หวางเฉียนนั้นรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งใจ
ไม่ไปก็ไม่ได้
แต่จะไปก็ไม่ได้
เขานั้นคิดว่าที่คนหายๆ กันไปนั้นมันเพราะว่าพวกเขาได้ตายลงสิ้นแล้ว
ใครจะไปคิดว่าพวกเขานั้นกลับไปนั่งล้อมฟังคำสอนเย่หยวนอยู่!
เจิ้งหยูคนนี้เดิมทีมันเหมือนดั่งมดปลวกในสายตาเขา
แต่ตอนนี้ดูสภาพร่างวิญญาณของอีกฝ่ายแล้ว…
มันกลับดูแข็งแกร่งกว่าตัวเขาด้วยซ้ำ!
นี่มันจะน่าอายเกินไปแล้ว
แต่ศักดิ์ศรีของเขานั้นก็ไม่ยอมที่จะให้ตัวเองต้องไปก้มหัวให้เย่หยวนเป็นแน่!
จู่ๆ เขาก็เบิกตากว้างขึ้นมาด้วยรอยยิ้มมั่นใจ “ต่อให้มดปลวกยังเข้าใจกลองสนธยาระฆังอรุณได้! มีหรือที่ข้ายอดอัจฉริยะแห่งแดนวิญญาณกลางที่แม้แต่บรรพบุรุษบู๋เมี่ยยังสนใจคนนี้จะทำความเข้าใจมันไม่ได้? ถ้าหากไม่มีใครล่าเนื้อแล้วมันจะเอาเนื้อที่ไหนมากินกัน?”
เมื่อตัดสินใจได้หวางเฉียนก็นั่งลงทันที
พร้อมกับเตรียมรับสัมผัสถึงพลังของกลองสนธยาระฆังอรุณด้วยร่างวิญญาณของตน
ตึง!
ระฆังอรุณนั้นมันดังสะท้านขึ้นมาอีกครั้งจนทำให้ร่างของหวางเฉียนนั้นแตกสลายลงไป
ครั้งนี้เขาแทบจะไม่อาจรวมร่างกลับมาเป็นหนึ่งได้
แต่เขาก็ยังไม่ยอมรับ!
เวลาค่อยๆ ผ่านไปหวางเฉียนนั้นก็ผ่านกลองสนธยาระฆังอรุณมาได้อีกครั้งหนึ่ง
ร่างวิญญาณของเขานั้นมันจางลงไปอย่างมากแล้ว
แต่ว่าเขานั้นก็ยังไม่อาจเข้าใจอะไรได้
กลองสนธยาระฆังอรุณนั้นจะอย่างไรมันก็เป็นกลองสนธยาระฆังอรุณ!
ลั่นขึ้นมาแต่ละครั้งนั้นมันแทบทำให้เขาตายลง!
หวางเฉียนนั้นสิ้นหวังแล้ว!
ดูท่าแล้ววันนี้เขาคงไม่อาจจะหาเนื้อกินเองได้แล้ว
“ทำไมกัน? ทำไมเย่หยวนทำได้แต่ข้านั้นกลับทำไม่ได้?” หวางเฉียนนั้นกล่าวขึ้นมาอย่างสิ้นหวัง
ไม่มีทาง!
ข้าจะมาตายที่นี่ไม่ได้!
เขานั้นใช้กำลังที่เหลือทั้งหมดนั้นพุ่งตัวไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
…
ตอนที่เย่หยวนได้เห็นสภาพหวางเฉียนที่เหมือนสุนัขจรจัดนั้นเขาก็ยังต้องเบิกตากว้าง
เขานั้นคิดไปเสียว่าหวางเฉียนนั้นจะยอมหักไม่ยอมงอ
ยอมตายดีกว่าจะมาขอวิธีผ่านกลองสนธยาระฆังอรุณจากเขาไป
“ช…ช่วยข้าด้วย!”
วินาทีที่เขาร้องขึ้นมานั้นหวางเฉียนก็รู้สึกอับอายอย่างมาก!
เขานั้นสัมผัสได้ถึงสายตาแปลกๆ ที่มองมาจากรอบด้าน
เขานั้นแทบจะอยากมุดดินหนีไปให้พ้นๆ
คนที่ยิ่งใหญ่อย่างเขานั้นกลับกลายเป็นดั่งสุนัขที่แกว่งหางให้ศัตรูร้องขอชีวิต
ภาพเช่นนี้เขาเองก็เคยคิดถึงมันมาหลายครั้ง
เพียงแต่ว่าตำแหน่งที่เขาควรยืนอยู่นั้นมันกลับเป็นเย่หยวนที่ยืนอยู่แทน!
ทว่าถ้าเขาไม่ทำเขาก็จะตายลงจริงๆ!
