ตอนที่ 3412

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3412 : พร้อมหน้าพร้อมตา

 

“เด็กดี เจ้าโตขนาดนี้แล้ว…”

 

ต้วนหลิงเทียนดึงร่างลูกชายมากอดพลางตบหลังเสียงดังสองตาเขาเริ่มแดงรื้นขึ้นมาอย่างไม่ รู้ตัว เขารู้สึกผิดกับลูกชายคนนี้นักเนื่องเพราะในอดีตนอกจากที่เคยอยู่กับอีกฝ่ายที่ตําหนักเมฆาครามเป็นช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่ปีแล้วเขาก็ไม่ได้ดูแลสอนสั่งอะไรอีกฝ่ายหรือได้อยู่เห็นอีกฝ่ายเติบโตเลย

 

ที่หาได้ยากก็คือลูกชายของเขาคนนี้เหมือนจะเข้าใจความจําเป็นของบิดาไม่เอาไหนเช่นเขา

 

“ท่านพ่อ ในที่สุดข้าก็ได้พบท่านแล้วข้าหลงคิดว่าคงไม่ได้เจอท่านจนก่าท่านแม่จะทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะเสียอีก”

 

ต้วนเนี่ยนเทียนกล่าวด้วยความตื่นเต้น ความทรงจําในวัยเด็กในช่วงไม่กี่ปีนั้นยังชัดเจนในใจ เสมอ บิดาของมันเป็นดั่งวีรบุรุษไร้ผู้ต้านและมันก็ยึดถือบิดาผู้เก่งกล้าสามารถคนนี้เป็นแบบอย่างมาโดยตลอดเฝ้าฝันว่าสักวันจะแข็งแกร่งและแบกรับมรสุมนานานับประการได้เยี่ยงบิดา

 

“นั่นไม่จําเป็นอีกไป พ่ออยู่นี่แล้ว ทันทีที่พ่อรู้ว่าพวกเจ้าอยู่ระนาบเทวโลกพ่อก็เร่งตามหาทันที่วันหน้าครอบครัวของพวกเราจะไม่แยกจากกันไปไหนอีก”

 

ขณะที่ตัวนหลิงเทียนเอ่ยคํานี้ สองตาก็ฉายชัดถึงความแน่วแน่ “เชื่อพ่อวันหน้าพวกเราจะไม่ ถูกจับแยกจากกันในลักษณะนี้อีก!”

 

“อ่า ข้าเชื่อท่านพ่อ!”

 

ต้วนเนี่ยนเทียนพยักหน้ารับแข็งขัน มันไม่เคยยสงสัยในคําพูดของบิดาถึงแม้ตอนนี้มันจะไม่รู้ว่าด่านพลังฝึกปรือของบิดาถึงขั้นไหนแล้วก็ตาม

 

มันแค่เชื่อฟังบิดาอย่างไร้เงื่อนไข

 

ทุกเรื่องราวตอนที่ยังอยู่ในระนาบเซียน ทุกวีรกรรมที่บิดามันสร้างไว้สะท้านแดนดิน มันได้ฟังคําสรรเสริญจากผู้คนมามากมายจึงตระหนักได้แต่เล็กว่าบิดาของมันยอดเยี่ยมขนาดไหนจึงมุ่งหนวังว่าสักวันจะยิ่งใหญ่ได้เฉกเช่นบิดา

 

“เอาล่ะ เจ้าไปหาปูกับย่าเร็ว ยังมีอาเทียนหวี่กับน้องสาวเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย”

 

ต้วนหลิงเทียนค่อยๆผละร่างต้วนเนี่ยนเทียนออกไปเบาๆตบบ่าอีกฝ่าพลางกล่าว

 

“อ่า”

ต้วนเนี่ยนเทียนพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟังจากนั้นก็เดินไปหาต้วนหรูเฟิงกับลหลัวก่อนจโค้งคารวะออกมาอย่างเรียบๆร้อยๆ “ท่านปูท่านย่า”

 

“เนี่ยนเทียน เจ้าโตขนาดนี้แล้วหรือ…”

 

