ตอนที่ 2944 น่าอับอาย!

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

หวางเฉียนนั้นรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งใจ

ไม่ไปก็ไม่ได้

แต่จะไปก็ไม่ได้

เขานั้นคิดว่าที่คนหายๆ กันไปนั้นมันเพราะว่าพวกเขาได้ตายลงสิ้นแล้ว

ใครจะไปคิดว่าพวกเขานั้นกลับไปนั่งล้อมฟังคำสอนเย่หยวนอยู่!

เจิ้งหยูคนนี้เดิมทีมันเหมือนดั่งมดปลวกในสายตาเขา

แต่ตอนนี้ดูสภาพร่างวิญญาณของอีกฝ่ายแล้ว…

มันกลับดูแข็งแกร่งกว่าตัวเขาด้วยซ้ำ!

นี่มันจะน่าอายเกินไปแล้ว

แต่ศักดิ์ศรีของเขานั้นก็ไม่ยอมที่จะให้ตัวเองต้องไปก้มหัวให้เย่หยวนเป็นแน่!

จู่ๆ เขาก็เบิกตากว้างขึ้นมาด้วยรอยยิ้มมั่นใจ “ต่อให้มดปลวกยังเข้าใจกลองสนธยาระฆังอรุณได้! มีหรือที่ข้ายอดอัจฉริยะแห่งแดนวิญญาณกลางที่แม้แต่บรรพบุรุษบู๋เมี่ยยังสนใจคนนี้จะทำความเข้าใจมันไม่ได้? ถ้าหากไม่มีใครล่าเนื้อแล้วมันจะเอาเนื้อที่ไหนมากินกัน?”

เมื่อตัดสินใจได้หวางเฉียนก็นั่งลงทันที

พร้อมกับเตรียมรับสัมผัสถึงพลังของกลองสนธยาระฆังอรุณด้วยร่างวิญญาณของตน

ตึง!

ระฆังอรุณนั้นมันดังสะท้านขึ้นมาอีกครั้งจนทำให้ร่างของหวางเฉียนนั้นแตกสลายลงไป

ครั้งนี้เขาแทบจะไม่อาจรวมร่างกลับมาเป็นหนึ่งได้

แต่เขาก็ยังไม่ยอมรับ!

เวลาค่อยๆ ผ่านไปหวางเฉียนนั้นก็ผ่านกลองสนธยาระฆังอรุณมาได้อีกครั้งหนึ่ง

ร่างวิญญาณของเขานั้นมันจางลงไปอย่างมากแล้ว

แต่ว่าเขานั้นก็ยังไม่อาจเข้าใจอะไรได้

กลองสนธยาระฆังอรุณนั้นจะอย่างไรมันก็เป็นกลองสนธยาระฆังอรุณ!

ลั่นขึ้นมาแต่ละครั้งนั้นมันแทบทำให้เขาตายลง!

หวางเฉียนนั้นสิ้นหวังแล้ว!

ดูท่าแล้ววันนี้เขาคงไม่อาจจะหาเนื้อกินเองได้แล้ว

“ทำไมกัน? ทำไมเย่หยวนทำได้แต่ข้านั้นกลับทำไม่ได้?” หวางเฉียนนั้นกล่าวขึ้นมาอย่างสิ้นหวัง

ไม่มีทาง!

ข้าจะมาตายที่นี่ไม่ได้!

เขานั้นใช้กำลังที่เหลือทั้งหมดนั้นพุ่งตัวไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ตอนที่เย่หยวนได้เห็นสภาพหวางเฉียนที่เหมือนสุนัขจรจัดนั้นเขาก็ยังต้องเบิกตากว้าง

เขานั้นคิดไปเสียว่าหวางเฉียนนั้นจะยอมหักไม่ยอมงอ

ยอมตายดีกว่าจะมาขอวิธีผ่านกลองสนธยาระฆังอรุณจากเขาไป

“ช…ช่วยข้าด้วย!”

วินาทีที่เขาร้องขึ้นมานั้นหวางเฉียนก็รู้สึกอับอายอย่างมาก!

เขานั้นสัมผัสได้ถึงสายตาแปลกๆ ที่มองมาจากรอบด้าน

เขานั้นแทบจะอยากมุดดินหนีไปให้พ้นๆ

คนที่ยิ่งใหญ่อย่างเขานั้นกลับกลายเป็นดั่งสุนัขที่แกว่งหางให้ศัตรูร้องขอชีวิต

ภาพเช่นนี้เขาเองก็เคยคิดถึงมันมาหลายครั้ง

เพียงแต่ว่าตำแหน่งที่เขาควรยืนอยู่นั้นมันกลับเป็นเย่หยวนที่ยืนอยู่แทน!

ทว่าถ้าเขาไม่ทำเขาก็จะตายลงจริงๆ!

