ตอนที่ 3413

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3413 : จักรพรรดิอมตะหนามม่วง

 

ในสายตาของต้วนหลิงเทียนการตายของไป๋ลี่หงและสหายคนอื่นๆ คิดไปคิดมาแล้วสุดท้ายก็หนีไม่พ้นอวิ๋นชิงเหยียน ที่จับตัวทุกคนไปยังดินแดนการล่มสลายของทวยเทพ

 

หาไม่แล้วปานนี้ไป๋ลี่หงและคนอื่นๆก็คงอยู่เสพย์สุขใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลที่ระนาบเซียน

 

เพราะตราบใดที่ทุกคนอยู่ในระนาบเซียน ก็จะปลอดภัยไร้อันตรายใดๆทั้งสิ้น

 

เหลือเวลาไม่ถึง 700 ปีแล้ว…หลังจากช่องทางเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทพกับระนาบ เทวโลกเปิดออกเมื่อไหร่ ข้าต้องเร่งเข้าสู่ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพทันที ยังต้องเร่งบ่มเพาะในขอบเขตเทพเพื่อให้มีกําลังมากพอช่วยเค่อเอ๋อ และทวงความเป็นธรรมให้ทุกคนที่ตกตาย!”

 

สําหรับพวกไป๋ลี่หงและคนอื่นๆ ต้วนหลิงเทียนรู้สึกผิดกับทุกคนเหลือเกิน และตอนนี้ความรู้สึกผิดดังกล่าวก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นแสนสาหัส!

 

ด้วยอารมณ์อันหนักอึ้งในใจ ตลอดการเดินทางต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

 

และลี่เฟยก็เข้าใจความรู้สึกของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้เป็นอย่างดี เพียงแค่กุมมือต้วนลิงเทียนเอาไว้เงียบๆไม่พูดอะไร

 

“บางที…คงมีแต่ชายหนุ่มที่มีลักษณะเหนือคนธรรมดาเช่นนี้ จึงจะคู่ควรกับคุณหนูเฟยเอ๋อ”

 

โฉมสะคราญนั้นก็เหินร่างติดตามลี่เฟยมาและอยู่ไม่ห่างผู้เฒ่าหัวมากเท่าไหร่ นางเอาแต่จับจ้องมองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนด้วยตาเป็นประกาย ลอบกล่าวในใจอย่างชื่นชม

 

ถึงแม้นางจะยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า

 

แต่ไม่ว่าจะอารมณ์ ความรู้สึกที่ส่งออกมา รวมถึงลักษณะท่วงท่านั่น ไม่คล้ายชายหนุ่มในวัยเดียวกันที่นางพบมาก่อน อีกฝ่ายไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างยาวนานแม้แต่น้อย ผิดกับพวกคุณชายที่ชาติตระกูลสูงส่งทั้งหลายมาก

 

เพราะเท่าที่นางทราบมา

 

คุณหนูเฟยเอ๋อของนาง ยังพึ่งมีอายุได้ 300 ปีเศษๆเท่านั้น สามีที่คบหากันตั้งแต่ระนาบโลกียะเองก็สมควรมีวัยไล่เลี่ยกัน และอยู่ในช่วง 300 ปีเศษ

 

อายุได้ 300 ปีเศษ แต่กลับให้ความรู้สึกประหนึ่งผู้เชี่ยวชาญ สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?

 

ไม่นานนัก ภายใต้การนําทางของลี่เฟย ต้วนหลิงเทียนก็เห็นร่างทะลุแพเมฆหนาที่ลอยล่องอยู่เหนือมหาสมุทรสุดไพศาล จนเกาะลอยฟ้ามหึมาปานทวีปย่อมๆได้ประจักษ์สู่สายตา

 

“ตัวเลวร้าย เบื้องหน้าเจ้าก็เป็นที่ตั้งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ผู้โหย่วเทียนแล้ว”

 

ลี่เฟยเอ่ยแนะนําให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก

 

เดิมที่ระหว่างเดินทางลี่เฟยก็มีเรื่องราววมากมายคิดถามไถ่ต้วนหลิงเทียน อย่างไรก็ตามนางย่อมมองเห็นชัดเจนว่าชายคู่ชีวิตมีอารมณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก จึงไม่เอ่ยกวนใจอะไรอีกฝ่ายตลอดการเดินทาง

 

“อือ”

 

ต้วนหลิงเทียนเงยหน้ากวาดตามองเกาะลอยฟ้ามหึมาเบื้องหน้า จากนั้นก็ก้มลงมองแพเมฆขาวเบื้องล่าง ฉากดังกล่าวละม้ายคล้ายพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของระนาบเทวโลกอื่นที่เขาเคยเห็นมาบ้าง