ต้วนหรูเฟิงกล่าวอย่างทอดถอนใจ

 

“เนียนเทียน…”

 

สี่หลัวก็อดไม่ไหวสืบไป หยาดน้ําใส 2 สายไหลรินจากดวงตาหลานชายตัวน้อยจอมซนในวันวานที่ปวนไปทั่วตําหนักเมฆาครามโตเป็นหนุ่มแล้ว

 

นางไม่ทราบจริงๆ ว่าตลอดหลายยปีที่ผ่านหานชานางกินอยู่อย่างไรใช้ชีวิตลําบากหรือไม่

 

อย่างไรก็ตาม พอนึกถึงประสบการณ์ของตัวเองกับทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต นางก็ตระหนักได้ว่าหลานชายเองก็คงผ่านวันเวลามาไม่ง่ายนัก

 

“เฉวี่ยไน”

 

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองหานเฉลี่ยในด้วยรอยยิ้มด้านหานเฉวี่ยไม่เองก็ก้าวอาดๆเข้ามาหาต้ วนหลิงเทียนด้วยความตื่นเต้นจากนั้นคล้ายนางงหวนกลับไปเป็นสาวน้อยซุกซนในวันวานกระโดดเข้ากอดต้วนหลิงเทียนพลางร่ําไห้ออกมอย่างองแง “พี่หลิงเทียนอ่า…เฉวี่ยไม่คิดถึงพี่หลิงเทียน”

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็เห็นหานเฉลี่ยในไม่ต่างอะไรจากน้องสาวแท้ๆของเขาซึ่งหานเฉลี่ยในเองงก็เห็นต้วนหลิงเทียนเป็นดั่งพี่ชายที่สามารถแบกฟ้าให้นางได้มาตลอด ยังคิดอยู่เสมอตอนเจอเรื่องลําบากว่าหากมีพี่หลิงเทียนอยู่ทุกอย่างต้องเรียบร้อยแน่

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานางได้อยู่กับภรรยารวมถึงลูกชายของพี่หลิงเทียน ก็ทําให้นางไม่อาจหยุดคิดถึงงพี่ชายคนนี้ได้เลย

 

“ยาโถวโง่งม เจ้าโตขนาดนี้แล้วยังร้องไห้งอแงอีก….”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา หลังจากปาดเช็ดน้ําตาบนแก้มหานเฉวี่ยไนแล้วก็เอ่ถามนาง ด้วยน้ําเสียงอ่อนโยน “เป็นอย่างไรบ้างเล่าตัวแสบหลายปีที่ผ่านมาเจ้าไปหลงชอบหนุ่มบ้านไหนบ้างหรือไม่”

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียนอะ ท่านล้อข้าอีกแล้ว!”

 

เฉลี่ยในที่น้ําตายังไหลไม่หยุด ยิ้มออกมาอย่างร่าเริง “ข้าเคยบบอกไว้แต่แรกแล้วไง หากข้าไม่เจอผู้ชายยที่เก่งกว่าพี่หลิงเทียน ข้าจะไม่เหลียวแล

 

ได้ยินคําพูดของหานเฉวี่ยไน ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหน้าไปมาพลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เฮ่อ…ถ้างั้นมีหวังเจ้าได้กลายเป็นป้าแก่ขึ้นคานไม่อาจได้แต่งงานกับผู้ใดตลอดชีวิตแล้วล่ะ”

 

“โห พี่หลิงเทียน! ท่านยังหลงตัวเองได้อีก!”

 

หานเฉวี่ยไม่เบ้ปาก ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยรอยิ้มซุกซน “พี่หลิงเทียน ท่านจะมั่นหน้าไปรึเปล่า ที่นี่ไม่ใช่ระนาบโลกะแต่เป็นระนาบเทวโลกนะ…ท่านคิดว่าในระนาบเทวโลกจขะไม่มีคนรุ่นเดียวกับพวกเราเทียบท่านได้เลยรึไง?”

