ไหวอินหนึ่งในสิบคนของแผ่นดินกลางมีสีหน้าปั้นยาก พอได้เจอกับอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น ความคิดก็ขยับไหวเล็กน้อย จากนั้นรีบนับนิ้วคำนวณ พิถีพิถันในเรื่องการ ‘คิดในใจแบบอ้อมเส้นทาง’ อย่างยิ่ง ทำไมถึงยิ่งรู้สึกว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ทับซ้อนเข้ากับ ‘สหายเฉิน’ ในอุตรกุรุทวีปที่ไหวเฉียนเคยย้ำพูดถึงนักนะ? หรือว่าจะเป็น ‘เจ้าโจรเจ้าเล่ห์’ ที่อยู่ข้างกายซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูใหญ่คนนั้นจริงๆ? ตามคำกล่าวของไหวเฉียน คนผู้นี้ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด กลอุบายลึกล้ำ เชี่ยวชาญการหลบเลี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง ความสามารถในการรักษาตัวรอดและการเก็บตกของดีเรียกได้ว่าสุดยอดเป็นอันดับหนึ่ง
เฉาผู่ราชครูแคว้นเส้าหยวน ในที่สุดก็ได้พบเจอกับใต้เท้าอิ่นกวานที่ลูกศิษย์หลินจวินปี้คิดถึงคำนึงหาอยู่ตลอดเวลาเป็นครั้งแรก
ปีนั้นเฉินผิงอันยังเคยฝากให้หลินจวินปี้นำความไปมอบแก่ราชครูเส้าหยวนที่มีชาติกำเนิดจากสายหย่าเซิ่ง คือหลักการเหตุผลไม่เล็กไม่ใหญ่ข้อหนึ่ง สันดานมนุษย์นั้น ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่าดีหรือเลว พูดถึงแค่คนดีกับจิตใจที่ดีงาม บอกว่าจิตใจที่ดีงามของคนก็คือแสงของตะเกียง มีอยู่กลาดเกลื่อนทั่วทุกหนแห่งในโลกมนุษย์ แค่ต้องดูว่าคนข้างกายจะยินดีลืมตามองหรือไม่
สตรีที่เป็นเซียนเหรินของหลิวเสียทวีปอย่างชงเชี่ยนรู้สึกคุ้นหน้าอิ่นกวานผู้นี้อยู่ไม่น้อย
ไม่ใช่รูปโฉม แต่เป็นดวงตาคู่นั้น
คิดไปคิดมานางก็พลันเบิกตากว้าง ชายฉกรรจ์ที่อยู่บนทะเลใกล้กับเกาะหลูฮวา เจ้าคนที่เรียกตัวเองว่าเฉาโม่เค่อชิงแห่งสำนักกุยหยกตอนอยู่ถ้ำแห่งโชควาสนา แต่ตอนที่ชงเชี่ยนได้พบเจอเขาได้มีเรือข้ามฟากเพิ่มมาลำหนึ่ง ตอนนั้นบนเรือยังมีเด็กอยู่ด้วยเก้าคน
ใช่แล้ว มีเพียงอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น ถึงจะสามารถพาตัวอ่อนด้านการฝึกตนเก้าคนมาไว้ข้างกาย ‘เดินอาดๆ โอ้อวดตน’ ตอนอยู่ในแถบน่านน้ำมหาสมุทรของสำนักอวี่หลงได้
ตอนนั้นชงเชี่ยนยังพูดคุยกับเขาสองสามประโยค เจ้าหมอนี่บอกว่าตัวเองรู้จักเจียงซ่างเจิน ทว่าเจ้าคนที่มีหัวใจมากมายเป็นกระบุงโกยผู้นั้นกลับไม่รู้จักเขา เวลานั้นอีกฝ่ายพูดด้วยสีหน้าที่จริงใจยิ่ง
มาย้อนนึกดู ตอนนั้นเฉินผิงอันผู้นี้คงจะอาศัยถุงหอมที่นางพกติดตัวมาวิเคราะห์ได้ถึงตัวตนของนางที่เป็นเจ้าของพื้นที่มงคลซงอ่าย เป็นศิษย์พี่หญิงของเซียนเหรินฉินจ่าวแห่งธวัลทวีปอย่างแน่นอน
ดีนักนะ เสแสร้งเก่งเสียจริง ไม่เสียแรงที่เป็นใต้เท้าอิ่นกวาน มิน่าเล่าถึงยืนอยู่ข้างอาเหลียงได้
