บทที่ 786.3 ไม่มีอะไรให้พูด

กระบี่จงมา! Sword of Coming

และยังมีบางคนที่ไม่ยินดีจะเปิดปากพูดโดยพลการ นี่เป็นญัตติแรกที่ศาลบุ๋นเสนอออกมาอย่างเป็นทางการในวันนี้ เวลาเช่นนี้ใครลุกเดินออกมา แสดงท่าทีคลางแคลง ก็ง่ายที่จะต้องเจอเรื่องซวย ยกตัวอย่างเช่นเจ้าสำนักของสำนักที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับราชวงศ์ล่างภูเขาทั้งหลาย ไม่ว่าการฝึกตนบนภูเขาในยามปกติจะมีสายตา มีท่าทีต่อล่างภูเขาอย่างไร ทว่าเจ้าสำนักทุกท่านล้วนเข้าใจเรื่องหนึ่งอย่างชัดเจนดี การฝึกตนในใต้หล้า การที่สำนักแห่งหนึ่งจะยืนหยัดได้ แท้จริงแล้วราชวงศ์และมนุษย์ธรรมดาล่างภูเขาต่างหากถึงจะเป็นต้นกำเนิดน้ำเป็นที่ไหลขึ้นสู่เบื้องบน การฝึกตนบนภูเขาเพื่อพิสูจน์มรรคาเป็นอมตะ แตกกิ่งก้านสาขา ต้องมีคนรุ่นหลัง ศาลบรรพจารย์จำเป็นต้องมีผู้สืบทอด ทำเนียบหยกทองทุกฉบับบนภูเขาล้วนจำเป็นต้องเพิ่มชื่อลงไปในหน้าท้ายๆ ในหนึ่งสำนักหนึ่งตระกูล ส่วนใหญ่แล้วบนภูเขาต้องมีต้นไม้มากมายกลายเป็นผืนป่า ผู้ฝึกตนใหญ่ก็ต้องการลูกศิษย์มาสืบทอดวิชาแต่ละแขนงของตนออกไป ไม่ปล่อยให้ควันธูปขาดสะบั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลชนชั้นสูงทั้งหลายที่หยั่งรากลึกยาวนานนับพันปี อันที่จริงกลับมีความคิดและอยากจะพูดในเรื่องนี้มากที่สุด ทว่าก็ยังคงไม่มีใครบุ่มบ่ามเปิดปากพูดออกมา

หลี่เซิ่งยิ้มเอ่ยเนิบนาบว่า “ไม่ต้องเกร็งกันมากนัก จะยืนจะนั่งล้วนตามแต่ใจ ขอบเขตบินทะยานไม่ต้องกดภาพบรรยากาศของผู้ฝึกตนเอาไว้ ผู้ฝึกยุทธก็ไม่ต้องจงใจควบคุมพลังอำนาจบนร่าง ผู้ฝึกกระบี่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำทั้งหลายก็ใช้หลักการเดียวกัน”

สถานที่ประชุมคือลานกว้างของศาลบุ๋น แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกคนล้วนอยู่ในฟ้าดินของหลี่เซิ่ง

ฝูลู่อวี๋เสวียนเป็นคนแรกที่ร่ายเวทคาถานั่งลงขัดสมาธิ ถอนเวทอำพรางตาออกไปอย่างเงียบเชียบ ชุดคลุมเต๋าสีม่วงตัวหนึ่งที่กว้างหลวม ด้านหลังของชุดวาดเป็นรูปปลาหยินหยางสองสีขาวดำ

น้ำเต้าบรรจุเหล้าที่ห้อยไว้ตรงเอวก็เริ่มปลดปล่อยประกายแสงดาวเจิดจ้า ราวกับว่าหลอมธารดวงดาวพร่างพราวเส้นหนึ่งได้สำเร็จแล้ว

ฮว่อหลงเจินเหรินก็ตามหลังมาติดๆ ลอยตัวนั่งอยู่กลางอากาศ สองมือวางทับซ้อนกันไว้ตรงหน้าท้องเริ่มงีบหลับ กึ่งหลับกึ่งตื่น มังกรเพลิงสองตัวที่อยู่บนชายแขนเสื้อสองข้างเริ่มเลื้อยออกมาช้าๆ