ระหว่างทางที่มานี้เขาต้องฝืนรับกลองสนธยาระฆังอรุณไปอีกสองครั้ง

ชีวิตของเขานั้นแทบจะดับสิ้นลงไป

“เย่หยวน ช…ช่วยข้าด้วย!” หวางเฉียนร้องขึ้นมาด้วยเสียงหลง

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไปก่อนจะค่อยๆ พูดบรรยายให้คนทั้งหลายได้ฟัง

ตอนนี้รอบตัวเย่หยวนนั้นมันไม่ได้มีแค่หวางเฉียน มันมีคนอีกมากมายที่มาฟังคำสอนเต๋าของเย่หยวนด้วย

บางกลุ่มนั้นก็เข้าใจได้ในระดับหนึ่งและตัดสินใจเดินทางออกไปตามหาเสี้ยวคลื่นกำเนิดด้วยตัวเอง

คนอื่นๆ นั้นย่อมจะไม่มีเวลามาสนใจความอับอายของหวางเฉียน

พวกเขาตอนนี้ต่างตั้งใจฟังคำเย่หยวนสิ้น

หวางเฉียนนั้นหูตั้งฟังคำพูดของเย่หยวนอย่างสุดใจ

แต่เมื่อได้ยินไม่นานเขาก็ต้องสั่นสะท้านไปทั้งกาย!

ที่แท้แล้วร่างวิญญาณอมตะนั้นมันกลับยังสามารถมองในมุมนั้นได้?

ร่างวิญญาณอมตะนั้นมันไม่ได้อมตะอย่างแท้จริง

ร่างวิญญาณอมตะนั้นล้วนแล้วแต่ต้องการการฝึกฝนทั้งสิ้น!

กลองสนธยาระฆังอรุณนั้นมันสามารถใช้ฝึกฝนหมอกในอากาศได้!

มันจะทำให้พวกเขานั้นถึกทนขึ้น!

และการตีหลอมเช่นนี้มันได้เปิดหูเปิดตาของหวางเฉียนอย่างมาก

ที่แท้มันเป็นเช่นนี้!

ที่แท้มันแค่เท่านี้!

ทำไมข้ากลับไม่อาจคิดถึงมันได้?

นี่มัน…ไม่ได้ยากอะไรเลย!

เจ้าบ้านี่คงบังเอิญคิดถึงมันได้แน่ๆ!

เรื่องในโลกนี้แท้จริงแล้วมันก็ไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อนมากมาย

เพียงแค่การชี้นะเล็กน้อยก็พอจะเปิดตาคนให้สว่างได้

แต่จุดนั้นเองที่ยากที่สุด

หวางเฉียนนั้นเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็ว เพราะความสามารถในการวิเคราะห์การทำความเข้าใจของเขานั้นสูงล้ำ

เพียงแค่ว่าเขานั้นไม่เห็นทิศทางที่ควรจะไปเท่านั้น

แต่ว่าเมื่อถูกชี้บอกเช่นนี้แล้ว…

เขาก็ไม่คิดว่าคนที่ชี้ทางให้นั้นเก่งกาจอะไรแต่อย่างใด

เขาคิดแค่ว่าอีกฝ่ายบังเอิญไปเห็นมันเท่านั้น

เขานั้นไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเพราะว่าเจดีย์เจ็ดสีนี้มันตั้งอยู่มานานแสนนาน

แถมยังมีคนมากมายเข้ามาและออกไป

ซึ่งหลายต่อหลายปีที่ผ่านไปนั้น…คนมากมายต่างก็เข้ามาและไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน

เพียงแค่มุมนี้เย่หยวนก็เหนือล้ำกว่าคนทั้งหลายแล้ว!

ส่วนหวางเฉียนนั้นเป็นได้แค่หนึ่งในคนทั้งหลาย

ตอนนี้ร่างของเขามันจึงค่อยๆ กลับมาหนักแน่นเข้มแข็งอีกครั้ง

ตอนนี้ร่างวิญญาณของเย่หยวนมันหนักแน่นจนถึงที่สุดแล้ว

เมื่อเสียงของกลองสนธยาระฆังอรุณดังขึ้นมาอีกครั้งร่างของเย่หยวนนั้นกลับตั้งแน่นเหมือนดั่งขุนเขาไม่แสดงท่าทางบิดเบี้ยวใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย

ตอนนี้เขาไม่ต้องใช้ร่างหมอกใดๆ เลย

วินาทีเดียวกันนั้นเองมันก็ปรากฏรอยแยกขึ้นบนท้องฟ้า

ประตูห้วงมิติมันได้เปิดขึ้นต่อหน้าทุกคน!

“ประตูสู่ชั้นสอง!”

“หือ? นั่นมัน…”

“เสี้ยวคลื่นกำเนิด! ที่แท้แล้วเราต้องฝึกร่างวิญญาณกึ่งอมตะให้ถึงขั้นสุดภายใต้พลังของกลองสนธยาระฆังอรุณแล้วเสี้ยวคลื่นกำเนิดมันถึงจะปรากฏขึ้นมา!”

ตอนนี้มันมีเศษพลังงานที่รูปร่างเหมือนเสี้ยวของแก้วสีงามปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเย่หยวน

เศษแก้วนี้มันเป็นของเขา!