‘ระหว่างที่เดินทางมา’ อาเหลียงใช้ความเร็วที่ฟ้าผ่าไม่ทันป้องหูสวมชุดลัทธิขงจื๊ออย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่งกายสะอาดสะอ้านหมดจด ไม่เหลือความมอมแมมสกปรกอีกแม้แต่น้อย เวลานี้มายืนอยู่ตรงกลางระหว่างเฉินผิงอันกับจั่วโย่ว คาดว่าคงเป็นเพราะถูกชุดลัทธิขงจื๊อบนร่าง ‘สยบกำราบบนมหามรรคา’ ในที่สุดถึงพอจะมียางอายขึ้นมาบ้าง รู้จักหันหน้าไปอีกทางก่อน แล้วค่อยถ่มน้ำลายลงฝ่ามือ เอามาลูบเส้นผม ใช้ฝ่ามือดันผมตรงจอนหูสองข้างอย่างระมัดระวัง ครั้นจึงเอ่ยกับจั่วโย่วเบาๆ ว่า “คนมากมายขนาดนี้ต่างหันมามองข้า ทำให้คนลำบากใจยิ่งนัก”
จั่วโย่วพยักหน้า “คนหนึ่งในนั้นยังมีฮูหยินภูเขาชิงเสินด้วย”
อาเหลียงที่ตรงเอวห้อยดาบไม้ไผ่ซึ่งทำมาจากไม้ไผ่ของภูเขาชิงเสินตามองตรงไปข้างหน้าไม่ล่อกแล่ก ยอมสงบปากสงบคำแต่โดยดี
ลู่จือเริ่มหลับตาทำสมาธิ
ก่อนที่จะเข้าร่วมงานประชุม ตอนที่อยู่สวนกงเต๋อ จั่วโย่วได้ถามเฉินผิงอันว่าจะรับมือกับการประชุมที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างไร เฉินผิงอันตอบเรียบง่ายยิ่ง ข้ารู้ว่าตัวเองคือใคร เคยทำอะไร ทำอะไรสำเร็จมาบ้าง ทำอะไรไม่สำเร็จบ้าง ถึงเวลานั้นเข้าร่วมการประชุมก็มองให้มากพูดให้น้อย หากไม่ต้องพูดได้ก็จะต้องปิดปากเงียบทำตัวเป็นคนใบ้
สวี่ป๋ายยืนอยู่ในกลุ่มของเหล่าบรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนักที่มีจำนวนมากมาย อันที่จริงเขาไม่ได้ผ่อนคลายมากนัก
ผู้ที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ผู้ฝึกตนที่อายุน้อยที่สุด อันที่จริงไม่ใช่เฉินผิงอัน แต่เป็นสวี่ป๋ายที่ได้รับคำเรียกขานว่า ‘เจียงไท่กงตอนเป็นเด็กหนุ่ม’ ทุกวันนี้เขาเพิ่งจะอายุสามสิบปีเท่านั้น
หนึ่งในตัวสำรองคนรุ่นเยาว์สิบคนผู้นี้ เมื่อเทียบกับอิ่นกวานหนุ่มของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉาสือผู้ฝึกยุทธแห่งราชวงศ์ต้าตวน หยวนพางลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายหย่าเซิ่งแล้ว ก็ยังอายุน้อยยิ่งกว่า
ทว่าเวลานี้สวี่ป๋ายรู้สึกเพียงความกระอักกระอ่วนเท่านั้น
หากไม่เป็นเพราะบรรพจารย์ผู้เฒ่าเจียงดึงดันจะลากตัวเขามาด้วย ให้ตายอย่างไรสวี่ป๋ายก็ไม่มีทางมาโผล่หน้าที่นี่เป็นแน่ ต่อให้เขากับพวกหยวนพางจะเคยเป็นหน่วยจวินจีหลาง (หน่วยที่วางแผนการทางยุทธการ/แผนการทางการสู้รบ) ที่ศาลบุ๋นจัดตั้งขึ้นมาอย่างลับๆ มีกันสามสิบกว่าคน มาจากศาลบุ๋น สำนักการทหาร สำนักหยินหยาง สำนักจ้งเหิง ฯลฯ ต่างก็เป็นคนอายุน้อยมากความสามารถที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงและของเมธีร้อยสำนัก ต่างก็เคยสร้างอิทธิพลต่อทิศทางการดำเนินไปของสนามรบบางแห่งในห้าทวีปในระดับที่แตกต่างกัน