 

“หึหึ เรื่องนี้น่ะ เดี๋ยวเวลามันจะพิสูจน์ทุกอย่างเอง…”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ค่อยยักคิ้วกล่าวกับหานเฉวี่ยไนอย่างมั่นใจ

 

“ตัวเลวร้าย”

 

ตอนนี้เอง เสียงของลี่เฟยก็ดังขึ้น ทําให้ต้วนหลิงเทียนหันไปสนใจนางที่ถูกเจ้า 3 อย่างเสี่ยวเฮย เสี่ยวไปและเสี่ยวจินรายล้อมทันที

 

ลี่เฟยหลังจากสนทนากับทุกคนจนอิ่มใจแล้ว ก็กอะไรขึ้นได้ จึงหันไปหาต้วนหลิง เทียนพลางทักก่อนจะหันไปมองทางสตรีในชุดสีขาวที่ยืนเงียบๆอย่างลําพังไกลๆ ค่อยเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่แนะนํานางหน่อยหรือ?”

 

ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งเทียนหวี่กับทุกคนออกมาจากโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ เองก็ออกมาด้วย

 

ลี่เฟยไหนเลยจะปล่อยให้ฮ่วนเอ๋ออยู่ลําพัง

 

พอเห็นลี่เฟยหันมามองด้วยสายตารู้ทัน ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่หน้าม้านไปด้วยความอาย

 

แต่ต้นจนจบฮ่วนเอ๋อยืนมองเรื่องราวอยู่ข้างๆอย่างเงียบงัน มองจ้องต้วนหลิงเทียนกับ ลี่เฟยกอดกันด้วยความคิดถึงด้วยรอยยิ้มนางรู้เรื่องพี่หลิงเทียนของนางดี ตอนนี้พอได้เห็นพี่หลิ เทียนมีความสุขนางก็บังเกิดความยินดีกับพี่หลิงเทียนจากใจ

 

และนางยังรู้ดีกว่าใครในที่นี้ ว่าตลอดระเวลาหลายปีที่ผ่าน พี่หลิงเทียนคิดถึงสตรีนาม ลี่เฟยผู้นั้นมากมายขนาดไหน

 

“ฮ่วนเอ๋อ…”

 

ต้วนหลิงเทียนก้าวอาดๆไปหาฮ่วนเอ๋อ ก่อนจะกล่าวแนะนําให้ฮ่วนเอ๋อรู้จัก “นี่คือ ลี่เฟย ภรราของข้าที่เล่าให้เจ้าฟังบ่อยๆ”

 

“ฮ่วนเอ๋อ คารวะพี่สาวเฟยเอ๋อ”

 

ฮ่วนเอ๋อคลี่ยิ้มสดใสทักทายลี่เฟย “พี่สาวฮ่วนเอ๋อ ตลอดสามร้อยปีที่ผ่าน พี่หลิงเทียนที่คิดถึงท่านมากมักกล่าวถึงท่านเสมอได้พบพี่สาวเฟยเอ๋อวันนี้ ยังสวยกว่าที่พี่หลิงเทียนเคยบอกเสียอีก”

 

“น้องสาวฮ่วนเอ๋อ เจ้าปากหวานจริงๆ…เจ้าดีแบบนี้มิน่าล่ะตัวเลวร้ายถึงลักพาตัวเจ้าเข้าบ้าน…”

 

ลี่เฟยพยักหน้ากล่าวกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันมามองลึกยังต้วนหลิงเทียน ทําให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกหราวๆร้อนๆขึ้นมาในฉับพลัน ยังรู้สึกเสมือนนั่งอยู่บนปลาย เข็มนับร้อยพันเล่ม

 

“ตัวเลวร้าย”

 

ทันใดนั้นเอง ลี่เฟยก็กล่าวผ่านพลังกับต้วนหลิงเทียนว่า “เจ้าจะพบเจอสตรีอื่นใดกี่คนข้าไม่สน…แต่ไม่ว่าจะสตรีคนใดที่เจ้าไปอุ้มมาเพิ่ม นอกจากเทียนหวู่แล้ว เจ้าไม่อาจตบแต่งพวกนางเข้าบ้านจนกว่าจะช่วยน้องหญิงเค่อเอ๋อได้…”

 

น้ําเสียงผ่านพลังของลี่เฟยช่างดุดันเหลือเกิน และไม่เหลือช่องให้ต้วนหลิงเทียนต่อรองปฏิเสธแม้แต่น้อย “ถึงน้องหญิงเค่อเอ๋อจะไม่ว่าอะไร แต่ข้าไม่ยอม!”