 

อย่างน้อยๆก็มีพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียนที่หนึ่ง

 

พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียน เรียกว่าตั้งอยู่บนเกาะลอยฟ้าขนาดมหึมาดุจเดียวกัน และส่วนที่ต่างจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนแห่งนี้ ก็คือเกาะที่นั่นลอยอยู่เหนือที่ราบทุ่งหญ้าสุดไพศาล ทว่าเกาะที่นี่มันลอยเหนือมหาสมุทร

 

“ตัวเลวร้าย ข้าจะพาเจ้าไปพบอาจารย์ของข้าก่อน”

 

ถึงแม้จะมีเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ลี่เฟยก็ประหม่าไม่น้อย เสมือนเด็กสาวชาวโลกพาแฟนหนุ่มเข้าบ้าน หมายเปิดตัวให้พ่อแม่และครอบครัวรู้จักเป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น

 

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา จักรพรรดิอมตะหนามม่วงดีกับนางเหลือเกิน แทบไม่ต่างอะไรจากมารดาแท้ๆเลย

 

อีกทั้งระยะเวลาที่ลี่เฟยใช้อยู่ร่วมกับจักรพรรดิอมตะหนามม่วงก็เนิ่นนานกว่าผู้อาวุโสคนไหนในอดีต…ยังยาวนานเสียยิ่งกว่าเวลาที่ใช้อยู่ร่วมกับต้วนหลิงเทียนหลายเท่า

 

ที่สําคัญก็คือลี่เฟยในตอนเด็กนั้นเติบโตมากับท่านปู่ และด้วยอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ทําให้นางไม่แม้แต่จะมีโอกาสเห็นหน้าพ่อแม่ด้วยซ้ํา เช่นนั้นพอได้รับการดูแลอย่างดีจากจักรพรรดิอมตะหนามม่วง นางก็ยึดถือจักรพรรดิอมตะหนามม่วงเป็นดั่งมารดาแท้ๆ

 

ด้วยเหตุนี้นางก็เลยบังเกิดความประหม่า ยามพาสามีมาเปิดตัวกับผู้ที่เป็นดั่งมารดา

 

“เบื้องหน้าก็เป็นที่พักของท่านอาจารย์แล้วล่ะ…”

 

ตลอดทางที่ลี่เฟยพาต้วนหลิงงเทียนเข้าสู่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ยูโหย่วเทียน จะหน้าประตูก็ดี หรือผ่านอาคารส่วนกลางใดๆก็ดี ล้วนราบรื่นไร้ผู้ใดขวางขัดหยุดตรวจ เพราะผู้คนในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฟูโหย่วเทียนรู้จักลี่เฟยกันดี และไม่ว่าจะระดับสูงหรือต่ํายามพบเจอก็ทักทายลี่เฟยด้วยความสุภาพเคารพว่า “คุณหนูลี่เฟย” ทั้งนั้น

 

เพราะศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสววรรค์แห่งฝูโหย่วเทียน มีอยู่ด้วยกันแค่ 3 คนเท่านั้น และอาจารย์ของลี่เฟย จักรพรรดิอมตะหนามม่วง ก็คือศิษย์คนเล็ก และยังเป็นศิษย์ปิดสํานักอีกด้วย แต่นี้ต่อไปจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนไม่คิดรับศิษย์อีกแล้ว

 

สถานที่พักบ่มเพาะของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง ก็ตั้งอยู่ในหุบเขาอันเต็มไปด้วยความร่มรื่น ลานตาไปด้วยสีสันแห่งธรรมชาติอันเขียวขจี แว่วเสียงสกุณาขับขานเจื้อยแจ้ว จรรโลงใจให้พบความสงบ ยังมีเหล่าวิหกอมตะเชื่องๆฝูงหนึ่งโผบินมาฉวัดเฉวียนรายล้อม เป็นการต้อนรับลี่เฟยอย่างซุกซน

 

“คุณหนูเฟยเอ๋อ”

 

“คุณหนูเฟยเอ๋อ”

 

….