เพียงแต่ว่าศาลบุ๋นไม่เคยป่าวประกาศเรื่องนี้ ดังนั้นการดำรงอยู่ของคนหนุ่มสาวเหล่านี้ ในด้านชื่อเสียงจึงห่างไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับคฤหาสน์หลบร้อนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ติด ในบรรดาคนเหล่านี้ก็มีคนผู้หนึ่งที่สถานะพิเศษอย่างยิ่ง หลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวน เขาเป็นเพียงคนเดียวที่เป็นทั้งผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน แล้วก็เป็นทั้งคนหนุ่มหน่วยจวินจีหลางของศาลบุ๋น แต่กระนั้นหลินจวินปี้ก็ยังไม่อาจเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ได้
ส่วนสวี่ป๋ายที่เพราะอายุน้อยที่สุด ดังนั้นจึงถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องทิ้งชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์ อันที่จริงก็เป็นเพราะเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะสายหนึ่งของสำนักการทหาร เป็นเพราะเซียนกระบี่ใหญ่แห่งแจกันสมบัติทวีปท่านนี้ยอมถอยให้ เขาถึงสามารถมาปรากฏตัวที่นี่ได้
และความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่าความคิดนี้ของสวี่ป๋าย ไม่ใช่แค่เขาที่คิดมากไปเอง
เพราะมีสายตาของผู้อาวุโสบนยอดเขาหลายท่านที่ไม่ปกปิดความเย็นชา เย้ยหยัน ดูแคลนเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้เห็นเด่นชัดนัก ทว่าการปิดบังอำพรางก็มีตื้นลึกต่างกันไป ทว่าสวี่ป๋ายสามารถอาศัยพรสวรรค์อย่างหนึ่งของตนมารับสัมผัสได้อย่างเลือนราง ที่น่ากลัวที่สุดยังเป็นผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาหลายท่านที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับสำนักการทหาร ในนาทีหนึ่งมองดูเหมือนหันมายิ้มแย้มให้ตน ทว่าความคิดจิตใจกลับเย็นชายิ่ง
สวี่ป๋ายเองก็ไม่ถือสาสายตาดูแคลนของพวกคนที่เหมือนหลุบตามองเขาจากที่สูงเหล่านี้ แล้วก็ไม่อาจไปถือสาอะไรได้ด้วย เขาจึงได้แต่มองไปยังอิ่นกวานหนุ่มพร้อมกับคนอื่นๆ สีหน้าสุขุมเยือกเย็น ไม่ได้มีลักษณะของคนบ้าคลั่งที่นิสัยพยศยากกำราบอย่างที่จินตนาการไว้ แต่เป็นบุคลิกของคนที่สง่างามอ่อนโยนราวกับหยก
ในความคิดเดิมของสวี่ป๋าย สามารถหยัดยืนอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างมั่นคง แล้วยังสามารถใช้สถานะของคนนอกที่เดินทางไกลมาท่องเที่ยวมารับหน้าที่เป็นอิ่นกวาน ปรมาจารย์ใหญ่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่บนเส้นทางการเดินขึ้นสู่ที่สูงของการเรียนวรยุทธไม่มีทางลัดใดๆ ให้ก้าวเดิน จะต้องเป็นคนหนุ่มที่ฉายประกายคมกริบอย่างถึงที่สุด
แน่นอนว่าคนเราไม่อาจมองกันแต่ภายนอกได้ นิสัยที่แท้จริงของอิ่นกวานผู้นี้เป็นอย่างไร ตอนนี้ยังไม่อาจบอกได้
ข้างกายของหลี่เซิ่งมีหย่าเซิ่งและซิ่วไฉเฒ่ายืนอยู่
เพียงแต่ว่าซิ่วไฉเฒ่าในทุกวันนี้ยังคงไม่ใช่เหวินเซิ่งอยู่เหมือนเดิม
ซิ่วไฉเฒ่ามองมายังลูกศิษย์คนสุดท้ายของตัวเองแล้วใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ไม่ใจฝ่อ ไม่ขลาดกลัว สมเหตุสมผล ถูกต้องชอบธรรมตามหลักฟ้าดิน!”
