“ศิษย์พี่เย่?”

“ถูกต้อง ข้าเอง และชื่อที่แท้จริงของข้าก็ไม่ใช่เย่ห้าวหรานเช่นกัน แต่เป็นหลัวซิว”

เสิ่นปิงหยูผงะไปแล้ว นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้จะเป็นผู้ที่ตนพบเห็นในโลกามนุษย์เมื่อปีนั้น

นางยังจำได้อยู่ว่าเมื่อนั้นนางค้นพบว่าพรสวรรค์ของคนดังกล่าวไม่เลว ดังนั้นจึงมีความคิดที่จะเชิญชวนเขาเข้ามาในวังเซียนมหาวาลแต่ทว่าทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงได้เสมอ นี่เพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่ปีเอง ตัวเองกลับกลายเป็นผู้ติดตามของฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว

นึกย้อนกลับไปถึงภาพเหตุการณ์ที่ตนอยากเชิญชวนเขาเมื่อปีนั้น เสิ่นปิงหยูก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวเองน่าขำเล็กน้อย ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะมีทางต้องตานางได้อย่างไร จะมีทางต้องตาวังมหาวาลได้อย่างไร?

“คุณชาย แล้วเมื่อปีนั้นเหตุใดท่านถึงสามารถปล่อยพลังอมตะเคล็ดวิชาในเคล็ดฟ้าดินมหาวาลของวังมหาวาลของเราได้ล่ะเจ้าคะ? หรือว่าท่านเคยฝึกวรยุทธ์นี้มาก่อนจริง ๆ ?”เสิ่นปิงหยูถามคำถามที่สงสัยในใจอย่างอดไม่ได้

“ข้าไม่เคยฝึกเคล็ดฟ้าดินมหาวาล แต่ทว่าเคยเรียนรู้แก่นแท้ของวรยุทธ์ดังกล่าวมาก่อน ทราบความเร้นลับที่อยู่ภายใน จึงสามารถปลดปล่อยออกมาได้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว”

หลัวซิวไม่ได้อธิบายมากนัก จากนั้นเขาก็ถ่ายทอดวิชาการฝึกเคล็ดตรีภพโกลาหลให้แก่เสิ่นปิงหยู

ในส่วนของกระบี่ตรีภพนั้น ก็ต้องเก็บไว้ที่หลัวซิวก่อนอยู่แล้ว มีเพียงรอให้เสิ่นปิงหยูฝึกร่างตรีภพสำเร็จแล้ว ถึงจะสามารถควบคุมกระบี่ผงาดเลิศเล่มนี้ได้อย่างแท้จริง

“ศิษย์พี่ ท่านจะเอากระบี่ตรีภพให้นางจริง ๆ หรือ?”

เมื่อได้รับเคล็ดตรีภพโกลาหลแล้วเสิ่นปิงหยูจึงฝึกตนปิดขัง จะฝึกฐานร่างของตนให้บรรลุเป็นร่างตรีภพ และหลัวซิวก็ไม่ได้ตระหนี่วิธีการฝึกของตนเช่นกัน ให้นางฝึกตนในโลกาศุภร จะได้ลงแรงน้อยและได้ผลสูง

จีเสี่ยวจื่อรู้สึกสงสัยและไม่ค่อยเข้าใจต่อเรื่องที่เขาสืบทอดกระบี่ตรีภพให้แก่เสิ่นปิงหยู

นางก็เคยพบเห็นพลานุภาพของกระบี่ตรีภพด้วยตาสายตนเองมาก่อนเช่นกัน โอรสสวรรค์โชคลาภนั่นไม่ใช่แม้กระทั่งมกุฎเทพ มีผลการฝึกตนเพียงกึ่งมกุฎเทพ กลับสามารถอาศัยพลานุภาพอันดุดันของกระบี่ตรีภพโค่นล้มพระโอรสจ้านเทียนได้อย่างง่ายดาย

ต้องท้าวความก่อนว่าศักยภาพของพระโอรสจ้านเทียนนั่นเพียงพอที่จะเทียบทัดมกุฎเทพช่วงปลายเชียวนะ โดยส่วนใหญ่แล้วนั่นก็หมายความว่าเมื่อมีกระบี่ตรีภพเล่มหนึ่งอยู่ในมือ ก็เพียงพอที่จะทำให้นักยุทธ์กึ่งมกุฎเทพคนหนึ่ง มีกำลังรบที่เทียบทัดมกุฎเทพช่วงปลายตลอดจนมกุฎเทพขั้นสูงแล้ว

แต่ทว่าหลัวซิวกลับเอาอาวุธที่ทรงพลังเช่นนี้มอบให้ผู้อื่น จีเสี่ยวจื่อจึงไม่มีทางเข้าใจอยู่แล้ว

“กระบี่เล่มนั้นไม่เลวก็จริง ทว่ามันกลับไม่เหมาะกับข้า”หลัวซิวยิ้มพลางส่ายหน้า “เดิมทีข้าอยากเอากระบี่เล่มนั้นให้เจ้า แต่เจ้าไม่เหมาะกับการฝึกวิถีแห่งตรีภพ เจ้าเหมาะกับวิถีแห่งปริภูมิมากกว่า”

“อีกทั้งเมื่อนำกระบี่ตรีภพให้แก่เสิ่นปิงหยู คอยหลังจากที่ออกไปจากแดนเทวนิรันกาล เมื่อเสิ่นปิงหยูนำกระบี่ตรีภพกลับไปยังวังมหาวาล มันก็จะดึงดูดความสนใจของสำนักจักรพรรดิและแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ และพวกเราก็จะปลอดภัยเช่นกัน”

หลัวซิวก็วางแผนเรื่องนี้ตั้งนานแล้วเช่นกัน หากไม่มีกระบี่ตรีภพ สมมุติว่าเมื่ออยู่ภายใต้การกดดันจากสำนักจักรพรรดิจ้านเทียนและกองกำลังอื่น ๆ บางทีวังมหาวาลอาจจะส่งตัวเสิ่นปิงหยูและเชี่ยนหยุนออกไป

แต่ถ้าเกิดมีกระบี่ตรีภพ เช่นนั้นก็จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง วังมหาวาลต้องทุ่มสุดกำลังสามารถเพื่อคุ้มกันพวกนางแน่นอน

อีกทั้งถึงครานั้นไม่ว่าจะเป็นสำนักจักรพรรดิจ้านเทียน หรือว่าตระกูลมู่และตระกูลกง ก็ต้องถูกกระบี่ตรีภพเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่สืบหาความเป็นมาของเขาและจีเสี่ยวจื่ออย่างสุดความสามารถ

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็จะมีเวลาที่เพียงพอเพื่อเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จักรวาลของมหาโลกาพันสามนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมากเพียงใด หากตาแก่เหล่านั้นอยากตามหาเขาละก็ ต้องยากยิ่งกว่าการเดินขึ้นสวรรค์แน่นอน

เวลาผ่านพ้นไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตั้งแต่แดนเทวนิรันกาลเปิดออกจวบจนปัจจุบัน เวลาก็ล่วงเลยไปสิบปีแล้ว

สำหรับอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจำนวนมากแล้ว ผู้ที่มีผลการฝึกตนต่ำสุดก็อยู่ที่กึ่งมกุฎเทพอยู่ ซึ่งในระหว่างนี้ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าพิโรธสำเร็จเช่นกัน ผลการฝึกตนเลื่อนขึ้นไปถึงแดนมกุฎเทพอย่างราบรื่น อายุไขก็มากกว่าหนึ่งล้านปีแล้ว