 

“เสี่ยวเฟยเอ๋อ…ในสายตาเจ้า ข้าต้วนหลิงเทียน เป็นคนเหลวไหลเช่นนั้นหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวผลังตอบกลับด้วยรอยยิ้มแหยๆ “เจ้าอย่าได้ห่วงไปเลย ข้าจะไม่แต่งกับสตรีอื่นใด จนกว่าข้าจะช่วยเค่อเอ๋อได้ รวมถึงเทียนหวูด้วย”

1

“ตัวเลวร้าย เจ้าตัดสินใจเช่นนี้ ไม่ใจร้ายกับน้องเทียนหวูไปหน่อยหรือไร?”

 

ลี่เฟยขมวดคิ้วเป็นปมหลวม

 

“เสี่ยวเฟยเอ๋อ ข้าคุยเรื่องนี้กับเทียนหวู่แล้ว นางเข้าใจข้า…และนางเองก็คิดว่าสมควรทําเช่นนั้นด้วย”

 

ตัวหลิงเทียนกล่าวผ่านพลังเสียงอ่อน

 

“เฮ่อ ไฉนเทียนหวู่ถึงได้…ใจดีนักนะ”

 

ลี่เฟยถอนหายใจ

 

เดิมที่ต้วนหลิงเทียนคิดว่า ลี่เฟยที่ค่อนข้างเข้มงวดและมีความเป็นเจ้าของสูงคงต้องใช้เว ลาสักพักใหญ่ๆกว่าจะเปิดใจยอมรับฮวนเอ๋อได้และด้วยนิสัยดุร้ายปานแม่เสือสาวของลี่เฟยต่อให้ไว้หน้าเขาแต่ก็คงลําบากไม่น้อยหากจะให้นางเข้าหน้าฮ่วนเอ๋อ

 

อย่างไรก็ตามเรื่องราวกลับเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง ลี่เฟยสามารถเข้ากับส่วนเอ๋อและเปิดรับนางได้อย่างรวดเร็วไม่ทันไรยังเรียกหากันอย่างสนิทสนมว่าน้องหญิงฮ่วนเอ๋อ…

 

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็นไปได้ด้วยดี ไม่มีบ้านแตก ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ลอบถอนหาย ใจออกมาอย่างโล่งอก…รอดไปที!

 

“พี่หลิงเทียน นี่คือพี่สะใภ้คนใหม่ของข้ารึเปล่า?”

 

ตอนนี้เองหานเฉวี่ยไนก็ก้าวอาดๆเข้ามาเอ่ยถามด้วนหลิงเทียนด้วยตาเป็นประกายน้ําเสียง ฟังดูซุกซนนัก “อั้ยหยาพี่หลิงเทียนพี่สะใภ้คนนี้ช่างงดงามเหนือคําบรรยาจริงๆ! เกิดมาข้าไม่เคเจอใครสวยเท่าพี่สะใภ้คนนี้มาก่อนเลย นี่ท่านไปอุ้มลูกสาวบ้านใดมาเนี่ย?!”

 

เมื่อเห็นหานเฉวี่ยไม่ได้ที่ก็แซวเขาใหญ่ ต้วนหลิงเทียนได้แต่หันไปมองค้อน“อุ้มเอ็มอะไรของเจ้ากัน? อย่าได้เอาอย่างพี่สาวเฟยเอ๋อของเจ้าให้มากนัก!”