เทียนซือใหญ่คนปัจจุบันของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ที่สะพายกระบี่ไม้ท้อไม่ใช่กระบี่เซียนว่านฝ่าก็เริ่มนั่งลงเช่นเดียวกัน มีเบาะรองนั่งใบหนึ่งโผล่ออกมา จ้าวเทียนไล่เริ่มเข้าฌานทำสมาธิ

ไม่รู้ว่าเหตุใดกวอโอ่วทิงแห่งภูเขาต้นไม้เหล็กคล้ายจะได้รับบาดเจ็บไม่เบา ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนี้ก็ไม่ทำตัวเกรงใจ เรียกกระจกที่เปี่ยมไปด้วยปณิธานเก่าแก่โบราณอันหนึ่งออกมาโดยตรง แล้วเริ่มรักษาบาดแผล กระจกบานหนึ่งที่ถูกปีศาจใหญ่ซึ่งมีฉายาว่าโยวหมิงตนนี้หลอมใหญ่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต แต่กระนั้นเมื่อเทียบกับเรือนกายของเจ้าของมันแล้ว มันก็ยังคงใหญ่โตเหมือนเนินเขาลูกหนึ่งอยู่ดี

ไหวอินแห่งตำหนักเฟยเซียนนั่งลงบนเตียงหลังเล็ก

หลิวทุ่ยผู้ฝึกตนใหญ่แห่งฝูเหยาทวีปที่มีใบหน้าเป็นเด็กหนุ่มหน้าเหยี่ยวก็นั่งลง ด้านหน้าวางโต๊ะตัวหนึ่ง กับกระถางธูปหนึ่งใบที่ควันธูปสีม่วงลอยกรุ่น

คนหลายคนที่เดิมทีคิดจะเอาอย่าง ทำตัวตามสบายบ้าง พอเห็นภาพเหตุการณ์ทางฝั่งของกวอโอ่วทิงแล้ว ส่วนใหญ่หลังจากสองจิตสองใจอยู่พักหนึ่งก็ยังคงเลือกที่จะยืนอยู่เหมือนเดิม

เพราะหลังจากที่กวอโอ่วทิงเรียกบรรพบุรุษกระจกส่องมารที่ชื่อเสียงสะเทือนไปทั่วหล้าบานนั้นออกมา กระจกก็ใหญ่ราวเบาะรองนั่ง ทว่าร่างของกวอโอ่วทิงกลับเปลี่ยนเป็นเล็กเท่าเมล็ดงา

ไม่ใช่ว่ากวอโอ่วถิงตั้งใจร่ายวิชาอภินิหารเพื่อแสดงความเคารพต่อหลี่เซิ่งอะไร และหลี่เซิ่งเองก็ไม่ได้จงใจเป็นปรปักษ์กับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตบินทะยานตนนี้

ฟ้าดินของอริยะ กฎเกณฑ์เป็นไปตามธรรมชาติ

เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวเอาสองมือไพล่หลัง มองประเมินบุคคลที่อยู่สองฟากฝั่งอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ มองพวกเกาเจินลัทธิเต๋าที่ภาพบรรยากาศแตกต่างกันไป แล้วก็หันไปมองภิกษุสมณศักดิ์สูงของลัทธิพุทธบ้าง

เจิ้งจวีจงย่อมมีความสามารถในการมองเห็นกายธรรมของนักพรตและรัศมีทรงกลดของภิกษุสมณศักดิ์สูง

นอกจากภิกษุเหลี่ยวหรานแห่งวัดเสวียนคงที่มือหนึ่งถือประคองใบไม้หนึ่งใบ กำลังก้มหน้าเพ่งสายตามองนิ่ง คิดว่าจะทำอย่างไรใบไม้บนฝ่ามือถึงจะกลายเป็นใบไม้บนต้นไม้แล้ว

ก็ยังมีภิกษุอีกคนหนึ่ง ข้างกายมีลำธารเส้นเล็กบางคล้ายแม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลริน คล้ายกับถูกภิกษุใช้พระธรรมดักกั้นเอาไว้ให้โอบล้อมไปรอบกาย กระแสน้ำไหลรินช้าๆ แบ่งออกเป็นตัวอักษรสีทองสามคำว่ากู้ เจี้ยน อี๋ ที่ตั้งตระหง่านไม่เคลื่อนไหว ด้านหลังภิกษุถึงกับมีรัศมีแสงกายธรรมของจักรพรรดิโอรสสวรรค์แห่งโลกมนุษย์ที่พร่าเลือนปรากฎขึ้นมา

