ตอนที่ 1802 คุกเข่า คำนับ ขอโทษ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

“ชื่อหลิงจื่อ ข้าเพียงแค่อยากประลองฝีมือกับเจ้าเท่านั้น เหตุใดต้องจากไปโดยไม่ร่ำลา”

ชื่อหลิงจื่อเพิ่งมาถึงไม่นาน เสียงที่เย็นยะเยือกราวกับหิมะน้ำแข็งก็ดังขึ้น จากนั้นหญิงชุดกระโปรงผ้าพลิ้วสีดำ ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาคนหนึ่งทะลวงอากาศเข้ามา

“โลกใหญ่วารีเร้น สุ่ยปี้อวิ๋นที่ไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน!”

หลายคนต่างอุทานด้วยความตกใจ

ไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน นั่นหมายความว่าในระดับมกุฎมหาอริยะของโลกใหญ่วารีเร้น พลังกดข่มคนรุ่นเดียวกัน มีเพียงเช่นนี้จึงจะคู่ควรกับฉายานี้

แม้แต่พวกอวี่อวิ๋นเหอยังจุ๊ปากไม่หยุด มองสุ่ยปี้อวิ๋นและชื่อหลิงจื่อที่อยู่กลางอากาศ สายตาเผยความตะลึง

อานุภาพของชื่อหลิงจื่อตะลึงโลก สะเทือนฟ้าดิน กดดันจนผู้อื่นหายใจไม่ออก สุ่ยปี้อวิ๋นกลับไม่ด้อยกว่าสักนิด หมายจะเปรียบเทียบด้วย!

“เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว ข้าเพิ่งจะค้นพบว่าอะไรที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า”

อวี่อวิ๋นเฟิงหดหู่

เป็นมกุฎมหาอริยะเหมือนกัน ทว่าชื่อหลิงจื่อและสุ่ยปี้อวิ๋นราวกับมังกรที่โดดเด่นในฝูงชน ทำให้พวกเขาทำได้เพียงแหงนมอง

“เทียบกับพี่หลินแล้ว พวกเขานับเป็นอะไร”

จู่ๆ อวี่อวิ๋นเหอก็พูดขึ้น

ทันใดนั้นอวี่อวิ๋นเฟิงและอวี่อวิ๋นหลงต่างสีหน้าชะงัก พวกเขาเกือบลืมไป ว่าคนที่อยู่ข้างๆ เป็นถึงพวกเย้ยฟ้าที่สามารถสังหารราชันอริยะได้!

การมาเยือนของชื่อหลิงจื่อและสุ่ยปี้อวิ๋นเป็นแค่จุดเริ่มต้น

หลังจากนั้นพร้อมกับเวลาที่ล่วงเลย บุคคลพลิกฟ้าที่ชื่อเสียงสะเทือนเขตแดนดาราจื่อเหิงมากมายก็ทยอยมาเยือนไม่ขาดสาย ล้วนมาจากโลกใหญ่ที่แตกต่างกัน ข้างกายหลายคนต่างมีผู้ติดตามและผู้แข็งแกร่ง ขับให้พวกเขาราวกับจันทราที่ดวงดารารายล้อมพิทักษ์

“ลี่โยวแห่งโลกใหญ่คมทอง อัจฉริยะวิถีกระบี่ที่หายากในหมื่นปี!”

“เลี่ยตงจั้นแห่งโลกใหญ่เขาเซียนเขียว ว่ากันว่าได้ก้าวสู่ระดับราชันอริยะก้าวหนึ่งแล้ว ฝีมือยอดเยี่ยม พลังต่อสู้โดดเด่น”

“เซียวปู้ตู้แห่งโลกใหญ่คลื่นขาว…”

บนฝั่งแม่น้ำเก้าแคว้นไม่เคยครึกครื้นเหมือนวันนี้มาก่อน ผู้กล้า อัจฉริยะเหล่านั้นราวกับหมู่ดาวที่สว่างไสว เปล่งแสงประกายแตกต่างกัน ยิ่งมีหญิงสาวแห่งยุคที่บุคลิกโดดเด่นเหนือใคร

และมีผู้มีชื่อเสียงที่มาจากโลกต้าอวี่เช่นเดียวกัน อย่างเช่นผู้สืบทอดสำนักอันดับหนึ่งหอกระบี่ดาราเลิศเป็นต้น