คนทั้งหลายนั้นต่างจ้องมาด้วยความริษยา

เย่หยวนเองก็ไม่เกรงใจเก็บมันไว้ด้วยรอยยิ้มทันที

“เอาล่ะ ตอนนี้กลองสนธยาระฆังอรุณก็ผ่านไปได้แล้ว เราจะเข้าสู่ระดับสองกัน! แน่นอนว่าคนที่คิดอยากจะบ่มเพาะฝึกด้วยกลองสนธยาระฆังอรุณต่อไปก็ยังสามารถอยู่ในชั้นนี้ได้”

พูดจบเย่หยวนก็กระโดดเข้าประตูห้วงมิติไปสู่ชั้นสอง

คนทั้งหลายนั้นต่างหันมามองหน้ากัน

ไม่นานมันก็มีคนพุ่งตัวตามขึ้นไป

ในตอนนี้ร่างวิญญาณของหวางเฉียนนั้นมันกลับมาหนักแน่นได้ดั่งเก่า

ไม่สิ มันหนักแน่นเสียยิ่งกว่าเก่าด้วยซ้ำ!

เขานั้นพุ่งตัวขึ้นชั้นสองไปอย่างไม่ลังเลใดๆ

“หึ! กลองสนธยาระฆังอรุณมันก็แค่เท่านี้แหละ ในระดับที่สองนั้นข้าจะไม่ขอแพ้ให้แก่เย่หยวนอีก!” หวางเฉียนนั้นกล่าวขึ้นมา

ไป๋ชุยซานนั้นสัมผัสได้ว่าร่างวิญญาณของเขายังพัฒนาได้ไม่สุด

เขาจึงยังไม่คิดที่จะรีบขึ้นไปชั้นสอง

คนที่ยังอยู่ในชั้นแรกนั้นมันก็มีอีกหลายคน แต่ส่วนมากแล้วล้วนแต่ขึ้นชั้นสองไปสิ้น

“อ่า! ช่างเป็นทะเลเพลิงที่รุนแรงนัก! หรือว่านี่มันคือทะเลเพลิงเกิดใหม่ในตำนาน?”

“รอบแรกนั้นมันเป็นการตีร่างวิญญาณ เช่นนั้นแล้วรอบนี้มันเป็นเรื่องใดกัน?”

“ไม่ดีแล้ว! ร่างวิญญาณของข้าแข็งแกร่งกว่าเก่าหลายเท่าแต่ก็ยังไม่อาจฝืนทนพลังของทะเลเพลิงนี้ได้!”

วินาทีแรกที่พวกเขานั้นขึ้นมาถึงชั้นที่สองพวกเขานั้นก็รู้สึกได้ว่าร่างวิญญาณของตนแทบจะมอดไหม้ลงไป!

ร่างวิญญาณของพวกเขาที่ผ่านการพัฒนามาจากชั้นแรกนั้นมันแทบไม่อาจทนรับไฟนี้ได้

เย่หยวนนั้นมีร่างวิญญาณที่หนักแน่นกว่าคนทั้งหลายมาก เขาจึงไม่ได้รู้สึกอะไรนัก

แต่ว่าเขาก็ต้องนั่งลงคิดต่อในทันที

ชั้นที่สองนี้มันเป็นสมบัติสืบทอดใด?

ตอนที่เขาอยู่ในโถงวิญญาณนิพพานนั้นเขาได้เข้าเตาหลอมวิญญาณและผ่านการตีของเต๋าไฟมาก่อน

หรือว่ารอบนี้เองมันก็จะเป็นการหลอมตัวเองผ่านเปลวไฟ?

เมื่อเย่หยวนคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา คนอื่นๆ เองก็ย่อมจะคิดถึงได้เช่นกัน

“เฮอะ ข้าเข้าใจแล้ว! ต่อให้มันจะอมตะมันก็ต้องผ่านการฝึกฝนหล่อหลอมมากมาย! มีเพียงแค่ตอนที่เต๋านับไม่ถ้วนเท่านั้นถึงจะไม่มีอันตรายใดๆ และนั่นก็ถือว่าเป็นร่างวิญญาณอมตะอย่างแท้จริง! บรรพบุรุษบู๋เมี่ยท่านคงไปถึงจุดนั้นได้แล้วแน่ๆ! ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ลงมือกันเถอะ!”

หวางเฉียนนั้นใช้แนวความคิดจากชั้นแรกและยิ้มกว้างร้องขึ้นมาอย่างมั่นใจก่อนจะเปลี่ยนร่างกลายเป็นหมอกลงใส่ทะเลเพลิง

วินาทีต่อมานั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความรุ่มร้อน!

เสียงกระอักดังขึ้นมาท่ามกลางหมอกนั้น

ตอนนี้หวางเฉียนนั้นรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก

แต่ว่าเขานั้นไม่ได้สนใจ เขานั้นค่อยๆ สัมผัสถึงความร้อนนี้และหวังจะใช้มันในการหลอมร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้น

ทว่ามีเพียงเย่หยวนที่นั่งขมวดคิ้ว

‘มันจะเป็นเช่นนี้จริง?’

………………………..