ภิกษุรูปหนึ่งที่อยู่ข้างกาย กายธรรมที่จำแลงออกมาด้านหลัง คือแม่ทัพบู๊น่าเกรงขามคนหนึ่ง มือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือหนึ่งกดกระบี่ยาว ตรงข้างเท้ามีสิงโตนอนหมอบอยู่กับพื้น

ภิกษุอีกคนหนึ่งก้มหน้าลงต่ำ พนมสิบนิ้ว กายธรรมด้านหลังที่จำแลงออกมาลักษณะคล้ายผู้เฒ่าชาวนาที่กำลังเดินอยู่กลางคันนา แต่ละก้าวรอบคอบสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียว

และยังมีภิกษุวัยชราแก่หง่อมอีกคนหนึ่งที่เรือนกายผ่ายผอม ดังนั้นใจจึงมีสามคำถามแห่งพระธรรม ตัวอักษรเหล่านั้นแสดงออกเป็นลูกประคำสามพวง ประหนึ่งด่านตัวอักษรสามแห่ง เหล่าพุทธศาสนิกชนในใต้หล้าจึงมองมันเป็นด่านสามแห่งของหวงหลง (มังกรเหลือง)

อาจารย์ต่งเจ้าลัทธิศาลบุ๋นเปิดปากพูดเนิบช้าว่า “เรื่องที่สอง การสร้างเทวรูปของเหวินเซิ่งขึ้นมาใหม่ ตำแหน่งตั้งบูชาในศาลบุ๋นจะไม่เปลี่ยน”

จั่วโย่ว หลิวสือลิ่ว เฉินผิงอัน ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนนี้หันไปคารวะอาจารย์ของตนแทบจะเวลาเดียวกัน

หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่ง เจ้าลัทธิศาลบุ๋นสามคน อริยะปราชญ์ลัทธิงจื๊อทุกคน นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมการประชุมทุกคนต่างก็หันมาหาซิ่วไฉเฒ่า บ้างก็กุมหมัด บ้างก็พนมมือ บ้างก็ก้มศีรษะ บ้างก็ประสานมือคารวะ

ซิ่วไฉเฒ่ารับการคารวะนี้อย่างผึ่งผายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

พูดกันตามจริง มีพิธีการใหญ่อะไรบ้างที่ซิ่วไฉเฒ่าไม่เคยผ่านมาก่อน มีคลื่นมรสุมใหญ่อะไรบ้างที่ไม่เคยประสบมาก่อน งานโต้วาทีของสามลัทธิเขาชนะไปสองครั้ง การประชุมในศาลบุ๋นมีนับครั้งไม่ถ้วน การไปให้ความรู้ที่สำนักศึกษาสถานศึกษาก็มีครั้งแล้วครั้งเล่า ศึกตรีจตุครั้งหนึ่งทำให้เทวรูปถูกย้ายออกมาจากศาลบุ๋น ถูกทุบทำลายจนสิ้น ลูกศิษย์ลูกหากระจัดกระจายกันไปทั่วสารทิศ ซิ่วไฉเฒ่าผสานมรรคากับขุนเขาสายน้ำของสามทวีป เคยกระชากแขนเสื้อปรมาจารย์มหาปราชญ์ เคยทะเลาะกับหลี่เซิ่งหน้าดำหน้าแดง เคยใช้หนึ่งเท้ากระทืบภูเขาลูกหนึ่งของแผ่นดินกลาง เคยยืดคอยาวไปยังม่านฟ้าขอให้เต๋าเหล่าเอ้อฟันลงมา…

ทว่าวันนี้อาจเป็นเพราะลูกศิษย์ทั้งสามคนอยู่ด้วย ซิ่วไฉเฒ่าจึงได้มีสีหน้าจริงจังเป็นพิเศษ

สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่าประสานมือคารวะกลับคืนแก่ทุกคน

ซิ่วไฉเฒ่าที่เป็นเช่นนี้ อันที่จริงมีให้เห็นไม่บ่อยนัก

หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ตอนที่ยังเป็นเหวินเซิ่ง วิชาความรู้เลิศล้ำดุจเทพเทวดา ดุจดั่งตะวันกลางนภา