 

เรียกว่าวิหกฝูงนี้เฉลียวฉลาดและน่ารักยิ่ง พวกมันมาชอบแวะมาหาลี่เฟยเสมอ พอมาถึงก็กล่าวทักเสียงเจื้อยแจ้วทันที

 

ลี่เฟยพอเห็นก็โบกมือเบาๆด้วยรอยยิ้ม

 

“คุณหนูเฟยเอ๋อ นี่คือบุรุษที่ท่านกล่าวถึงอยู่เสมอรึเปล่าเจ้าคะ”

 

วิหกตัวสีแดงสดที่เป็นจ่าฝูงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ําเสียงของเด็กหญิงวัย 10 ขวบ สองตากลมใสชมมองต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ “ก่อนหน้าคุณหนูบอกว่าท่านมีสามีแล้ว พวกเราไม่เชื่อกันเลย…ดูเหมือนว่าคุณหนูไม่ได้หลอกพวกเราจริงๆด้วย”

 

“เอ๋ แล้วข้าจะไปหลอกพวกเจ้าทําไมเล่า”

 

ลี่เฟยส่ายหัวไปมาพลางหัวเราะ จากนั้นก็แนะนําให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก “ตัวเลวร้าย เหล่านี้ถือว่าเป็นศิษย์น้องจอมซนของข้าก็ว่าได้..พวกนางถือได้ว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์เช่นกัน”

 

“ฮิฮิ!”

 

จากนั้นเสียงหัวเราะคิกคักเจื้อยแจ้วก็ดังขึ้น วิหกน้อยแต่ละตัวเปล่งแสงสว่างจ้า ก่อน จะกลายเป็นกลุ่มเด็กสาว บ้างโตวัยประถมบ้างยังเป็นเด็กน้อย โร่มามองสํารวจต้วนหลิงเทียนด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ว้าว นี่คือสามีของคุณหนูลี่เฟยเหรอ หล่อเหลายิ่ง ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนของพวกเราไม่เห็นจะมีใครหล่อเท่านี้เลย”

 

ต้วนหลิงเทียนตอนนี้ เข้าใจความรู้สึกของเหล่าสัตว์ในสวนสัตว์ยามพบเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวแล้ว..

 

ต่อหน้ากลุ่มสาวน้อยไม่เดียงสา ต้วนหลิงเทียนแม้จะไม่คุ้นชินกับสายตาของพวกนางเท่าไหร่ แต่ก็ยังยิ้มทักทายออกไปอย่างเป็นมิตร “ขอบคุณทุกคนมาก ที่คอยช่วยดูแลเสียวเฟยเอ๋อมาหลายปี…”

 

“เอาล่ะ พวกเจ้าพอได้แล้ว ไปเล่นที่อื่นเสีย”

 

ตอนนี้เองโฉมสะคราญที่ติดตามมาด้านหลังลี่เฟยกับต้วนหลิงเทียน ก็กล่าวขึ้น “คุณหนู ยังต้องพาสามีไปพบใต้เท้าจักรพรรดิอมตะอีก”

 

พอโฉมสะคราญเอ่ยจบคํา เหล่าเด็กสาวน้อยใหญ่ก็ร้องโอ้ว จากนั้นก็หวนคืนสู่ร่างวิหกพากัน โผบินหายไปทันที ทิ้งไว้แต่เสียงเจื้อยแจ้วแว่วดังว่า หล่อมาก น่าดูยิ่ง…ฯลฯ

 

ต่อมาลี่เฟยก็พาต้วนหลิงเทียนเข้าไปในหุบเขา

 

แรกเข้าหุบเขา กลิ่นหอมจรุงก็โชยเตะจมูกต้วนหลิงเทียนก่อนใดอื่น ให้ความรู้สึกคล้ายบุปผา อะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่เชิง ยังมีกลิ่นเข้มขนราวกับสุราหมักชั้นดี เพียงแค่สูดดมก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายจิตสงบอย่างบอกไม่ถูก

 

และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกําลังสูดหายใจเข้าลึกๆ เสียงลี่เฟยพลันดังขึ้น “นี่เป็นกลิ่นของสุราหมื่นบุปผาอมตะ เป็นสุราอมตะที่ท่านอาจารย์หมักเอง…”

 

“บุปผาอมตะที่นํามาใช้หมักสุรานั้นปกติแล้วก็มีพลังวิญญาณท่านอาจารย์เองก็ปลูกบุปผาอมตะเหล่านี้เอาไว้เป็นพิเศษ และหากบุปผาอมตะต้นไหนเผยให้เห็นศักยภาพการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินไม่ธรรมดา ท่านอาจารย์ก็จะนําไปดูแลเป็นพิเศษ เพื่อให้สักวันจะก่อเกิดสํานึกสติและสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้”

 