 

ครอบครัวได้พร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้งหลังผ่านไปนานปี เป็นธรรมดาว่ามีเรื่องให้พูดคุยมากมาย

 

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดไม่อาจกล่าวออกรวดเดียว จําต้องใช้เวลา

 

“เสี่ยวเฟยเอ๋อ ว่าแต่ไฉนพวกเจ้าถึงมาอยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฟูโหย่วเทียนกันได้ล่ะ? แถมข้าได้ยินเทียนหวี่บอกว่า เจ้ากลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงของศิษย์ที่แท้จริงจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนงั้นหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

 

“เรื่องนี้ข้าต้องเล่าตั้งแต่ตอนที่ข้าถูกส่งไปยังระนาบโลกียะที่เรียกว่าระนาบหนามม่วง….ตอนนี้ข้าคงได้แต่เล่าเรื่องราวคร่าวๆให้ฟัง เอาไว้หลังไปเจออาจารย์ข้าก่อน ค่อยเล่าให้ฟังอย่างละเอียด”

 

ลี่เฟยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงที่อยู่ในระนาบหนามม่วง และไฉนหลายปีที่ผ่านถึงได้อยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ผู้โหย่วเทียนออกมาสั้นๆ

 

“ตอนนั้นข้าก็คิดไม่ถึงว่าเนี่ยนเอ๋อกับเฉวี่ยไม่ก็ถูกส่งมาที่ระนาบหนามม่วงด้วย”

 

“ต่อมาพวกเราก็ขึ้นมายังระนาบเทวโลกฟูโหย่วเทียน รวมถึงเข้าสู่พระราชวังจักรพรรดิ สวรรค์ฝูโหย่วเทียนโดยตรง

 

ลี่เฟยเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาในช่วงไม่กี่ร้อยปีคร่าวๆ ทําให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจต้นตอความเป็นมาโดยสังเขป

 

“ดูเหมือนเจ้าจะโชคดีไม่น้อย ที่ได้รับวาสนาดังกล่าว”

 

ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง รู้สึกว่าภรรยาเขาเองก็มีโชคไม่น้อย

 

“พูดถึงเรื่องนี้ ก็ต้องขอบคุณพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทพ…หาไม่แล้วคงยากที่ข้าจะมีวันนี้ได้”

 

ลี่เฟยคลี่ยิ้มออกมาอย่างอื่นขม “อย่างไรก็ตาม หากเลือกได้ ข้าอยากเลือกให้พวกเราทุกคนไม่มีส่วนเกี่วของกับระนาบเทพและอยู่กันอย่างมีความสุขที่ระนาบเซียนมากกว่า”

 

“หากพวกเราได้อยู่กันอย่างไร้กังวลที่ระนาบเซียน…ไม่ทราบจะเป็นเรื่องดีขนาดไหน”

 

ขณะกล่าวถึงประโยคนี้ สองตาลี่เฟยก็ฉายความโหยหาไม่น้อย

 

“ถึงจะเป็นระนาบเทวโลก พวกเราก็มีวันดีๆเช่นนั้นได้…”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวคําอย่างจริงจัง สาเหตุเดียวที่ทําให้เขาอยากดั้นด้นไประนาบเทพ ก็เพียงเพราะช่วยเค่อเอ๋อกลับมาเท่านั้น

 

“นี่ก็นานมากแล้ว พวกเราไปกันเถอะ…ข้าจะพาเจ้าไปพบอาจารย์ข้า”

 

ภายยใต้การนําของลี่เฟย ต้วนหลิงเทียนกับผู้เฒ่าหัวก็ติดตามลี่เฟยกลับไปยังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียน ส่วนคนอื่นๆไม่ว่าจะด้วนเนี่ยนเทียนหรือหานเฉวี่ยไนก็เข้าสู่โลกใบเล็กภายในกายของต้วนหลิงเทียนเรียบร้อย

 

แน่นอนว่าโฉมสคราญในชุดจัดเต็มปานองค์หญิงแคว้นใหญ่ ก็ยังคงเหินร่างตามลี่เฟยมาอย่างเงียบงัน

 

“ให้ตายเถอะ…ที่นี่คือโลกใบเล็กภายในกายท่านพ่อหรือ!?”

