ตอนที่ 2939 หยุนหนีแสนน่ากลัว!

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

เสียงหัวเราะของเขานั้นมันหยุดลงทันที!

เพราะว่าเฟิงรุ่ยนั้นสัมผัสได้ถึงสายตารุ่มร้อนที่มองมารอบๆ

เมื่อก้มหน้าลงมามองดูเขาก็พบว่าเย่หยวนกำลังยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าจริงๆ!

นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไรกัน?

อย่าว่าแต่จักรพรรดิเที่ยงต่อให้เป็นมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์เองก็คงไม่อาจจะรอดจากทะเลสายฟ้าของเขาไปได้

แต่ทำไมเย่หยวนถึงไม่มีแม้แต่แผล?

‘ห…หรือว่าเจ้านี่มันจะมีร่างวิญญาณอมตะจริงๆ?’

เฟิงรุ่ยนั้นสะดุ้งตัวทันทีที่คิดได้เช่นนั้น

เป็นไปไม่ได้!

เจ้าโลกบู๋เมี่ยนั้นคือตัวตนที่สูงล้ำฟ้า

มีหรือที่เด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้ากลับจะปลุกร่างวิญญาณแบบเดียวกับเขาขึ้นมาได้?

“ในเมื่อเจ้าอยากจะเห็นข้าคืนชีพนักข้าก็จะคืนชีพให้เจ้าดู” เย่หยวนมองหน้าเฟิงรุ่ยและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม

เฟิงรุ่ยนั้นแทบจะต้องกระอักเลือดออกมา!

เจ้าหมอนี่มันช่างน่าชิงชังนัก!

‘สารเลว! เจ้ารอถึงสิบห้านาที ช่างชั่วร้ายนัก!’

“อ่า แล้วเจ้ายังมีอะไรแรงๆ กว่านี้ไหม? ข้าว่าตัวข้านั้นน่าจะยังไม่ถึงขีดจำกัดเท่าไหร่” เย่หยวนถามขึ้น

เฟิงรุ่ยนั้นไม่รู้ว่าต้องตอบอย่างไร

‘จะให้ตอบอะไร?’

เจ้าบ้านี่มันจงใจพูดยั่วแล้ว!

‘ไม่เห็นหรือว่าพ่อเจ้านี่แทบไม่มีแรงยืนแล้ว?’

เพราะแม้แต่ประหารห้าสายฟ้ายังสังหารเย่หยวนลงไม่ได้ เขาก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาสังหารเย่หยวนแล้ว

หลังจากอวดอ้างตัวเองมาเป็นวันสุดท้ายแล้วเขากลับกลายเป็นแค่ตัวตลก!

“เอาล่ะ พอแค่นี้เถอะ! เย่หยวน เจ้าจะยอมรับข้าเป็นอาจารย์หรือไม่?” หยุนหนีกล่าวขึ้นมาถาม

“ไม่ยอม!” เย่หยวนตอบไปทันที

คำพูดนี้มันทำให้ตงหยางและพวกหน้าเปลี่ยนสีไปทันที

เจ้าหมอนี่มันบ้าไปแล้ว?

“เย่หยวน ท่านหยุนหนีนั้นเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ ของแดนวิญญาณอมตะ การได้เข้าเป็นศิษย์ของนางนั้นมันคือโอกาสทองของชีวิต!” ตงหยางกล่าวขึ้นแทรก

เย่หยวนหันกลับไปตอบด้วยรอยยิ้ม “แล้ว? ข้านั้นให้โอกาสนางไปแล้วแต่นางกลับไม่คิดสนใจชีวิตข้าเอง! นางนั้นคิดว่าข้าจะอยู่หรือตายมันก็ไม่สำคัญ คนอย่างนี้หรือที่ควรค่าแก่การกราบเป็นอาจารย์?”

ตูม!

ร่างวิญญาณของเย่หยวนแตกสลายหายลงไปสิ้น

แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาเย่หยวนก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

หยุนหนีถามขึ้นอีกครั้ง “ว่าอย่างไร?”

เย่หยวนตอบกลับไปด้วยหน้าดำมืด “ฝันไปเถอะ!”

ตูม!

ร่างของเย่หยวนแตกสลายลงอีกครั้ง! แต่วินาทีต่อมาเย่หยวนก็คืนชีพได้

“ทีนี้ล่ะ?” หยุนหนีนั้นถามขึ้นเป็นครั้งที่สาม

“ก็ได้!” เย่หยวนนั้นเห็นว่าไม่อาจจะทำอะไรได้จึงต้องยอมตามน้ำไปก่อน ตอนนี้เย่หยวนต้องฝืนใจตัวเองอย่างมากแล้วเพราะตอนที่เขาผสานเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินนั้น เขากลับสัมผัสได้ถึงสายตาของหยุนหนีที่มองมาถึงแก่นวิญญาณ แค่สายตานี้ครั้งเดียวมันก็มากพอจะให้เย่หยวน รับนางเป็นอาจารย์

ดูท่าแล้วร่างวิญญาณหมอกหุ้มนี้มันก็ไม่ได้เป็นอมตะจริงๆ! อย่างน้อยๆ นางคนนี้ก็ยังสังหารเขาลงได้!

