หยางเฉินได้คุยกับหม่าชาวเรียบร้อยแล้ว หากในวันพรุ่งนี้เช้าก่อนตีห้าเขายังช่วยเสี่ยวจิ้งอันและเฝิงเสี่ยวหว่านออกมาไม่ได้ หม่าชาวคงต้องทำตามสิ่งที่เฝิงจื้อหย่วนบอก
เฝิงเจียหยีหันไปพูดกับหยางเฉิน “แต่ว่าทางออกในห้องนี้มีแค่ทางเดียว และยังถูกประตูโลหะผสมกั้นไว้ด้วย พวกเราจะออกไปจากที่นี่ไม่อย่างไร ?”
“ช่วงเวลาที่พวกเราเข้ามายังคงเป็นประตูกระจก แต่เมื่อกำลังออกไปมันกลับเปลี่ยนเป็นประตูโลหะผสม มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่งว่า ข่าวที่พวกเราเข้ามาในนี้รั่วออกไปแล้ว”
“ต้องเป็นเฝิงจื้อหย่วนที่กักขังพวกเราไว้ที่นี่แน่ หากพวกเราไม่ได้ทำข้อตกลงกับมัน กลัวว่าพวกเราอาจติดอยู่ในนี้ตลอดกาล”
หยางเฉินไม่ได้พูดอะไร ทันใดนั้นเขาก็หลับตาลง เวลาผ่านไปไม่นาน อากาศที่ไหลเวียนทั้งหมดในห้องก็อยู่ในการรับรู้ของเขา
เฝิงเจียหยีเห็นหยางเฉินไม่พูดอะไร นางเองก็เงียบลงเช่นกัน หลังจากหยิบโทรศัพท์มาดูก็พบว่าไร้ซึ่งสัญญาณ
ในหัวของหยานเฉินปรากฏภาพด้านนอกบ้านพักอี๋เหอขึ้น แม้จะเป็นช่วงเวลากลางคืน แต่แสงของพระจันทร์ก็ส่องถึง ขณะที่พวกเขาลอบเข้ามาจะเห็นภูเขาลูกหนึ่งอยู่ด้านหลัง แต่ที่นี่ก็ยังคงตั้งอยู่บนยอดเขา พวกเขาเดินลงมาจากประตูกระจกประมาณ 15 นาที หากคิดว่าหนึ่งวินาทีสามารถลงบันไดได้ 1 ขั้น ห้านาทีก็จะเท่ากับ 300 ขั้น และทุก ๆ ขั้นสูงประมาณ 20 มิลลิเมตร ดังนั้น 300 ขั้นก็จะเท่ากับ 60 เมตร
ยังไงบ้านพักก็อยู่บนยอดเขา หรือก็คงตอนนี้พวกเขาอยู่ต่ำกว่ายอดเขา 60 เมตร
ภูเขาลูกนี้ขนาดไม่ได้มีขนาดใหญ่ หยางเฉินคาดว่าอาจสูงเพียงหกเจ็ดสิบเมตรเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าตำแหน่งของพวกเขาตอนนี้อยู่ที่ตีนเขาพอดี
“ข้ารู้แล้ว !”
จู่ ๆ หยางเฉินก็พูดขึ้น
เฝิงเจียหยีรีบถามไปว่า “เจ้าหาทางออกเจอแล้วรึ ?”
หยางเฉินส่ายหัว “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าทางออกอยู่ที่ไหน แต่ถ้ามั่นใจว่าที่นี่ไม่ได้มีทางออกแค่ทางเดียวแน่”
“ด้านหน้าประตูไม่มีลมผ่านมาเลยแม้แต่น้อย แต่ภายในห้องลับกลับมีอากาศไหลเวียนอยู่ นั่นแปลว่าต้องมีส่วนอื่นที่เชื่อมต่อกับด้านนอก”
“พวกเราเดินลงมาด้านล่างได้ประมาณ 60 เมตร ซึ่งมีความสูงของภูเขาด้านหลังบ้านพักพอดี เป็นไปได้ว่าตอนนี้เราต้องอยู่ที่ตีนเขาแน่”
จากคำพูดของหยางเฉิน ดวงตาของเฝิงเจียหยีก็เกิดประกายขึ้น “เจ้าพูดถูก ! ต้องมีทางออกอื่นอยู่แน่ พวกเรามาช่วยกันหาเถอะ !”
พูดจบ นางก็วิ่งลงบันไดไปจนมาถึงห้องลับ จากนั้นก็หลับตาลงและรับรู้ถึงทิศทางของลม
พริบตาเดียวนางก็ลืมตาขึ้น พูดอย่างดีใจว่า “ข้าเจอช่องลมแล้ว !”
จากนั้นนางก็เดินไปยังบันไดขั้นสุดท้ายที่ติดกับห้องลับและเหยียบลงอย่างแรง
“ปั้ง !”
บันไดแตกออกเผยให้เห็นช่องทางลม ที่พัดไปยังภายในห้องลับ
“นี่คือ ?”