“ศิษย์พี่ของข้าคนหนึ่งก็เป็นบุปผาอมตะที่ท่านอาจารย์ปลูกกับมือ…หลังจากจําแลงกายเป็นมนุษย์ได้แล้ว ท่านอาจารย์ก็คอยอบรมสั่งสอน จนวันนี้กลับกลายเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามไปแล้ว ทว่าปกตินางไม่ค่อยอยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สักเท่าไหร่…”

 

ลี่เฟยกล่าว

 

“อ้อ”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ

 

จากนั้นหลังเดินตามลี่เฟยต่อไปได้สักพัก เขาก็ตระหนักว่าโฉมสะคราญที่ติดตามพวกเขามาตลอดทาง ไม่ได้เห็นตามมาอีกต่อไป

 

ทว่าด้านผู้เฒ่าหัวก็ยังคงเหินร่างติดตามต้วนหลิงเทียนมาติดๆ เพราะมีหน้าที่คอยปกป้องดูแลรักษาความปลอดภัยให้ต้วนหลิงเทียน

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ผู้เฒ่าหัวมีสัมพันธ์อันดีกับต้วนหลิงเทียนตั้งแต่ในอดีต ตอนนี้ด้วยความเมตตาของจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ก็มากพอให้ผู้เฒ่าทั่วถวายตัวรับใช้ศิษย์เอกเพียงหนึ่งเดียวของผู้มีพระคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้แล้ว

 

ผู้เฒ่าหั่วรู้ดี…

 

ด้วยความแข็งแกร่งของงจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี้ยเทียน การช่วยมันไม่ถือว่าลงแรงอะไรมากมายเลย แต่ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเกรงว่ามันก็คงไม่อาจกลับมามีชีวิตและได้รับอิสระอย่างวันนี้อีกครั้ง

 

และภายใต้การนําของลี่เฟย ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้พบเจอจักรพรรดิอมตะหนามม่วงบริเวณแปลงบุปผาอมตะ ในลานด้านหลังของบ้านลานเรียบง่ายหลังหนึ่งที่ปลูกสร้างไว้ในส่วนลึกของหุบเขา

 

จักรพรรดิอมตะหนามม่วงยังมีรูปลักษณ์เสมือนดรุณีวัย 20 ต้นๆ รูปร่างค่อนข้างสูงเพรียว หากแต่แลดูสง่างามไม่เก้งก้าง มองไปพบว่านางก็กําลังก้มตัวง่วนอยู่กับการทําอะไรสักอย่าง หากเขาจําไม่ผิดดูเหมือนนางจะกําลังทาบกิ่งหรือติดตาอะไรทํานองนั้น

 

“ท่านอาจารย์”

 

จนเมื่อลี่เฟยพาต้วนหลิงเทียนเดินตัดลานเข้ามาห่างแปลงบุปผาไม่ไกลและคํานับทักทายนาง จักรพรรดิอมมตะหนามม่วงจึงลุกขึ้นยืนและหันกลับมามองลี่เฟย

 

และพอนางเหลือบมามองต้วนหลิงเทียน ดวงตาที่เฉยเมยก็ฉายประกายเรืองขึ้นอย่างหาได้ยาก “เฟยเอ๋อ…นี่คือสามีเจ้าหรือ?”

 

ตั้งแต่ตอนที่ลี่เฟยกับต้วนหลิงเทียนได้พบกันอีกครั้ง จักรพรรดิอมตะหนามม่วงก็ได้รับทราบเรื่องราวจากโฉมสะคราญที่ติดตามลี่เฟยไปเรียบร้อยแล้ว

 

“ใช่ค่ะ อาจารย์”

 

ลี่เฟยเอ่ยตอบด้วยน้ําเสียงเคารพ “เขาคือสามีข้า เรียกว่าต้วนหลิงเทียน”

 

แทบจะพร้อมกันกับบที่ลี่เฟยกล่าวจบคํา ต้วนหลิงเทียนก็ป้องมือประสานโค้งคารวะจักรพรรดิอมตะหนามม่วงปานผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัว “ต้วนหลิงเทียน ขอคารวะจักรพรรดิอมตะหนามม่วง”

 

“อีกทั้งข้าต้วนหลิงเทียน ต้องขอขอบคุณจักรพรรดิอมตะหนามม่วงมาก ที่คอยดูแลเสี่ยวเฟยเอ๋อตลอดหลายปีที่ผ่าน…วันหน้าหากมีโอกาส ข้าต้องตอบแทนด้วยกําลังทั้งหมดที่ข้ามี!”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าว

 

“อืม”

 