แต่จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “เพียงแต่ว่าเป็นเช่นนี้จะไม่ทำให้เทพเซียนผู้เฒ่าหลายคนที่จิตใจคับแคบรู้สึกขวางหูขวางตา รู้สึกขัดใจหรอกหรือ? จัดการแบบนี้ไม่เหมาะเลยนะ”
ครั้งนี้หย่าเซิ่งไม่ได้รู้สึกว่าซิ่วไฉเฒ่าได้เปรียบแล้วยังเรียกร้องไม่พอใจ
มหาสมุทรความรู้กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ถามแต่เรื่องหว่านไถ ไม่ถามหาผลเก็บเกี่ยว คนหลายคนบนภูเขาขอบเขตสูง แต่แท้จริงแล้วไม่ได้หมายความว่าจะบ่มเพาะจิตใจได้ลึกล้ำยาวไกล ยังคงชอบมองแต่ผลเก็บเกี่ยว ไม่ถามเรื่องการหว่านไถอยู่เหมือนเดิม
สายตาที่คนเหล่านี้มองคนหนุ่มแปลกหน้าที่ดูเหมือนว่าอยู่ดีๆ ก็โผล่มาบนโลกผู้นี้ ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ทำไมถึงได้เป็นอิ่นกวาน กลายมาเป็นอิ่นกวานได้อย่างไร หลังจากผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วก็แทบจะเท่ากับว่าตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ต้องเผชิญหน้ากับแผนการของกระโจมเจี่ยจื่อและมหาสมุทรความรู้โจวมี่ ต้องคอยคุมเชิงกับผู้ฝึกกระบี่หลงจวินอยู่ทุกวัน…เรื่องราวในอดีตเหล่านี้ พวกเขามักจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น และการที่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้ยินในทุกๆ ครั้ง ก็จะกลายเป็นหมื่นหนึ่งในการฝึกตนบนภูเขา หากพบเจอเข้าโดยบังเอิญ ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องไม่คาดฝันที่อันตรายอย่างมาก
หลี่เซิ่งเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “อยากจะขัดใจก็ขัดใจไปสิ ใครรู้สึกว่าไม่เหมาะสมก็ให้เขามาหาข้า”
หย่าเซิ่งยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ “ความสมเหตุสมผลส่วนนั้นของเฉินผิงอัน ไม่ใช่มาจากพละกำลังอันเปี่ยมล้นของคนหนุ่ม แต่มาจากผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่รบตายไป เขาในฐานะที่เป็นอิ่นกวานจำเป็นต้องยืดอกตั้งยืนอยู่ตรงนี้ เทพเซียนผู้เฒ่าที่แม้แต่เหตุผลเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจ รู้สึกว่าขัดใจ ขวางหูขวางตา ถ้าอย่างนั้นก็จงทนอัดอั้นไปเสียโดยดีเถอะ วันนี้ใครมีวี่แววว่าไม่เก็บซ่อนอารมณ์ให้ดี เหวินเซิ่งเจ้าก็จดลงบัญชีได้เลย วันหน้าเจ้าค่อยให้คนผู้นั้นชดใช้ ครั้งนี้ข้าจะไม่ขัดขวางแล้ว”
หลังจากที่เฉินผิงอันได้เป็นอิ่นกวาน ตอนอยู่ภูเขาห้อยหัวเคยหาตัวปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในใต้หล้าไพศาลอย่างมิดชิดเจอ จึงร่วมมือกับเฉินฉุนอันสังหารอีกฝ่ายตอนอยู่บนเรือข้ามฟากเหนือมหาสมุทร ทว่าคนหนุ่มกลับไม่ละโมบในคุณความชอบ
ภายหลังระหว่างที่เดินทางกลับคืนบ้านเกิด ได้ผ่านใบถงทวีป ก็ไปเจอกับตราประทับตำรา ‘หนอนหนังสือเฒ่า’ ของโจวมี่อีกชิ้นหนึ่ง แล้วก็สั่งให้คนนำมามอบให้ศาลบุ๋นอย่างรวดเร็ว
วางตัวดีเยี่ยม รอบคอบพร้อมด้วยประสบการณ์ ทำอะไรก็อยู่ในกฎในเกณฑ์
ดังนั้นต่อให้เฉินผิงอันจะมาจากสายเหวินเซิ่ง แต่หย่าเซิ่งก็ยังคงชื่นชมคนหนุ่มที่เป็นเช่นนี้