แม้เฝิงเจียหยีจะเป็นผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อมองเข้าไปในถ้ำที่มืดสนิทนี้ก็เกิดความกลัวไม่ใช่น้อย จนเผลอจับชายเสื้อของหยางเฉินอย่างไม่รู้ตัว
หยางเฉินสูดหายใจเข้าลึก รับรู้ได้ถึงโลหิตที่กำลังพลุ่งพล่าน ลมที่พัดออกมารุนแรงมาก และยังปะปนไปด้วยพลังปราณอันเข้มข้น
“เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะลงไปดูก่อน”
หยางเฉินพูดจบก็เจาะทะลุถ้ำลงไป
หลังจากที่เขาเข้ามายังด้านใน พลังปราณบู๊ก็รุนแรงขึ้นมาก ทางเข้าถ้ำไปถึงห้องลับอยู่ห่างกันแค่สามเมตรเท่านั้น เมื่อเขาเปิดแสงไฟจากโทรศัพท์ขึ้นก็ต้องตกตะลึง เขาเห็นซากศพของคน ๆ หนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ พลังลมปราณหนาแน่นที่แผ่ออกมาจากซากศพนี้
หยางเฉินมีสีหน้าตกใจ คนคนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับไหนกัน ขนาดตายไปแล้วยังสามารถแผ่พลังปราณออกมาได้รุนแรงขนาดนี้ !
ภายในถ้ำนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงหกเมตรเท่านั้น ล้อมรอบไปด้วยกำแพงหินเรียบ
หยางเฉินขมวดคิ้ว “ทำไมที่นี่ถึงไม่มีประตูทางออกกัน ? ก็เห็นชัด ๆ ว่ามีลมพัดอยู่ในนี้นี่”
ไม่นานเขาก็พบทางทางเดินของลม ซึ่งมาจากหินทรงสี่เหลี่ยมก้อนหนึ่งบนผนัง หยางเฉินลองผลักหินออกปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ขนาดใช้พลังของผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นห้า ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้
“ที่นี่มีประตูหินอยู่ แปลว่าต้องสามารถเปิดออกได้ หรือว่าภายในถ้ำนี้จะมีกลไกอะไรบางอย่างอยู่ ?”
หยางเฉินพูดพึมพำกับตัวเอง พูดจบ สายตาของเขาก็เหลือบไปมองที่ซากศพ ถ้ำนี้ล้อมรอบไปด้วยพนังหิน เหมือนว่าจะไม่มีกลไกอะไรซ่อนอยู่เลย ที่ที่เป็นไปได้มีอยู่ที่เดียวนั้นก็คือบนบัลลังก์นั่น
เขาเดินไปยังด้านหน้าซากศพ ก่อนจะคำนับเล็กน้อย และกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโส ข้าขอล่วงเกินแล้ว !”
พูดจบเขาก็เดินไปยังบัลลังก์เพื่อหากลไกเปิดประตู แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ
หรือว่า กลไกจะอยู่บนร่างของซากศพกัน ?
ไม่น่ามีใครบ้าถึงขนาดซ่อนกลไกไว้บนศพนี่กันหรอก แล้วถ้าหากไม่ใช่ มันจะไปอยู่ที่ไหนได้ ?
หลังจากลังเลอยู่สักพักเขาก็ตัดสินใจลองค้นหาบนตัวศพดู
ทว่า ขณะที่กำลังจะยื่นมือไปสัมผัสกับศพนั้น ก็มีพลังลมปราณมหาศาลแผ่พุ่งออกมา
หยางเฉินรีบถอยหลังกลับ แววตาเต็มไปด้วยความตกใจ
ตอนนี้หลังของเขาเปียกชุ่ม เมื่อสักครู่เขารู้สึกราวกับว่ากำลังจะถูกศพนี้ฆ่าตาย
“ศพนี้ ก่อนที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับไหนกัน ? ขนาดข้าเป็นถึงผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นห้า ยังเกิดความรู้สึกสั่นกลัวภายในอยู่ลึก ๆ”
หยางเฉินพูดส่วนสีหน้าเคร่งเครียด
ไม่เพียงแค่พลังปราณของซากศพที่แข็งแกร่งมาก แต่เมื่อสักครู่เมื่อเขาเตะตัวซากศพ สภาพจิตใจของเขาก็ได้รับผลกระทบด้วย เขามีลางสังหรณ์ว่าหากเขาเตะที่ซากศพอีกรอบอาจจะสูญเสียการควบคุมตัวเองไป
ทันใดนั้นหยางเฉินก็พูดขึ้น “ข้าจะช้าไปมากกว่านี้ไม่ได้ ไม่อยากนั้นก่อนตีห้าคงไม่สามารถหาตัวเสี่ยวหว่านและเสี่ยวจิ้งอันพบแน่ และโอกาสที่หม่าชาวจะออกไปจากราชวงศ์เฝิงได้คงมีริบหรี่”
เทคนิคการหายใจขั้นหกของคัมภีร์ต้าเต้าเทียนหยานถูกใช้ขึ้นทันที
ขณะเดียวกันกับที่ดวงตาของหยางเฉินค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ พลังสายเลือดคลั่งก็ถูกใช้ออกมา พลังลมปราณวิถีบู๊เข้าสู่ระดับสุดยอด หรือเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ชั้นยอดขั้นเจ็ดเลยทีเดียว
ในครั้งนี้ เขาเดินตรงเข้าไปหาซากศพก่อนจะยื่นมือไปจับอย่างไม่ลังเล
ทันใดนั้น พลังลมปราณอันรุนแรงก็ไหลผ่านข้อมือเข้ามาในตัวของหยางเฉิน