สีหน้าของพวกอวี่อวิ๋นเหอยิ่งเคร่งขรึมกว่าเดิม รู้สึกกดดันเป็นเท่าทวี

มีเพียงหลินสวินที่แน่วนิ่งไม่วอกแวก เหมือนไม่เห็นบุคคลสะดุดตาแต่ละคนที่ปรากฏตัวในที่นั้น นิ่งสงบอย่างมากตั้งแต่ต้นจนจบ

“อวี่อวิ๋นเหอ เจ้าถึงกับยังมีหน้าปรากฏตัวอีกหรือ”

ทันใดนั้นคนกลุ่มหนึ่งเดินมาจากไกลๆ ผู้นำคือชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายอยู่ในชุดหรูหรา คิ้วกระบี่เนตรดารา ท่าทางองอาจ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา

หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีเขียวเข้ม ผิวพรรณขาวผ่อง ผมดำเกล้าขึ้นสูง ดวงหน้างดงามละเอียด

ผู้พูดคือผู้หญิงที่งดงามไร้ที่ติคนนี้

“มู่ซิวฉีกับจางไป๋หรงแห่งสำนักยุทธ์เตาโอสถ”

“ที่แท้เขาก็คือจางไป๋หรง ศิษย์สืบทอดแท้จริงอันดับหนึ่งของสำนักยุทธ์เตาโอสถ หนึ่งในสี่ยอดมกุฎสุริยันผู้กล้าของโลกต้าอวี่!”

ผู้คนที่อยู่รอบข้างต่างฮือฮา จำฐานะของชายหญิงคู่นี้ได้

“มู่ซิวฉี?”

ในเวลาเดียวกัน หลินสวินนึกขึ้นได้ว่าตอนที่อยู่โลกลำนำสวรรค์ เจ้าคนที่ชื่อมู่ซิวหย่วนเคยฉีกสัญญาหมั้นหมายกับหนานชิว และพี่สาวของมู่ซิวหย่วนก็คือมู่ซิวฉีนั่นเอง

และเท่าที่หลินสวินรู้ ตอนแรกที่อวี่อวิ๋นเหอไปเยือนโลกลำนำสวรรค์ ก็เพื่อออกหน้าให้มู่ซิวหย่วน ใช้เรื่องนี้สร้างความประทับใจให้กับมู่ซิวฉี

พูดง่ายๆ อวี่อวิ๋นเหอก็คือคนที่ตามเกี้ยวคลั่งไคล้มู่ซิวฉี

หลินสวินมองไปก็เห็นว่ามู่ซิวฉีคนนี้รูปลักษณ์ถือว่าโดดเด่นอย่างมาก ทว่าตอนนี้สีหน้าแฝงความเย็นเยียบ ท่าทางกล่าวโทษ

“ศิษย์น้องซิวฉี ศิษย์พี่ไป๋หรง พวกเจ้ามาแล้ว”

อวี่อวิ๋นเหอทักทาย

“อย่ามาตีสนิท!”

มู่ซิวฉีกล่าวโทษ ราวกับต่อว่าผู้น้อยอย่างไรอย่างนั้น “ข้าถามเจ้า น้องชายข้าล่ะ เจ้าบอกว่าจะรับเขาจากโลกลำนำสวรรค์มาที่โลกต้าอวี่ แต่คนเล่าอยู่ไหน”

อวี่อวิ๋นเหออึ้ง เอ่ยอธิบาย “ศิษย์น้อง เรื่องมันยาว น้องชายคนนั้นของเจ้ามีตาหามีแววไม่ ล่วงเกินผู้ส่งสูงคนหนึ่ง…”

ไม่รอพูดจบก็ถูกมู่ซิวฉีตัดบท นางหน้านิ่วคิ้วขมวด เสียงเย็นเยียบ “เจ้าบอกว่าน้องชายข้ามีตาหามีแววไม่หรือ อวี่อวิ๋นเหอ เดี๋ยวนี้เจ้ากล้ามาก!”