ในเวลานั้นยามที่นั่งลงถกปัญหากับซิ่วไฉเฒ่าก็แทบจะทำได้แค่เพียงคิดว่าจะแพ้ให้น้อยหน่อยอย่างไร

อาเหลียงหัวเราะหึหึ “น่ายินดีน่าชื่นชม ในที่สุดซิ่วไฉเฒ่าก็มีขาใหญ่ๆ ของตำแหน่งขุนนางแล้ว วันหน้าทะเลาะกับใครที่ศาลบุ๋น ข้าก็มีความมั่นใจแล้ว ข้ากับซิ่วไฉเฒ่าร่วมมือกัน ใต้หล้าไร้ศัตรูทัดทาน”

ขอแค่มีซิ่วไฉเฒ่าอยู่ด้วย รับรองว่าคนคนเดียวท้าทายคนได้กลุ่มใหญ่ เขาอาเหลียงก่อเรื่องกลับกลายเป็นว่าสามารถยกม้านั่งมานั่งรอชมเรื่องสนุกได้เลย

แต่ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ปีนั้นก็เคยมีผู้ฝึกกระบี่เขียนประโยคหนึ่งที่คล้ายคลึงกันนี้ลงไปบนป้ายสงบสุข ข้ากับอาเหลียงร่วมมือกัน สามารถสังหารปีศาจใหญ่บินทะยาน

และยิ่งมีผู้ฝึกกระบี่ที่ทิ้งประโยคจากใจจริงเอาไว้ว่า หากในอนาคตอาเหลียงเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ จะต้องผสานมรรคากับหนังหน้าแน่นอน

จากนั้นก็มีผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่กล้าลงนาม อาศัยสุรารสแรงมาปลุกความกล้า และฉวยโอกาสที่ตอนนั้นเถ้าแก่รองไม่มานั่งยองขอเหล้าคนอื่นดื่มอยู่ที่ร้าน เขียนประโยคหนึ่งลงไปด้านข้างป้ายสงบสุขปลอดภัยอย่างลับๆ ล่อๆ ว่า ผายลมมารดาเจ้าสิ นี่คือการช่วงชิงกันบนมหามรรคา เจ้าชาติสุนัขไม่มีทางสู้เถ้าแก่รองได้แน่

จั่วโย่วเอ่ยเสียงเย็น “จริงจังหน่อย”

อาเหลียงบ่น “คนจริงจังเช่นข้านี้ เจ้าจะไปหาที่ไหนได้อีก อ้อ มีเพียงตอนดื่มเหล้าเท่านั้นถึงจะคิดให้ข้ามาจ่ายเงิน เวลาด่าคนกลับไม่ยอมให้ข้าอาศัยใบบุญบ้างหรือ ชื่อเสียงประดุจหยกขาวที่มีจุดด่างพร้อยเล็กน้อยของข้าอาเหลียงได้มาอย่างไร ก็ไม่ใช่เพราะว่าติดเงินค่าเหล้าน้อยนิดนั่นหรือไร?”

จั่วโย่วจึงปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก คร้านจะพูดจาไร้สาระกับเขา

อาเหลียงเอนตัวไปด้านหลัง มองลู่จือ เจ้าพวกชายแก่โสดขึ้นคาน แล้วก็เจ้าพวกลูกกระต่ายน้อยของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทั้งหลาย ล้วนมีแต่พวกหัวทึบกันทั้งนั้น ไม่รู้หรือว่าความงามเลิศล้ำของพี่หญิงลู่จือต้องมองจากข้างหลัง?

ลู่จือยังคงหลับตา แต่กลับพูดว่า “อยากโดนฟันรึ?”

อาเหลียงเก็บสายตากลับมา ใช้สองมือขยับคอเสื้อชุดลัทธิขงจื๊อ ดูสินี่ เพียงแค่เปลี่ยนการแต่งตัวใหม่ พี่หญิงลู่จือก็ไม่กล้ามองตนมากเกินไปเสียแล้ว

ฉีถิงจี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หย่าเซิ่งกำลังจะพูดเรื่องที่สามแล้ว”

อาเหลียงรีบทำสีหน้าจริงจัง ไม่ทำหน้าทะเล้นอีกต่อไป

แล้วก็จริงดังว่า หย่าเซิ่งเริ่มพูดเรื่องที่สามแล้ว

เกี่ยวกับการสร้างทักษินาตยทวีป ฝูเหยาทวีป เกราะทองทวีปและใบถงทวีปขึ้นมาใหม่

เพราะมีรายละเอียดยิบย่อยมากเกินไป เบื้องหน้าทุกคนที่เข้าประชุมจึงมีสมุดไม่บางเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา

ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดถึงได้ไม่พูดถึงแจกันสมบัติทวีป นี่ก็ชวนให้ขบคิดแล้ว

ดังนั้นทันใดนั้นเส้นสายตาของคนส่วนใหญ่จึงมองไปทางซ่งจ่างจิ้ง เทียนจวินฉีเจินและเจ้าประมุขสกุลเจียงอวิ๋นหลิน คนทั้งสามคนนี้ต่างก็เป็นคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจของแจกันสมบัติทวีปซึ่งได้มาเข้าร่วมการประชุมในศาลบุ๋นครั้งนี้

ส่วนอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าไม่อยู่ในคนกลุ่มนี้

ตอนที่ทุกคนเปิดหน้าหนังสือออกอ่าน หย่าเซิ่งก็เอ่ยเตือนขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ทุกท่านสามารถพูดสิ่งที่คิดได้ตามสบาย”

รองเจ้าลัทธิศาลบุ๋น อาจารย์ผู้เฒ่าหานเอ่ยว่า “หากมีข้อสงสัย ข้าสามารถไขข้อข้องใจให้ทุกท่านอย่างละเอียดได้”

หลิวจวี้เป่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีปอ่านอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ

พูดถึงแค่ใบถงทวีป สกุลหลิวก็ทุ่มเงินเทพเซียนลงไปไม่น้อย นอกจากนี้สกุลซ่งต้าหลีแห่งแจกันสมบัติทวีป และยังมีอุตรกุรุทวีป รวมไปถึงอวี้พ่านสุ่ยแห่งราชวงศ์เสวียนมี่ อันที่จริงทุกคนต่างก็มีส่วนด้วยกันทั้งสิ้น

ดังนั้นต่อให้เป็นซ่งจ่างจิ้งเองก็ยังเริ่มเปิดอ่านสมุดเล่มนั้นไปทีละหน้า ไม่ปล่อยให้เนื้อหาใดๆ หลุดรอดตกหล่นไป

ส่วนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของสองราชวงศ์ใหญ่ที่มาจากฝูเหยาทวีปและเกราะทองทวีปก็ยิ่งไม่กล้าข้ามตัวอักษรใดๆ ไปแม้แต่ตัวเดียว

เนื่องจากเป็นคนปิดฉากสุดท้ายที่ฝูเหยาทวีป เจิ้งจวีจงเองก็ฝืนนิสัยอดทนอ่านไปรอบหนึ่ง พอปิดหน้าหนังสือลงก็เริ่มคำนวณผลได้ผลเสีย

หากจะบอกว่าเจิ้งจวีจงคือคนที่อ่านตำราเล่มนั้นจบเร็วที่สุด ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็คือคนที่อ่านจบช้าที่สุด ไม่มีหนึ่งใน

อันที่จริงประเด็นสำคัญข้อหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ก็คือกองกำลังบางแห่งของทวีปอื่น ยกตัวอย่างเช่นนครจักรพรรดิขาว สกุลหลิวธวัลทวีป การพันธนาการน้อยใหญ่ที่มีต่อหุ่นเชิดภูเขาตระกูลเซียนของสี่ทวีปที่พวกเขาสนับสนุนขึ้นมา รวมไปถึงเส้นแบ่งของกฎระเบียบอย่างเป็นรูปธรรมจากศาลบุ๋น ไม่ว่าจะเป็นอาณาเขตเส้นแบ่งใดที่คลุมเครือ ล้วนจะต้องชักนำปัญหาความขัดแย้งบนภูเขาได้มากมาย หากวันนี้ศาลบุ๋นไม่พูดคุยเรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้นก็หนีไม่พ้นให้อิงตามกฎระเบียบเดิมทุกอย่าง นี่เป็นเรื่องง่ายดายอย่างถึงที่สุดแล้ว การวางแผนปัดแข้งปัดขากันเองบนภูเขาคือความรู้ที่สั่งสมมานานนับพันปีวิชาหนึ่งแล้ว ขอแค่เป็นสำนักที่มีการสืบทอดยาวนาน ล้วนไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่ละคนเชี่ยวชาญไม่ด้อยไปกว่ากัน