ไม่ได้ทรยศขนบธรรมเนียมออกไปเดินเส้นทางนอกรีตเพียงลำพังอย่างซิ่วหู่ชุยฉาน ไม่ได้อยู่คนเดียวเดียวดาย มีเพียงออกกระบี่อธิบายเหตุผลอย่างเช่นจั่วโย่ว ไม่ได้เป็นดั่งนกกระเรียนป่าโบยบิน ท้องฟ้าติดตามข้าไปอย่างหลิวสือลิ่ว
พูดง่ายๆ ก็คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งเต็มใจอธิบายเหตุผลกับคนอื่นด้วยความอดทนอย่างมาก
เถ้าแก่ร้านเหล้าคนหนึ่งที่ยินดีนั่งอยู่สุดตรอกบนหัวถนน เล่าเรื่องขุนเขาสายน้ำให้พวกเด็กๆ ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ฟัง บัณฑิตคนหนึ่งที่ยินดีเปลืองแรงแต่ไม่เป็นที่ชื่นชอบ ไม่กังวลว่าจะถูกผู้ฝึกกระบี่ผลักไส แต่ก็ยังต้องเอ่ยถ้อยคำที่เป็นความจริงซึ่งไร้อคติเอียงเอนเพื่อใต้หล้าไพศาลสักสองสามประโยคให้จงได้
อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่เล็กมากที่แม้แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ทว่านี่กลับทำให้สถานศึกษาใหญ่สามแห่งและสำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งของศาลบุ๋นรู้สึกดีกับเฉินผิงอันอย่างมาก
เก้าทวีปในไพศาล เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาใหญ่แต่ละแห่งล้วนเคยได้ยินเรื่องนี้มาแทบทุกคน และอริยะปราชญ์จำนวนไม่น้อยก็เคยผงกศีรษะคลี่ยิ้มอย่างชื่นชม
ไม่เคยไปเยี่ยมเยือนอริยะลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าอยู่ที่นั่นแม้แต่ครั้งเดียว อยู่ในต่างบ้านต่างเมือง แต่กลับไม่เคยเอ่ยถ้อยคำที่แสดงความไม่พอใจต่อสายหย่าเซิ่งแม้แต่ครึ่งประโยค ต่อให้อยู่บนโต๊ะเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่สามารถพูดจาอย่างไร้ยำเกรงได้ที่สุด ก็ยังไม่เคยพูด
บนเส้นทางของชีวิตคน ดูเหมือนว่าคำพูดและการกระทำทุกอย่างของคนคนหนึ่งล้วนเป็นดั่งต้นหญ้าที่ถือกำเนิดแล้วเริ่มผลิดอกออกผล บ้างนานบ้างสั้น หนึ่งปีเดี๋ยวโรยราเดี๋ยวเบ่งบาน บ้างใหญ่บ้างเล็ก บ้างเป็นมวลบุปผารวมกลุ่มชูช่อ บ้างเป็นต้นไม้เขียวครึ้มรวมกันเป็นผืนป่า
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับอย่างแรง “ประเสริฐ ประเสริฐยิ่ง”
ดูท่าหย่าเซิ่งผู้นี้จะมีไฟโทสะไม่น้อยเลยนะ
ซิ่วไฉเฒ่ารู้สาเหตุ สาเหตุครึ่งหนึ่งนั้นมาจากสิ่งที่เฉินฉุนอันผู้รอบรู้ต้องประสบพบเจอ
ส่วนหลี่เซิ่ง ครั้งนี้ก็ยิ่งแสดงออกถึง ‘กฎระเบียบ’ ที่ไม่เหมือนปกติอย่างการประชุมฝ่ายในของศาลบุ๋นก่อนหน้านี้ ยกตัวอย่างเช่นเกี่ยวกับตัวเลือกเสริมตำแหน่งเจ้าขุนเขาเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาที่ยังว่างอยู่ ก็แทบต้องฟังคำของหลี่เซิ่งเพียงคนเดียว นับตั้งแต่หย่าเซิ่งไปจนถึงซิ่วไฉเฒ่า จนไปถึงเจ้าลัทธิสามท่านของศาลบุ๋นและพวกคนเฒ่าคนแก่อย่างฝูเซิ่งนี้ ล้วนได้แต่ฟังแล้วทำตามระเบียบข้อบังคับเท่านั้น ไม่เพียงเท่านี้เรื่องอื่นๆ ที่เอามาพูดคุยในการประชุมของศาลบุ๋นก็ต้องรอให้หลี่เซิ่งกำหนดกฎเกณฑ์เสียก่อน ทางฝั่งของอริยะปราชญ์เจ้าขุนเขาทั้งหลายของศาลบุ๋น วันนี้จึงไม่มีทางมีความเห็นต่างๆ ใดๆ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่คำถามก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีด้วย