จักรพรรดิอมตะหนามม่วงรับคําเสียงแผ่ว “ในเมื่อเจ้าเป็นสามีของเฟยเอ๋อ เช่นนั้นต่อไปเจ้าก็พักอยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนแห่งนี้เถอะ เฟยเอ๋อได้พบเจ้าแล้วแบบนี้ หากต้องแยกจากเจ้าอีกครั้ง ข้าเกรงว่านางจะไม่มีกะจิตกะใจฝึกปรือ…”

 

“แต่..ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการฝึกปรือของเฟยเอ๋อ เพราะหากไม่มีอันใดผิดพลาดความสําเร็จของเฟยเอ๋อ วันหน้าย่อมไม่มีทางด้อยไปกว่าข้าแน่”

 

ฟังจากคําพูดดังกล่าวของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง เห็นได้ชัดว่านางตีค่าลี่เฟยไว้สูงมาก

 

และคําพูดของนางก็เต็มไปด้วยน้ําเสียงไม่อนุญาตให้สงสัยคลางแคลง ราวกับว่าต้วนหลิงเทียนจําต้องปฏิบัติตามคําพูดของนางอย่างเคร่งครัดไม่อาจขัดขืน

 

ได้ยินคําพูดดังกล่าวของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปพักหนึ่ง หากแต่ครู่ต่อมาก็คลี่ยิ้มยินดี เพราะสิ่งนี้เผยให้รู้ว่าจักรพรรดิอมตะหนามม่วงเอาใจใส่ลี่เฟยมากจริงๆ

 

อย่างไรก็ตามความหวังดีของนางที่มีต่อลี่เฟย ได้ถูกกําหนดไว้แล้วว่าทําได้แค่รับไว้ด้วยใจเท่านั้น

 

“จักรพรรดิอมตะหนามม่วง”

 

ต้วนหลิงเทียนมองสบตาจักรพรรดิอมตะหนามม่วง จากนั้นก็กล่าววออกด้วยน้ําเสียงท่าทางไม่นอบน้อมแต่ไม่ถือดี “ที่ข้ามาพบท่านวันนี้ ประการแรกข้าอยากจะขอบคุณที่ท่านเมตตาดูแลเสี่ยวเฟยเอ๋อเป็นอย่างดีตลอดหลายปีที่ผ่าน..ประการที่ 2 ข้าคิดพาเสี่ยวเฟยเอ๋อมาร่ําลาท่าน เพราะในเมื่อข้าพบเจอนางแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกจากนางอีกครั้ง เช่นนั้นข้าจึงคิดพานาง กลับไปฝึกฝนบ่มเพาะกับข้า”

 

“หืม? เจ้าคิดจะพาเฟยเอ๋อจากไปงั้นรึ?”

 

แทบจะทันที่ที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคํา สีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง ก็คล้ายจะถูกฉาบไว้ด้วยชั้นน้ําแข็งทันที

 

ขณะเดียวกัน กลิ่นอายพลังยะเยือกขุมหนึ่งก็กําจายออกมาปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ ไม่เพียงแค่ลานบ้านเท่านั้นแต่เป็นทั่วทั้งหุบเขา! ก่อเกิดน้ําค้างแข็งจับตัวไปทุกแห่งหน!

 

เพียงเวลาชั่วพริบตา อุณหภูมิโดยรอบก็ลดต่ําลงหลายองศา!

 

ซูว! ซูว! ชูว! ซูว! ซว! ชูว! ชูว!

 

ด้วยไอพลังเยียบเย็นที่แผ่ปกคลุมไปในบรรยากาศ ไม่ต้องให้ใครบอกต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าจักรพรรดิอมตะหนามม่วงเชี่ยวชาญกฏน้ําแข็ง

 

หนึ่งโทสะ แช่แข็งไปพันลี้ย

 

“ท่านอาจารย์!”

 

สีหน้าลี่เฟยเปลี่ยนไปอยู่บ้าง ด้วยไม่คิดว่าอาจารย์จะมีโทสะขนาดนี้ ขณะเดียวกันนางก็ทําอะไรไม่ถูก เรื่องนี้ตัวเลวร้ายดันไม่ปรึกษากับนางก่อนเลย อยู่ๆก็เอามาพูดกับอาจารย์โดยตรง!

 

ลี่เฟยรู้ดี ว่าอาจารย์ตั้งความหวังไว้กับตัวนางมากขนาดไหน

 

ตอนนี้ไม่พ้นอาจารย์ต้องกําลังคิดว่า หากนางติดตามสามีไป อนาคตอันใดของนางล้วนจบสิ้นความหวังทั้งมวลเป็นอันต้องพังทลายแน่แท้!!