เย่หยวนนั้นคาดเดาว่าฝีมือของนางนั้นคงไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์พี่ใหญ่หลี่ชิงหยุนเลย

เจ้าโลกบู๋เมี่ยผู้อมตะนั้นแท้จริงแล้วก็เพราะว่าเขาเก่งกาจจนไม่อาจจะมีใครสังหารเขาลงได้เท่านั้น มันจะมีสิ่งใดในโลกหล้าที่เป็นอมตะอย่างแท้จริง?

แต่ว่าร่างวิญญาณหมอกหุ้มนี้มันก็ทรงพลังอย่างมากและยังมีจุดให้ได้สำรวจและพัฒนาอีกเยอะ

การกราบนางเป็นอาจารย์นั้นมันย่อมทำให้ทุกฝ่ายพอใจ

ยกเว้นเพียงแค่เฟิงรุ่ย

“ศิษย์พี่ ท่านมีผู้ครอบครองร่างวิญญาณอมตะเป็นศิษย์น้องแล้วจะไม่แสดงความยินดีหน่อยหรือ?” เย่หยวนยิ้มขึ้นถาม

“…”

“ศิษย์พี่ ข้านั้นเป็นคนแค้นฝังใจนะ!”

“…”

หยุนหนีนั้นไม่คิดสนใจเย่หยวนและหันไปบอกตงหยาง “ครั้งนี้โถงวิญญาณนิพพานกล้วยไม้สงบนั้นได้สร้างคุณให้แก่เผ่าอย่างมากและจะได้รับรางวัลเป็นหนึ่งวรยุทธบ่มเพาะและสามวิชาลับ!”

ตงหยางและพวกนั้นยิ้มกว้างขึ้นมาทันทีพร้อมก้มหัวลงขอบคุณ “ขอบพระคุณท่านหยุนหนี!”

วิชาวิญญาณนั้นมันเป็นอะไรที่ทรงคุณค่าอย่างมาก

สิ่งที่ถูกส่งออกมาจากแดนวิญญาณอมตะนั้นย่อมจะมิใช่ของธรรมดาทั่วไป

โถงวิญญาณนิพพานกล้วยไม้สงบนั้นได้รับรางวัลก้อนโตแล้ว!

เมื่อกลับมาถึงแดนวิญญาณอมตะนั้นเฟิงรุ่ยก็รีบปลีกตัวหนีไปทันที

ระหว่างทางการเดินทางกับเย่หยวนนั้นมันอึดอัดมาก

และพวกเขาก็ได้มายืนอยู่ตรงหน้าของวังขนาดใหญ่ ซึ่งการออกแบบนั้นไม่ได้ต่างจากวังของโลกเบื้องล่างมากนัก

เพียงแค่ว่าขนาดและความยิ่งใหญ่ของมันนั้นเหนือล้ำกว่าราชวังใดๆ ไปเป็นร้อยเท่า

แดนวิญญาณอมตะนั้นคือหัวใจของตระกูลวิญญาณนิพพาน

เหมือนอย่างวังศักดิ์สิทธิ์เขาวงกตและวิหารโลหิตเทวาคนทั่วๆ ไปภายนอกย่อมจะไม่อาจหาที่ตั้งของมันได้เลย

ห้วงมิตินี้ถูกเปิดขึ้นโดยเหล่าเจ้าโลกด้วยพลังงานมหาศาลเกินความเข้าใจ

หลังจากที่คนรับใช้ออกไปแล้วมันก็เหลือเพียงแค่หยุนหนีและเย่หยวนสองคนในห้องพัก

หญิงงามอันเย็นเยือกคนนี้มีหน้าตาที่ไม่เป็นมิตรไม่ว่าจะกลับใครก็ตาม

“พูดมา! เจ้าบังคับพาตัวข้ามายังแดนวิญญาณอมตะนี่เพื่อเหตุผลใด?” เย่หยวนถามขึ้น

คำพูดของเขานั้นมิใช่คำพูดที่ควรใช้กับอาจารย์ใดๆ เลย

หยุนหนีนั้นตอบกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เจ้าฉลาด”

หยุดคิดไปพักหนึ่งนางก็กล่าวขึ้นต่อ “ฉลาดยิ่งกว่าเฟิงรุ่ยอีก”

เย่หยวนส่ายหัวออกมาทันที “เจ้าเอาข้าไปเทียบกับคนโง่เช่นนั้น? คิดจะด่าข้าอย่างนั้นหรือ!”