ส่วนวิธีการชดเชยตอบแทนในเรื่องของการสร้างขุนเขาสายน้ำขึ้นมาใหม่ที่ตำราซึ่งศาลบุ๋นเรียบเรียงมาเล่มนี้เสนอไว้ มองดูเหมือนแต่ละหัวข้อล้วนชัดเจน ทว่าความหมายกลับมีไม่มากนัก เพราะแค่มอบทิศทางใหญ่คร่าวๆ ให้เท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อลงมือปฏิบัติจริง ถึงเวลานั้นทั้งสองฝ่ายที่จะต้องเผชิญหน้ากันอย่างแท้จริงก็คือสำนักบนภูเขากับราชวงศ์ล่างภูเขา

เจิ้งจวีจง หลิวจวี้เป่า อวี้พ่านสุ่ยต่างก็มีคำถาม

หลิวทุ่ยแห่งฝูเหยาทวีป ในฐานะอดีตผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยาน สำนักบ้านตนเคยครอบครองสามราชวงศ์ ราชวงศ์ที่เป็นแคว้นใต้อาณัติก็ยิ่งมีมากถึงยี่สิบกว่าแคว้น

ป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่แห่งอุตรกุรุทวีปที่พยายามจะเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างอยู่ในใบถงทวีป ราชวงศ์ต้าหยวนที่ทุ่มทั้งกำลังทรัพย์และกำลังคนไปในใบถงทวีปอย่างลับๆ ฮ่องเต้สกุลหลูไม่สะดวกจะเปิดปาก ทว่าราชครูหยางชิงข่งกลับต้องจำเป็นต้องสอบถาม

ซ่งจ่างจิ้งที่ทุกวันนี้ราชวงศ์ต้าหลียังคงได้ยึดครองแผ่นดินครึ่งทวีปของแจกันสมบัติทวีปก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

แต่ละคนพากันสอบถาม อาจารย์ผู้เฒ่าหานก็ไล่ตอบไปทีละเรื่อง คำตอบบางอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่ทำให้คนพอใจมากพอ เพียงแต่ว่านอกจากเจ้านครของนครจักรพรรดิขาวและซ่งจ่างจิ้งแล้วก็ไม่มีใครกล้า ‘ต่อรองราคา’ ต่อหน้ารองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นท่านนี้อีก

ส่วนเหวยอิ๋งเจ้าสำนักกุยหยกกลับเงียบงันไม่พูดจาอยู่ตลอด กลับกลายเป็นอู๋ซูอริยะบู๊ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่มากที่เป็นฝ่ายยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับภูเขาใหญ่สำนักใหญ่ทั้งหลาย หวังว่าทางศาลบุ๋นจะตั้งกฎให้เข้มงวดมากกว่านี้

เฉินผิงอันอ่านจบไปรอบหนึ่งแล้ว แต่กลับอ่านใหม่ซ้ำอีกรอบ

สำหรับคนหนุ่มผู้นี้ หากเป็นผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่มีความเข้าใจต่อ ‘อิ่นกวาน’ เพียงคร่าวๆ บางทีอาจรู้สึกว่าเฉินผิงอันกำลังเสแสร้งแกล้งทำ แสร้งทำเป็นจริงจังตั้งใจไปอย่างนั้นเอง ทว่าผู้ฝึกกระบี่สายคฤหาสน์หลบร้อนทุกคนกลับรู้ชัดเจนดีว่า เรื่องที่ใต้เท้าอิ่นกวานเชี่ยวชาญที่สุดแล้วก็ชอบมากที่สุดก็คืออ่านตำราเล่มหนึ่งจากหนาให้เป็นบาง เอกสารคดีลับที่กองกันเป็นภูเขาอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน เฉินผิงอันอ่านมาแทบจะทุกเล่มแล้ว อีกทั้งยังจะต้องอ่านจนกลายเป็นสมุดเล่มแล้วเล่มเล่า จากนั้นค่อยอ่านจากสมุดเล่มหนึ่งให้กลายเป็นกระดาษไม่กี่แผ่นหรือกระดาษจดบันทึกหลายสิบแผ่น เพื่อสะดวกให้ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานตรวจสอบได้เร็วที่สุด

นอกจากอ่านสมุดเล่มนั้นแล้ว แน่นอนว่าเฉินผิงอันยังคอยสังเกตคนที่พูดจาเหล่านั้นอย่างละเอียดไปด้วย