น่าเสียดายที่คนที่เข้าร่วมการประชุมในวันนี้ต่างก็ไม่ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสามในเวลานี้
ไม่อย่างนั้นก็จะมีพื้นที่เหลือให้ขบคิดออกมาเป็นความรู้มากมายแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเอ่ยว่า “อันที่จริงเจ้าเด็กหยวนพางนั่นก็ไม่เลวเลย”
หย่าเซิ่งเงียบงัน
หลี่เซิ่งเอ่ยเสียงเบา “สามารถเริ่มได้แล้ว”
หย่าเซิ่งพยักหน้ารับเบาๆ แล้วเปิดปากพูดว่า “เรื่องแรก ข้าจะเป็นคนแนะนำเจ้าขุนเขาของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการของสถานศึกษา”
พูดถึงแค่ใบถงทวีป ทักษินาตยทวีป ฝูเหยาทวีป เกราะทองทวีป เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาก็ล้วนรบตายกันไปหมดแล้ว ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่คนเดียว
นอกจากนี้วิญญูชนและนักปราชญ์ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ คนที่รบตายไป ก็มีแต่จะมากยิ่งกว่า
สำนักศึกษาหนันซี สำนักศึกษาจื่อหยาง สำนักศึกษาเหิงฉวี สำนักศึกษาเอ๋อหู สำนักศึกษาเซี่ยงซาน สำนักศึกษาไหวถัง สำนักศึกษาเจียคัง สำนักศึกษาลั่วเซวี๋ย สำนักศึกษาเจี้ยนหู สำนักศึกษาเหลียนซี สำนักศึกษากวานหู สำนักศึกษาซานหยา สำนักศึกษาอวี๋ฝู สำนักศึกษาต้าฝู…
เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแต่ละท่าน หลังจากถูกหย่าเซิ่งขานชื่อแล้วต่างก็หันไปคารวะทุกคน
คนหนึ่งในนั้นก็มีเจ้าขุนเขาคนใหม่ของสำนักศึกษาเหิงฉวี หยวนพาง
คือเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของศาลบุ๋น
ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาสามแห่งยังคงเป็นคนหน้าเก่า ทว่าในบรรดารองผู้อำนวยการกลับมีเหมาเสี่ยวตงที่เป็นรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาซานหยาเพิ่มเข้ามา แต่ได้เปลี่ยนจากสายเหวินเซิ่งมาอยู่สายหลี่เซิ่งแล้ว
ตอนที่เหมาเสี่ยวตงคารวะ เขาหันหน้าตรงเข้าหาซิ่วไฉเฒ่าพอดี
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เมล็ดพันธ์บัณฑิตเมล็ดหนึ่ง ผลิดอกยิ่งใหญ่ จะอยู่ในสวนของบ้านตนหรือไม่ อันที่จริงไม่ได้สำคัญขนาดนั้น เพราะเมื่อหันกลับไปมองก็ยังคงเป็นทัศนียภาพที่งดงามอยู่ดี
แล้วนับประสาอะไรกับที่นิสัยใจคอและวิถีการศึกษาหาความรู้ของเหมาเสี่ยวตง เกิดมาก็เหมาะสมกับสายหลี่เซิ่งมากกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถูกกักขังอยู่กับรั้วของสายบุ๋นแล้ว
อีกอย่างวันหน้ายามที่ทะเลาะกับคนในศาลบุ๋น เหมาเสี่ยวตงนั้นขึ้นชื่อว่าเคารพครูบาอาจารย์ไม่ลืมกำพืดตัวเองที่สุด ถึงเวลานั้นจะต้องเป็นแม่ทัพผู้กล้าที่เป็นกองหนุนให้เขาได้อย่างดีเยี่ยมแน่นอน
ไม่ขาดทุน ได้กำไรเน้นๆ
สุดยอดวิชาที่มีเพียงความรู้ใจกันโดยไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยนี้ ก็มีแค่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขาเท่านั้นที่ได้รับถ่ายทอดแก่นแท้ของวิชาไปมากที่สุด