“เหอะๆ”

จางไป๋หรงที่อยู่ข้างๆ ยิ้มอย่างแฝงความดูถูก “ศิษย์น้องซิวฉี เจ้าไม่ควรให้เขาจัดการเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ลูกผู้ดีเกเรคนหนึ่ง จะไว้ใจให้ทำอะไรได้อย่างไร”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนอวี่อวิ๋นเหอจะต้องยอมแพ้ ไม่โต้ตอบ ถึงขั้นอธิบายกับมู่ซิวฉีพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ทว่าหลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมาย อวี่อวิ๋นเหอเปลี่ยนความคิดไปนานแล้ว ตอนนี้เผชิญกับการบีบคั้นของมู่ซิวฉี ในใจเขาปรากฏความรังเกียจที่พูดไม่ออก

ที่ผ่านมาตนดันชอบผู้หญิงแบบนี้ ช่างตาบอดไปแล้วจริงๆ!

“ศิษย์น้องซิวฉี เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาข้าจะไม่ถือสาเจ้า เมื่อก่อนข้าชอบเจ้าจึงโอนอ่อนทุกอย่าง ยอมทุกเรื่อง ตอนนี้… เจ้าระวังคำพูดหน่อยจะดีที่สุด”

อวี่อวิ๋นเหอพูดอย่างเย็นเยียบ

มู่ซิวฉีอึ้งไปทันที นี่ยังใช่อวี่อวิ๋นเหอที่เชื่อฟังและทำตามคำสั่งของตนหรือไม่

หลายปีมานี้เขากล้าเถียงตนเสียที่ไหน

นางโกรธจนใบหน้างามคล้ำเขียว

“ศิษย์น้องอวิ๋นเหอ!”

จางไป๋หรงก้าวออกมา พูดอย่างเย็นเยียบ “เจ้าทำเกินไปแล้ว ยังไม่รีบขอโทษศิษย์น้องซิวฉีอีก”

ในสำนัก ฐานะของเขาสูงศักดิ์กว่าอวี่อวิ๋นเหอมาก ที่ผ่านมาคนที่พวกเขาดูถูกที่สุดก็คือพวกลูกผู้ดีอย่างอวี่อวิ๋นเหอ

ดังนั้นตอนที่เอ่ยปากจึงไม่เกรงใจสักนิด

อวี่อวิ๋นเหอหลุดขำออกมา “จางไป๋หรง เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ข้าขอโทษ”

“เจ้า… กล้ามาก!”

จางไป๋หรงสีหน้ามืดทะมึน

เหล่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ด้านหลังพวกเขาต่างอึ้งงัน แทบจะคิดว่าอวี่อวิ๋นเหอบ้าไปแล้ว ถังกับกล้าพูดจาเช่นนี้กับจางไป๋หรง

อวี่อวิ๋นเหอพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “เจ้าพูดถูก ข้าใจกล้ามากมาโดยตลอด”

“ดี ดีมาก วันนี้ข้าจะเป็นตัวแทนสำนัก สั่งสอนเจ้าคนบ้าระห่ำที่ทำผิดแล้วไม่รู้สำนึก ล่วงเกินผู้ที่สูงส่งกว่า!”

จางไป๋หรงว่า จากนั้นเงาร่างแผ่ออก กดฝ่ามือหนึ่งลงมา

ผู้ฝึกปราณในที่นั้นมากเพียงใด อีกทั้งบุคคลชั้นยอดที่มาจากเก้าโลกใหญ่ต่างมารวมตัวกันที่นี่ ภายใต้สายตาของทุกคน การโต้กลับของอวี่อวิ๋นเหอทำให้จางไป๋หรงทำหน้าไม่ถูก

“เจ้ากล้า!”

อวี่อวิ๋นเฟิงและอวี่อวิ๋นหลงต่างเดือดดาล อย่างน้อยอวี่อวิ๋นเหอก็เป็นลูกหลานตระกูลอวี่ของพวกเขา จะให้ถูกรังแกเช่นนี้ได้อย่างไร

เพียงแต่พวกเขาเพิ่งคิดจะลงมือ ชายชราชุดเทาคนหนึ่งพลันปรากฏตัว อานุภาพแผ่กระจายออกราวกับภูเขาถล่มสมุทรซัดสาด กดข่มจนทั้งสองหายใจไม่ออก

ราชันอริยะคนหนึ่ง!