ไม่แน่ว่าใครบางคน หรืออาจจะหลายคน อาจจะเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับหานอวี้ซู่แห่งสำนักว่านเหยาก็เป็นได้

หากไม่ระวังอีก แม้แต่เถียนหว่านแห่งภูเขาตะวันเที่ยงผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนประเภทนี้ไปด้วย

เพียงแต่ไม่รู้ว่าชุยตงซานกับโจวอันดับหนึ่งจะทำสำเร็จหรือไม่

เรื่องที่สามสิ้นเปลืองเวลาไปอย่างมาก

ยังดีที่คนที่มาเข้าร่วมงานประชุมศาลบุ๋นในวันนี้ นอกจากฮ่องเต้เก้าพระองค์แล้ว ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนบนยอดเขา อีกทั้งจักรพรรดิล่างภูเขาทั้งหลายที่ต่อให้จะเป็นฮ่องเต้เด็กหนุ่มของราชวงศ์เสวียนมี่ ร่างกายก็ถือว่าแข็งแรงใช้ได้ เทียบกับคนธรรมดาแล้วยังแข็งแกร่งกว่าไม่น้อย

คนที่เปิดปากปรึกษาหารือเริ่มมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าประมุขตระกูลใหญ่คนหนึ่งที่ถูกขนานนามว่าซ่งจื่อแห่งจัวลู่ และยังมีเจ้าประมุขตระกูลชั้นสูงที่สืบทอดบรรดาศักดิ์กันมาทุกยุคทุกสมัยของฝูเฟิงเม่าหลิง รวมไปถึงคนสกุลฟ่านแห่งเสวียนอวี๋แผ่นดินกลาง ล้วนพากันออกเสียงในการประชุมครั้งนี้

เรื่องบางอย่าง ความเห็นต่างค่อนข้างมากจึงต้องพักไว้ก่อนชั่วคราว

ลู่จือลืมขึ้นบ้างครั้งสองครั้ง เพียงแค่เพราะรู้สึกว่าน่าสนใจ เพราะผู้ฝึกตนเฒ่าบางคนที่เชี่ยวชาญการฝึกตนแต่ไม่ถนัดการใช้คำพูด ตอนที่พูดถึงกับเสียงสั่นน้อยๆ

ส่วนฮ่องเต้วัยกลางคนคนหนึ่งที่ใบหน้าแดงก่ำ เวลาที่พูดเสียงก็สั่นจนได้ยินชัดมากกว่า สองมือกำแน่น กลางฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ กลับกลายเป็นว่าลู่จือไม่ได้รู้สึกว่าน่าสนใจสักเท่าไร

เฉินผิงอันเพียงแค่เปิดตำราพลางเงี่ยหูตั้งใจฟังไปด้วย บางครั้งก็จะเงยหน้ามองคนที่กำลังถกเถียงกันแวบหนึ่ง แบ่งความสนใจส่วนหนึ่งออกไปอย่างเงียบเชียบ จดจำเนื้อหาที่เอ่ย เครื่องประดับ น้ำเสียง สีหน้า สายตา ความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ด้วยความเคยชินของทุกคนเอาไว้

ฉีถิงจี้พลันใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยเบาๆ ว่า “มีเวลาว่างก็ไปนั่งเล่นที่สำนักกระบี่หลงเซี่ยงบ้าง”

เฉินผิงอันพยักหน้าตอบรับ “ไม่มีปัญหา หลังการประชุมสิ้นสุดลง ข้าอาจต้องเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปทันที คราวหน้าที่มาท่องเที่ยวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอีกครั้ง ข้าค่อยไปที่ทักษินาตยทวีปก่อน”

ฉีถิงจี้เอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”

ในความเป็นจริงแล้ว ในสายตาของเฉินผิงอัน ภูเขาลั่วพั่วและสำนักกระบี่หลงเซี่ยงสามารถเป็นพันธมิตรกันได้ สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้วล้วนถือว่าเป็นเรื่องดี

ขอแค่ฉีถิงจี้วางความละโมบที่มีต่อนครบินทะยานในใต้หล้าแห่งที่ห้า ไม่ขัดขวาง ‘เฉินซี’ ที่จะมารับหน้าที่เป็นเจ้านคร ทุกเรื่องก็ล้วนพูดง่าย

——