 

พอต้วนเนี่ยนเทียนกับหานเฉวี่ยไม่ได้เข้าสู่โลกใบเล็กภายในกายต้วนหลิงเทียนเป็นครั้งแรก ทั้งคู่ก็ตกตะลึงจนหาคําพูดไม่เจอ เพราะทั้งคู่พบว่าพลังวิญญาณฟ้าดินในนี้ มันมีคุณภาพไม่ต่างอะไรจากระนาบเทพเลย แถมยังหนาแน่นยิ่งกว่าสถานที่ๆเคยถูกจับไปขังหลายสิบเท่าอีก!!

 

เหตุผลเดียวที่ทําให้ทุกคนมีศักยภาพและพรสวรรค์อย่างวันนี้ ก็เพราะผ่านการขัดเกลาชําระโดยพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทพ

 

ไฉนที่ชาวระนาบเทพพื้นเมืองถึงมีพรสวรรค์กับความเข้าใจสูงล้ํา ทั้งหมดก็เพราะพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทพนี้เอง

 

ก่อนจะคลอดออกจากครรภ์มารดาหรือยังเป็นชาวมรรตัย ไม่บรรลุถึงเซียนอมตะ หากอยู่ในสภาพแวดล้อมอันมีพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพ พลังวิญญาณฟ้าดินของงระนาบเทพก็จะ ทําการชําระขัดเกลาให้สภาพร่างกายเหมาะสมกับระนาบเทพโดยอัตโนมัติ

 

“บ้าไปแล้ว ไอพลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่…ทําไมเหมือนกับในระนาบเทพเลยล่ะ แถมยังหนาแน่นกว่าที่ๆพวกเราเคยอยู่จมหูเลย!”

 

หานเฉวียในตะลึงไปเนิ่นนาน ก็ยังไม่ฟื้นสติ

 

สําหรับคนอื่นๆนั้น ได้ผ่านจุดประหลาดใจมานาน เพราะทุกคนได้ใช้เว ลาบบ่มเพาะฝึกปรือในโลกใบเล็กภายในกายต้วนหลิงเทียนมาสักพักแว

 

“อาเฉลี่ยใน สภาพแวดล้อมบ่มเพาะที่นี่ต้องใช้คําว่าโคตรดีเลย…หากข้าได้บ่มเพาะพลังที่นี่ข้าเชื่อว่าไม่ทันไรข้าก็ทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะได้ง่ายๆแน่!”

 

“นั่นสิ! ข้าด้วย!!”

 

หลังต้วนเนี่ยนเทียนกับหานเฉวี่ยไม่หายตกใจแล้ว แต่ละคนก็ไม่พูดพร่ําทําเพลง โรไปหาที่ว่างแล้วนั่งซุ้มปักลงกับพื้นและเริ่มบ่มเพาะพลังทันที ท่าทางรีบร้อนกลัวไม่ได้ฝึกของทั้งคู่ทําให้คนอื่นๆที่เห็นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

 

อย่างไรก็ตามทุกคนเข้าใจอาการของทั้งคู่ดี

 

เพราะตอที่ทุกคนเข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก จะมากจะน้อยก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น “เสี่ยวเฟยเอ๋อ…เจ้าสมควรมีลูกแก้ววิญญาณของคนอื่นๆในตําหนักเมฆาครามใช่ไหม?”

 

ต้วนหลิงเทียนที่เห็นร่างข้างๆลี่เฟยเอ่ยยถาม

 

พอได้ยินคําถามดังกล่าว สีห้นาลี่เฟยก็มืดครึมลงทันที “ลูกแก้ววิญญาณในมือพวกเรา 3 คนของคนที่สนิทๆที่ยังอยู่ดีก็มีแค่ลูกแก้ววิญญาณของท่านพ่อท่านแม่และพวกเด็กๆกับเทียนหรูและลุงหรู่เต้าเท่านั้น นอกจากนั้นยกเว้นของมู่อีอี ล้วนแตกไปหมดสิ้นแล้ว”

 

สีหน้าต้วนหลิงเทียนมืดลงทันใด สองหมัดกําแน่นจนกระดูกลั่น ความเกลียดชังงในใจเสมือนถูกจุดชนวนขึ้นมาอีกครั้ง “อขึ้นชิงเหยียน…สักวันข้าจะให้เจ้าตายไร้ที่ฝัง!!”