกวาดผ่านมา ไล่มองสหายเก่าทุกคนจนครบถ้วนไม่มีใครตกหล่น จึงได้แต่เรียกพรรคพวกมา หวังว่าหากมีทุกข์จะร่วมกันต้าน พากันเดินออกมาจากห้องในเรือด้วยกัน
คนที่อยู่ตรงกลางคล้ายดวงเดือนที่ถูกดวงดาวห้อมล้อมคือชายฉกรรจ์ร่างเตี้ยม่อต้อคนหนึ่ง รูปโฉมไม่น่าตกตะลึง ทว่าข้างกายกลับมีสาวใช้ที่งามเพริศพริ้งสองคนยืนอยู่ แม้จะประทินโฉมบางเบา แต่กลับงามล่มบ้านล่มเมือง
——