หยุนหนีนั้นตอบกลับไปอย่างเรียบเฉย “เขาเองก็ฉลาด”

เย่หยวนสวนกลับไปทันที “แค่เจ้าโง่ที่รู้วิธีฝึกฝนบ่มเพาะตัวเอง ดูอย่างไรก็เห็นชัดๆ ว่าข้ากำลังรอให้มันอวดโม้ตัว แต่สุดท้ายมันก็ยังห้ามตัวเองไม่ได้”

หยุนหนีไม่รู้ต้องตอบอย่างไรเหมือนกัน

‘ข้าก็ปวดหัวเหมือนกัน’

นางนั้นรู้ดีว่าคำพูดของเย่หยวนมันไม่มีผิด

เฟิงรุ่ยนั้นฉลาดมาก แต่ฉลาดในเรื่องของการฝึกฝนบ่มเพาะตัวเองเท่านั้น

คนเช่นนี้มันต้องมีกำลังที่เหนือล้ำหัวคนอื่นไปเท่านั้น

ไม่เช่นนั้นแล้วมันคงจะถูกคนอื่นหลอกใช้ได้ง่ายๆ แน่นอน

“เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องไร้สาระเสียที ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย” หยุนหนีเริ่มทำหน้าตาจริงจังขึ้นมา

เย่หยวนตอบกลับไป “ว่ามา ตอนนี้อยู่ในมือนางมารไปแล้ว ต่อให้เจ้าจะเอาข้าไปทำอะไรข้าก็ไม่อาจขัดขืนได้”

หยุนหนีได้แต่ต้องผงะไป

นางเริ่มปวดหัวขึ้นมาหน่อยๆ เพราะเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ช่างพูดจาไม่รู้เรื่องนัก

“ท่านบู๋เมี่ยนั้นหายตัวไป!” หลังจากหยุดคิดไปนานหยุนหนีก็กล่าวเรื่องที่สั่นสะท้านแผ่นดินขึ้นมา

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “การหายตัวไปของบรรพบุรุษบู๋เมี่ยนั้นมันเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า? หากจะถามว่าใครควรเป็นคนหามันก็ควรจะเป็นยอดฝีมือพลังคลื่นกำเนิดอย่างพวกเจ้ามิใช่หรือ?”

เย่หยวนนั้นยิ้มตอบกลับไปแต่ในใจของเขานั้นกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ

เพราะว่าหนึ่งในสามสุดยอดสมบัติของเผ่าวิญญาณอย่างร่มคลื่นม่วงที่เขาตามหานั้น มันอยู่ในมือของเจ้าโลกบู๋เมี่ยคนนี้

การเดินทางมายังเผ่าวิญญาณครั้งนี้ของเย่หยวนมันเป็นงานที่ยากยิ่ง แต่เขาต้องมา

ใครจะไปคิดว่าวางแผนไว้ตั้งมากมายแต่สุดท้ายกลับได้รับข่าวเช่นนี้?

เจ้าโลกบู๋เมี่ยนั้นหายตัวไป มันย่อมจะหมายความว่าร่มคลื่นม่วงนั้นเองก็หายไปด้วยแล้ว?

หยุนหนีนั้นมองหน้าเย่หยวนและกล่าวขึ้นต่อ “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าเข้าเผ่าวิญญาณมาเพื่ออะไร แต่ตราบเท่าที่เจ้าช่วยพวกเราหาท่านบู๋เมี่ยได้ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้าให้! และบ่วงวิญญาณของเจ้านั้นเองมันก็ไม่มีทางตัดขาดได้จริง! เว้นเสียแต่เจ้าจะลืมเรื่องการกลับไปสู่ร่างต้นเลยและเริ่มชีวิตใหม่!”

หยุนหนีนั้นกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นเยือกและชัดเจนกอปรด้วยความงามของนางนั้นมันอาจจะทำให้คนที่ได้เห็นต้องเผลอใจหลงใหลไป

แต่เย่หยวนนั้นกลับรู้สึกขนลุกตั้งทั้งกาย ที่แท้แล้วนางกลับมองเขาออกหมดสิ้น!

เย่หยวนนั้นตกตะลึงไม่น้อยแต่สุดท้ายก็สงบใจลงได้ หากเขาเดาไม่ผิดนางเองก็คงบ่มเพาะหนึ่งในสามสุดยอดวรยุทธของเผ่าวิญญาณเช่นกัน! เพราะมีเพียงแค่วรยุทธบ่มเพาะระดับนั้นเท่านั้นที่จะมองวิชาของเขาออก

สิ่งที่นางพูดนั้นมันถูกต้องที่สุด เย่หยวนนั้นอาจจะตัดบ่วงและกลายเป็นเผ่าวิญญาณมา แต่มันก็ไม่อาจตัดได้หมดสิ้น จะอย่างไรร่างวิญญาณนี้มันก็ต้องกลับเข้าสู่กายเนื้อในสักวัน เพราะหากมันตัดขาดจนหมดสิ้นจริงๆ แล้วเย่หยวนคงไม่อาจจะกลับเข้าสู่กายเนื้อได้อีกต่อไป