เจ้าทึ่มจั่วโย่วกับเจ้าโง่จวินเชี่ยนนั่น ในด้านนี้ห่างชั้นจากศิษย์น้องเล็กของพวกเขาไปหนึ่งแสนแปดพันลี้ สองวันก่อนพวกเจ้าที่เป็นศิษย์พี่สองคนยังอยากจะสอนกระบี่สอนหมัดให้ศิษย์น้องเล็กอยู่เลยไม่ใช่หรือ ข้าผู้เป็นอาจารย์จะกลับมาดูที่สวนกงเต๋อทุกๆ สามวันห้าวัน พวกเจ้าที่คิดจะใช้เรื่องส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัวทำไมไม่ถ่ายทอดเวทกระบี่ ไม่สอนวิชาหมัดเสียแล้วเล่า? ไส้แค่ไม่กี่ขดนั้นของพวกเจ้า เอามารวมกันเป็นกับแกล้มเหล้าจานหนึ่งยังไม่ได้เลย จะดีจะชั่วศิษย์น้องเล็กของพวกเจ้าก็เป็นคนที่ต้องเข้าร่วมการประชุมศาลบุ๋น คนหนุ่มหล่อเหลาเพียงนั้น เฉาสือบวกกับสวี่ป๋าย หยวนพางรวมกันสามคนยังสู้เขาไม่ได้ หากต้องหน้าเขียวจมูกบวมเดินกะเผลกๆ มาเข้าร่วมการประชุม มันเข้าท่าแล้วหรือ?
หลังจากที่หย่าเซิ่งแนะนำเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาและผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการสถานศึกษาเสร็จก็เอ่ยว่า “นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ราชวงศ์ล่างภูเขาของเก้าทวีปในไพศาล บัณฑิตที่รับหน้าที่เป็นเจ้ากรมพิธีการ จะต้องมีสถานะเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อเท่านั้น”
ราชวงศ์ใหญ่สิบแห่งที่เข้าร่วมการประชุม ยกตัวอย่างเช่นฮ่องเต้สกุลหลูต้าหยวนแห่งอุตรกุรุทวีป มีจักพรรดิฮ่องเต้รวมทั้งสิ้นเก้าพระองค์ เพราะยังต้องเพิ่มซ่งจ่างจิ้งไปอีกคน
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้สกุลหลูมีความรู้สึกไม่ต่างจากจักรพรรดิอีกแปดพระองค์สักเท่าไร ตกตะลึง ประหลาดใจ สะท้านสะเทือน แน่นอนว่ายังทำการชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างว่องไวตามจิตใต้สำนึกด้วย
ซ่งจ่างจิ้งกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่ยกสองแขนกอดอก หลับตารวบรวมสมาธิ ลมหายใจทอดยาว
ฮ่องเต้สกุลหลูขยับเส้นสายตามองไปด้านข้างเล็กน้อย หยางชิงข่งแห่งหน่วยฉงเสวียนที่ทำหน้าที่เป็นราชครูก็รีบใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนทันที “ฝ่าบาทแค่รับฟังไปก็พอพะยะค่ะ”
บนลานกว้างศาลบุ๋น
มีแต่ความเงียบสงัด เงียบไร้สรรพสำเนียง
บางคนที่ไม่ใช่เรื่องของตนจึงวางตัวอยู่นอกเหนือเรื่องราว ยกตัวอย่างเช่นพวกเทพภูเขาและหูจวินผู้ครองทะเลสาบที่มีสถานะสูงศักดิ์ อาณาเขตการปกครองไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ของหนึ่งแคว้น และยังมีฮูหยินภูเขาชิงเสินแห่งถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ เหล่าเจ้าของถ้ำอย่างเทพีบุปผาพื้นที่มงคลร้อยบุปผา เจ้าของพื้นที่มงคล จำนวนของทั้งสองฝ่ายรวมกันแล้วก็มีทั้งสิ้นยี่สิบหกคน สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่บ้างก็ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่ง บ้างก็คล้ายผู้ที่แยกตัวไปตั้งตนอย่างอิสระเหล่านี้ ย่อมไม่มีความเห็นต่างใดๆ อยู่แล้ว
——