ระหว่างทางที่มานี้เขาต้องฝืนรับกลองสนธยาระฆังอรุณไปอีกสองครั้ง
ชีวิตของเขานั้นแทบจะดับสิ้นลงไป
“เย่หยวน ช…ช่วยข้าด้วย!” หวางเฉียนร้องขึ้นมาด้วยเสียงหลง
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไปก่อนจะค่อยๆ พูดบรรยายให้คนทั้งหลายได้ฟัง
ตอนนี้รอบตัวเย่หยวนนั้นมันไม่ได้มีแค่หวางเฉียน มันมีคนอีกมากมายที่มาฟังคำสอนเต๋าของเย่หยวนด้วย
บางกลุ่มนั้นก็เข้าใจได้ในระดับหนึ่งและตัดสินใจเดินทางออกไปตามหาเสี้ยวคลื่นกำเนิดด้วยตัวเอง
คนอื่นๆ นั้นย่อมจะไม่มีเวลามาสนใจความอับอายของหวางเฉียน
พวกเขาตอนนี้ต่างตั้งใจฟังคำเย่หยวนสิ้น
หวางเฉียนนั้นหูตั้งฟังคำพูดของเย่หยวนอย่างสุดใจ
แต่เมื่อได้ยินไม่นานเขาก็ต้องสั่นสะท้านไปทั้งกาย!
ที่แท้แล้วร่างวิญญาณอมตะนั้นมันกลับยังสามารถมองในมุมนั้นได้?
ร่างวิญญาณอมตะนั้นมันไม่ได้อมตะอย่างแท้จริง
ร่างวิญญาณอมตะนั้นล้วนแล้วแต่ต้องการการฝึกฝนทั้งสิ้น!
กลองสนธยาระฆังอรุณนั้นมันสามารถใช้ฝึกฝนหมอกในอากาศได้!
มันจะทำให้พวกเขานั้นถึกทนขึ้น!
และการตีหลอมเช่นนี้มันได้เปิดหูเปิดตาของหวางเฉียนอย่างมาก
ที่แท้มันเป็นเช่นนี้!
ที่แท้มันแค่เท่านี้!
ทำไมข้ากลับไม่อาจคิดถึงมันได้?
นี่มัน…ไม่ได้ยากอะไรเลย!
เจ้าบ้านี่คงบังเอิญคิดถึงมันได้แน่ๆ!
เรื่องในโลกนี้แท้จริงแล้วมันก็ไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อนมากมาย
เพียงแค่การชี้นะเล็กน้อยก็พอจะเปิดตาคนให้สว่างได้
แต่จุดนั้นเองที่ยากที่สุด
หวางเฉียนนั้นเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็ว เพราะความสามารถในการวิเคราะห์การทำความเข้าใจของเขานั้นสูงล้ำ
เพียงแค่ว่าเขานั้นไม่เห็นทิศทางที่ควรจะไปเท่านั้น
แต่ว่าเมื่อถูกชี้บอกเช่นนี้แล้ว…
เขาก็ไม่คิดว่าคนที่ชี้ทางให้นั้นเก่งกาจอะไรแต่อย่างใด
เขาคิดแค่ว่าอีกฝ่ายบังเอิญไปเห็นมันเท่านั้น
เขานั้นไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเพราะว่าเจดีย์เจ็ดสีนี้มันตั้งอยู่มานานแสนนาน
แถมยังมีคนมากมายเข้ามาและออกไป
ซึ่งหลายต่อหลายปีที่ผ่านไปนั้น…คนมากมายต่างก็เข้ามาและไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
เพียงแค่มุมนี้เย่หยวนก็เหนือล้ำกว่าคนทั้งหลายแล้ว!
ส่วนหวางเฉียนนั้นเป็นได้แค่หนึ่งในคนทั้งหลาย
ตอนนี้ร่างของเขามันจึงค่อยๆ กลับมาหนักแน่นเข้มแข็งอีกครั้ง
ตอนนี้ร่างวิญญาณของเย่หยวนมันหนักแน่นจนถึงที่สุดแล้ว
เมื่อเสียงของกลองสนธยาระฆังอรุณดังขึ้นมาอีกครั้งร่างของเย่หยวนนั้นกลับตั้งแน่นเหมือนดั่งขุนเขาไม่แสดงท่าทางบิดเบี้ยวใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย
ตอนนี้เขาไม่ต้องใช้ร่างหมอกใดๆ เลย
วินาทีเดียวกันนั้นเองมันก็ปรากฏรอยแยกขึ้นบนท้องฟ้า
ประตูห้วงมิติมันได้เปิดขึ้นต่อหน้าทุกคน!
“ประตูสู่ชั้นสอง!”
“หือ? นั่นมัน…”
“เสี้ยวคลื่นกำเนิด! ที่แท้แล้วเราต้องฝึกร่างวิญญาณกึ่งอมตะให้ถึงขั้นสุดภายใต้พลังของกลองสนธยาระฆังอรุณแล้วเสี้ยวคลื่นกำเนิดมันถึงจะปรากฏขึ้นมา!”
…
ตอนนี้มันมีเศษพลังงานที่รูปร่างเหมือนเสี้ยวของแก้วสีงามปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเย่หยวน
เศษแก้วนี้มันเป็นของเขา!