ในใจทั้งสองต่างหวาดกลัว

และฝ่ามือนี้ของจางไป๋หรงก็พุ่งโจมตีมายังอวี่อวิ๋นเหอแล้ว ฝ่ามือที่พลุ่งพล่านเผด็จการนั่น ทำเอาห้วงอากาศถล่มจนเกิดเสียงอึงอล

อวี่อวิ๋นเหอนัยน์ตาหดรัด เขารู้ความแข็งแกร่งของจางไป๋หรงดี ศิษย์สืบทอดแท้จริงของสำนักยุทธ์เตาโอสถไม่ได้มีดีแค่ชื่อ

ทว่าเช่นเดียวกัน ครั้งนี้ไม่รออวี่อวิ๋นเหอลงมือ มือใหญ่ที่ขาวกระจ่างเรียวยาวข้างหนึ่งปรากฏกะทันหัน โบกเบาๆ ในอากาศ

ปัง!

จางไป๋หรงเซถอยออกไป หน้าอกสะเทือน ทรมานจนแทบจะกระอักเลือด

ในที่นั้นสะท้านสะเทือนไประลอกหนึ่ง ผู้คนไม่น้อยที่มองดูอยู่เผยสีหน้าประหลาดใจ สายตามองไปยังหลินสวินที่ไม่รู้ปรากฏตัวตรงหน้าอวี่อวิ๋นเหอตั้งแต่เมื่อไหร่

“เจ้าหมอนี่เป็นใคร ถึงกับสามารถทำให้จางไป๋หรงสะเทือนได้”

“ตระกูลอวี่มีคนร้ายกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

ผู้คนถกกันขึ้นมา

แต่ใบหน้าหล่อเหลาของจางไป๋หรงอึมครึมลงแล้ว สายตาวาบวาว เอ่ยว่า “เจ้าเป็นใคร ถึงกับกล้ายุ่งเรื่องภายในของสำนักยุทธ์เตาโอสถ”

“คุกเข่า คำนับ ขอโทษ” หลินสวินพูดเรียบๆ

หนึ่งประโยคหกพยางค์ ดังกังวานในหูของผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เตาโอสถอย่างพวกจางไป๋หรง มู่ซิวฉีอย่างชัดเจน ทำเอาพวกเขาต่างเดือดดาลยกใหญ่

เจ้าคนบ้าระห่ำ!

แม้แต่ชายชราชุดเทาที่ขวางอยู่ตรงหน้าอวี่อวิ๋นเฟิงและอวี่อวิ๋นหลง ความเย็นเยียบยังวาบผ่านในสายตา

“เจ้ารนหาที่ตาย!”

จางไป๋หรงความโกรธเพิ่มพูน

เขาเป็นถึงศิษย์สืบทอดแท้จริงอันดับหนึ่งของสำนักยุทธ์เตาโอสถ จะคุกเข่าขอโทษต่อหน้าผู้คนได้อย่างไร คำพูดนี้ของหลินสวินกระตุ้นความโกรธของเขาโดนสิ้นเชิง

พลังขับเคลื่อนที่น่ากลัวโคจรกึกก้องในร่างของจางไป๋หรง เห็นเพียงว่าแสงมรรคบนตัวเขาราวกับรุ้ง เหมือนมีมังกรครวญกึกก้อง อานุภาพทะลวงฟ้า

ตอนนี้สายตาคนในที่นั้นต่างหันมองโดยพร้อมเพรียงกัน

กลับเห็นหลินสวินไม่พูดจา เพียงยื่นมือข้างหนึ่งออกไปกดกลางอากาศ

ตูม!

พลังที่น่ากลัวสายหนึ่งพลันแผ่กระจาย ราวกับภูเขาเทพดึกดำบรรพ์ทับบนร่างจางไป๋หรง จะกดให้เขาคุกเข่าลง!

จางไป๋หรงเสื้อผ้าโบกสะบัด พลังพลุ่งพล่าน สามารถมองเห็นว่าด้านหลังเขา กระดูกสันหลังราวกับมังกรใหญ่ทะยานขึ้นโดยพลัน เปลี่ยนเป็นเตาโอสถใบหนึ่ง

พลังเตามังกรอัศจรรย์!

“ทำลาย!”

