“อ๊ากก!”

เสียงกรีดร้องดังขึ้น มีเงามืดร่างหนึ่งมุดเข้าไปในร่างกายวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศคนหนึ่ง ถัดจากนั้นร่างกายเขาก็เหี่ยวแห้งลงไปอย่างรวดเร็ว พลังและเลือดทั้งร่างกายถูกดูดกลืนจนแห้งเหือดภายในชั่วพริบตาเดียว

ถัดจากนั้นเงาดำนั่นก็มุดออกมาจากร่างกายเขาอีกครั้ง มีแสงโลหิตที่ขมุกขมัวปรากฏบนเงาดำในตอนแรก พลังออร่าของมันก็แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเช่นกัน ก่อนที่มันจะกระโจนไปทางนักยุทธ์อีกคน

“พวกนี้มันคือผีบ้าอะไรน่ะ?”

ทุกคนล้วนตกตะลึงจนหน้าถอดสี ต่างพากันเรียกของขลังอาวุธสงครามของตนออกมา แต่ทว่าพลังการโจมตีส่วนมากกลับไม่สามารถสร้างความเสียหายใด ๆ ให้แก่เงาดำเหล่านี้ได้เลย ยิ่งกว่านั้นคือมันสามารถมองข้ามการโจมตีของผู้คน มุดเข้าไปในร่างกายมนุษย์โดยตรง แล้วดูดกินพลังและเลือดจนแห้งเหือดภายในพริบตา

“มันคือญาณอาฆาต!”น้ำเสียงของคนบางคนสั่นคลอน ส่วนคำว่าญาณอาฆาตนั้นยิ่งทำให้ผู้คนขนหัวลุกซู่

ญาณอาฆาตเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษอย่างหนึ่ง สิ่งมีชีวิตที่เป็นจำพวกเดียวกันกับผีร้ายนี้ไม่มีรูปร่าง ซึ่งสามารถป้องกันการโจมตีจากพลังอมตะและกฎส่วนมากได้

ผู้คนจึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงดวงดาวที่เต็มเกลื่อนไปด้วยโครงกระดูกที่นับไม่ถ้วน อดีตเคยมีอสูรจิตที่มากมายเช่นนี้ตายอยู่บนนี้ การที่จะมีญาณอาฆาตปรากฏนั้นจึงเป็นอะไรที่ปกติมาก ๆ

ญาณอาฆาตเป็นสิ่งที่ประกอบมาจากความแค้นเคืองครั้นเมื่ออสูรจิตตาย ปัจจัยในการกำเนิดจิตอาฆาตนั้นยากยิ่งมาก ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะกลายเป็นจิตอาฆาตหลังจากตายไปแล้ว

แต่ทว่าการคงอยู่ของจิตอาฆาตนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง หลังจากที่จิตอาฆาตจำนวนมากพรั่งพรูออกมาจากก้นเหวแล้ว ก็มีคนจำนวนมากประสบความหายนะทันที ทันทีที่ถูกจิตอาฆาตเข้าสิงพลังและเลือดก็จะถูกดูดกินจนแห้งเหือดภายในพริบตา พลังอมตะและของขลังทั้งตัวไม่มีประโยชน์ใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

แน่นอนอยู่แล้วว่าใช่ว่าทุกคนจะไร้กำลังต่อต้านเสมอไป มีผู้สืบทอดของสำนักจักรพรรดิมรณะในมหาโลกะมรณะฝึกกฎความตาย ซึ่งพลังแห่งกฎประเภทนี้สามารถควบคุมญาณอาฆาตได้ในระดับที่แน่นอน กฎความตายผนึกรวมกันเป็นกงล้อทมิฬ ทำให้ญาณอาฆาตที่กระโจนเข้ามาถูกบดขยี้ทลายจนสูญสิ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นคือพระโอรสจ้านเทียน เห็นเพียงมีแสงสีทองแย้มบานออกมาจากทั่วทั้งร่างกายเขา เหมือนดั่งเทพสงครามทองคำ ญาณอาฆาตทุกตัวที่ถูกแสงทองบนตัวเขาสาดส่อง ล้วนกรีดร้องอย่างน่าเวทนา เหมือนถูกไฟแผดเผายังไงอย่างนั้น

“พลังเทวจ้านเทียน!”

เมื่อหลัวซิวเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว สีหน้าเขาก็ดูเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย พลังจักรพรรดิจ้านเทียนเป็นวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้วรยุทธ์หนึ่งอย่างไร้ข้อสงสัยเลย ซึ่งวิถียุทธ์ที่เดินนั้นแตกต่างจากวิถียุทธ์อื่น ๆ แต่เป็นปณิธานวิถียุทธ์อย่างหนึ่ง

การฝึกวรยุทธ์ดังกล่าว จำเป็นต้องชุบปณิธานของตัวนักยุทธ์เอง เพื่อผนึกรวมความองอาจกล้าหาญของผู้ไร้เทียมทานที่กล้าเผชิญหน้ากับฟ้าดินโดยไม่เกรงกลัวใด ๆ ออกมา ดังนั้นถึงจะฝึกพลังเทวจ้านเทียนสำเร็จ

ในพลังเทวจ้านเทียนนี้มีปณิธานของตัวนักยุทธ์แฝงซ่อนอยู่ ซึ่งสามารถพูดได้เลยว่ากำราบญาณอาฆาตที่กำเนิดมาจากความเคียดแค้นได้สูงมาก

อีกฝั่งหนึ่ง มู่ช่าวหวงบีบทำลายฮู้ชิ้นหนึ่งจนแตก จนรอบกายปรากฏเป็นม่านแสงหนึ่งชั้น ทำให้ญาณอาฆาตทุกตัวที่กระโจนมาทางเขาล้วนถูกกีดกั้นอยู่ข้างนอก ไม่สามารถทลายเกราะป้องกันชั้นนี้ได้

หลัวซิวมองเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าฮู้ที่มู่ช่าวหวงบีบทลายนั้น คือฮู้ชิ้นหนึ่งที่ใช้สำหรับการป้องกันการโจมตีวิญญาณ แท้จริงแล้วการโจมตีของญาณอาฆาตก็เป็นการโจมตีสุดล้ำที่ได้ผลเหมือนกับการโจมตีวิญญาณ

การปรากฏอย่างกะทันหันของญาณอาฆาตทำให้ทุกคนล้วนตั้งตัวไม่ทัน แต่ทว่าหลังจากอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจำนวนมากตอบสนองกลับมาได้แล้ว จึงปลดปล่อยอุบายต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับการกีดกันญาณอาฆาต สถานการณ์จึงไม่ค่อย ๆ สงบลง

ในขั้นตอนนี้ ผู้ที่ผ่อนคลายมากที่สุดก็น่าจะเป็นหลัวซิวและจีเสี่ยวจื่อแล้ว เนื่องจากญาณอาฆาตไม่มีสติปัญญา ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงใช้กฎปริภูมิประกอบเป็นอาณาจักร ทำให้ช่วงระยะความต่างที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมดูเหมือนห่างไกลอย่างยิ่ง จึงส่งผลให้เหล่าญาณอาฆาตที่กระโจนเข้ามาทำได้เพียงวนเวียนอยู่ในละแวกที่ใกล้เคียงกับพวกเขา ไม่ว่าจะพุ่งเข้ามาอย่างไรแต่ก็พุ่งไม่ถึงตัวพวกเขา