คนทั้งหลายนั้นต่างจ้องมาด้วยความริษยา
เย่หยวนเองก็ไม่เกรงใจเก็บมันไว้ด้วยรอยยิ้มทันที
“เอาล่ะ ตอนนี้กลองสนธยาระฆังอรุณก็ผ่านไปได้แล้ว เราจะเข้าสู่ระดับสองกัน! แน่นอนว่าคนที่คิดอยากจะบ่มเพาะฝึกด้วยกลองสนธยาระฆังอรุณต่อไปก็ยังสามารถอยู่ในชั้นนี้ได้”
พูดจบเย่หยวนก็กระโดดเข้าประตูห้วงมิติไปสู่ชั้นสอง
คนทั้งหลายนั้นต่างหันมามองหน้ากัน
ไม่นานมันก็มีคนพุ่งตัวตามขึ้นไป
ในตอนนี้ร่างวิญญาณของหวางเฉียนนั้นมันกลับมาหนักแน่นได้ดั่งเก่า
ไม่สิ มันหนักแน่นเสียยิ่งกว่าเก่าด้วยซ้ำ!
เขานั้นพุ่งตัวขึ้นชั้นสองไปอย่างไม่ลังเลใดๆ
“หึ! กลองสนธยาระฆังอรุณมันก็แค่เท่านี้แหละ ในระดับที่สองนั้นข้าจะไม่ขอแพ้ให้แก่เย่หยวนอีก!” หวางเฉียนนั้นกล่าวขึ้นมา
ไป๋ชุยซานนั้นสัมผัสได้ว่าร่างวิญญาณของเขายังพัฒนาได้ไม่สุด
เขาจึงยังไม่คิดที่จะรีบขึ้นไปชั้นสอง
คนที่ยังอยู่ในชั้นแรกนั้นมันก็มีอีกหลายคน แต่ส่วนมากแล้วล้วนแต่ขึ้นชั้นสองไปสิ้น
…
“อ่า! ช่างเป็นทะเลเพลิงที่รุนแรงนัก! หรือว่านี่มันคือทะเลเพลิงเกิดใหม่ในตำนาน?”
“รอบแรกนั้นมันเป็นการตีร่างวิญญาณ เช่นนั้นแล้วรอบนี้มันเป็นเรื่องใดกัน?”
“ไม่ดีแล้ว! ร่างวิญญาณของข้าแข็งแกร่งกว่าเก่าหลายเท่าแต่ก็ยังไม่อาจฝืนทนพลังของทะเลเพลิงนี้ได้!”
…
วินาทีแรกที่พวกเขานั้นขึ้นมาถึงชั้นที่สองพวกเขานั้นก็รู้สึกได้ว่าร่างวิญญาณของตนแทบจะมอดไหม้ลงไป!
ร่างวิญญาณของพวกเขาที่ผ่านการพัฒนามาจากชั้นแรกนั้นมันแทบไม่อาจทนรับไฟนี้ได้
เย่หยวนนั้นมีร่างวิญญาณที่หนักแน่นกว่าคนทั้งหลายมาก เขาจึงไม่ได้รู้สึกอะไรนัก
แต่ว่าเขาก็ต้องนั่งลงคิดต่อในทันที
ชั้นที่สองนี้มันเป็นสมบัติสืบทอดใด?
ตอนที่เขาอยู่ในโถงวิญญาณนิพพานนั้นเขาได้เข้าเตาหลอมวิญญาณและผ่านการตีของเต๋าไฟมาก่อน
หรือว่ารอบนี้เองมันก็จะเป็นการหลอมตัวเองผ่านเปลวไฟ?
เมื่อเย่หยวนคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา คนอื่นๆ เองก็ย่อมจะคิดถึงได้เช่นกัน
“เฮอะ ข้าเข้าใจแล้ว! ต่อให้มันจะอมตะมันก็ต้องผ่านการฝึกฝนหล่อหลอมมากมาย! มีเพียงแค่ตอนที่เต๋านับไม่ถ้วนเท่านั้นถึงจะไม่มีอันตรายใดๆ และนั่นก็ถือว่าเป็นร่างวิญญาณอมตะอย่างแท้จริง! บรรพบุรุษบู๋เมี่ยท่านคงไปถึงจุดนั้นได้แล้วแน่ๆ! ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ลงมือกันเถอะ!”
หวางเฉียนนั้นใช้แนวความคิดจากชั้นแรกและยิ้มกว้างร้องขึ้นมาอย่างมั่นใจก่อนจะเปลี่ยนร่างกลายเป็นหมอกลงใส่ทะเลเพลิง
วินาทีต่อมานั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความรุ่มร้อน!
เสียงกระอักดังขึ้นมาท่ามกลางหมอกนั้น
ตอนนี้หวางเฉียนนั้นรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
แต่ว่าเขานั้นไม่ได้สนใจ เขานั้นค่อยๆ สัมผัสถึงความร้อนนี้และหวังจะใช้มันในการหลอมร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้น
ทว่ามีเพียงเย่หยวนที่นั่งขมวดคิ้ว
‘มันจะเป็นเช่นนี้จริง?’
………………………..