จางไป๋หรงคำราม เตาใหญ่ที่รูปลักษณ์ราวกับมังกรเปล่งแสง ระเบิดพลังไร้ขอบเขต

พลังปราณระดับมกุฎมหาอริยะทั้งร่างของเขา บวกกับพรสวรรค์แปลกประหลาด หลอมกายมรรคอัศจรรย์ พลังต่อสู้ทั้งร่างแข็งแกร่งยิ่งยวด

แต่กลับเหนือคาดหมายของเขา

เพียงครู่เดียวพลังเตามังกรอัศจรรย์กก็ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นพลังฝ่ามือที่ไร้ใดเปรียบก็กดลงมา ซัดจนพลังพิทักษ์กายแหลกละเอียด

เสียงปังดังขึ้นคราหนึ่ง แขนขาของเขาหมอบพื้นในท่าหมากินขี้ อวัยวะห้าส่วนสัมผัสพื้น

หนึ่งฝ่ามือ กำราบศิษย์สืบทอดแท้จริงของสำนักยุทธ์เตาโอสถ!

“นี่…”

ทุกคนในที่นั้นล้วนตะลึง จางไป๋หรงเป็นถึงหนึ่งในสี่ยอดมกุฎสุริยันผู้กล้าแห่งโลกต้าอวี่ ชื่อเสียงสะเทือนทั่วหล้านานแล้ว แม้เทียบกับพวกพลิกฟ้าที่สามารถทำให้ทั้งเขตแดนดาราจื่อเหิงตกตะลึงอย่างชื่อหลิงจื่อ สุ่ยปี้อวิ๋นไม่ได้ แต่ก็เป็นระดับแนวหน้าในคนรุ่นเดียวกัน แต่มาถูกกำราบง่ายๆ เช่นนี้น่ะหรือ

“อ๊าก!”

จางไป๋หรงคำราม ใบหน้าแดงก่ำ โกรธจนแทบคลั่ง

เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ กลับยิ่งถูกกดลงอีก ทั้งร่างส่งเสียงดังโครม กระแทกกับพื้นดิน

ทั้งที่นั้นเงียบสงัด ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เตาโอสถเหล่านั้นต่างร้องเสียงหลง กลัวจนหน้าเปลี่ยนสี นี่เป็นไปได้อย่างไร

มู่ซิวฉีเบิกตาโพลง ไม่กล้าเชื่อ ร่างกายสั่นสะท้าน ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

มีเพียงอวี่อวิ๋นเหอ อวี่อวิ๋นเฟิง อวี่อวิ๋นหลงสามคนเท่านั้นที่นิ่งสงบมาก พวกเขาต่างเคยเห็นความสามารถที่แท้จริงของหลินสวิน แค่กำราบจางไป๋หรงคนเดียวเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร

“ปล่อยข้า ไม่เช่นนั้นสำนักยุทธ์เตาโอสถของข้าจะทำลายเจ้าจนสิ้นซาก!”

จางไป๋หรงคำราม

“ให้เจ้าขอโทษ เจ้ากลับขู่ข้า ไม่รู้จักประมาณตน”

ดวงตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ พลังฝ่ามือพรั่งพรู เพียงได้ยินเสียงเปรี๊ยะๆ ระลอกหนึ่ง จางไป๋หรงพลันส่งเสียงกรีดร้อง กระดูกแขนขาหัก เลือดออกเจ็ดทวาร เลือดเนื้อไม่เหลือสภาพ

“หยุดมือ!”

เสียงที่น่าเกรงขามดังขึ้น จู่ๆ ร่างชายชราชุดเทาที่ขวางอยู่ตรงหน้าอวี่อวิ๋นเฟิงและอวี่อวิ๋นหลงพลันพริบไหว ฝ่ามือราวกับกระบี่พุ่งไปยังหลินสวิน

ราชันอริยะคนหนึ่งลงมือ อานุภาพระดับนั้นใช่ว่าคนทั่วไปจะเทียบได้

เพียงแต่ตอนที่ทุกคนต่างคิดว่าหากหลินสวินไม่ถูกกำราบก็คงเลือกจะหลีกหนี ภาพที่เหนือความคาดหมายพลันเกิดขึ้น

เขากลับยืนอยู่กับที่ไม่ขยับสักนิด ยื่นมือกดลงไปในอากาศอีกครั้ง