ตอนที่ 3469 : ความชั่วร้ายของวิหารเฟิงฮ่าว
หลังศึกอัจฉริยะรอบที่ 3 จบลง ก็จะมีเวลาพักหนึ่งเดือน ก่อนที่ศึกอัจฉริยะรอบที่ 4 จะเริ่มต้นขึ้น
และในรอบที่ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์นั้น ในบรรดา 300 คนจากรอบที่ 3 ก็จะถูกคัดให้เหลือแค่ 100 คนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อัจฉริยะที่ติด 100 อันดับแรกของศึกอัจฉริยะสวรรค์แล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะได้รับคุณสมบัติให้เข้าสู่ห้องลับแห่งกฎของวิหารเฟิงฮ่าวทุกคน เพราะมีแต่อัจฉริยะ 30 อันดับแรกเท่านั้นที่จะได้รับรางวัลดังกล่าว
เป็นธรรมดาว่าถึงจะไม่ได้รางวัลเช่นนั้น แต่การได้ติดอยู่ใน 100 อันดับแรกของศึกอัจฉริยะสวรรค์ ก็ถือว่าเป็นการสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองครั้งใหญ่แล้ว แถมยังได้รับของรางวัลอย่างอื่นจากวิหารเฟิงฮ่าวอีก และนั่นก็ถือว่าดีไม่น้อย
สําหรับ 30 อันดับแรกที่แข็งแกร่งที่สุดนั้น จะถูกตัดสินในรอบที่ 5
ในรอบที่ 6 จะเฟ้นหา 10 อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุด
ส่วนในรอบที่ 7 ก็จะรู้ว่าผู้ใดคืออัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับ 1!
กล่าวได้ว่าศึกอัจฉริยะสวรรค์นั้น มีด้วยกันทั้งสิ้น 7 รอบ และยิ่งผ่านเข้ารอบหลังๆมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งรู้ผลเร็วขึ้นเท่านั้น เพราะจํานวนผู้ที่ประลองก็จะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ
ต่างจากรอบ 3 ที่เฟ้นหาอัจฉริยะ 300 คน จึงใช้เวลานานมาก
และในบรรดา 300 คนที่สามารถผ่านเข้าสู่รอบที่ 4 ได้นั้น หลายคนก็บาดเจ็บไม่น้อย เช่นนั้น ฉีคงไม่รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ผู้เป็นประธานในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ ถึงมอบเวลาพักฟื้นให้ทุกคนถึง 1 เดือน
หลังจบรอบที่ 3 แล้ว แต่ละคนก็แยกย้ายกันจากไป
ครั้งนี้ถึงแม้ฟงชิงหยยางจะไม่ได้บอกให้ต้วนหลิงเทียนรั้งอยู่ แต่ต้วนหลิงเทียนก็รั้งอยู่คุยกับฟงชิงหยาง หลังจากบอกให้ซูหลี่และหลิงเจวี่ยอขึ้นให้กลับไปก่อนแล้วเขาก็เหินร่างไปหาฟงชิงหยางทันที
เนื่องจากต้วนหลิงเทียนได้ส่งข้อความไปแจ้งฟงชิงหยางแต่แรก เช่นนั้นฟงชิงหยางก็เลยไม่ได้กลับไปพร้อมกับจักรพรรดิสวรรค์หยวนสือเทียน เลือกจะรอคุยกับต้วนหลิงเทียน
“ท่านอาจารย์ ก่อนหน้านี้ฉีคงไห่รองงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักนั่น มันยื่นข้อเสนอให้ข้าแบ่งปันมรรคากระบี่ทําลายล้างของท่าน”
ต้วนหลิงเทียนไตร่ตรองเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ทําให้ถึงจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แต่ก็เลือกจะบอกฟงชิงหยางตามตรง
สําหรับเขา หากไม่มีฟงชิงหยาง ก็คงไม่มีเขาอย่างทุกวันนี้
เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว เขาเองก็ไม่ทราบว่ามันมีลับลมคมในอะไรหรือไม่ ไฉนวิหารเฟิงฮ่าวถึงต้องการมรรคากระบี่ทําลายล้างของอาจารย์เขาด้วย? เช่นนั้นเขาจึงเลือกจะบอกฟงชิงหยาง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทําให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจก็คือ ฟงชิงหยางไม่มีทีท่าว่าจะแปลกใจเลยที่ได้ยินเรื่องนี้ ราวกับคาดเดาไว้แต่แรกแล้วว่าจะเกิดเรื่องทํานองนี้ขึ้น “แล้วมันสัญญาจะมอบอะไรให้เจ้าบ้างเล่า?”
“มันสัญญาว่าจะมอบสิทธิ์เข้าใช้ห้องลับแห่งกฏในระดับเดียวกับชนชั้นรองจ้าววิหารสาขาหลักขึ้นไปให้กับข้า”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“โฮ่ นับว่าทุ่มทุนสร้างไม่เบา”
ใบหน้าที่แลดูสงบของฟงชิงหยางเริ่มยกยิ้มบางๆ
“ท่านอาจารย์เรื่องนี้ท่านไม่แปลกใจเลยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรน่าแปลก”
ฟงชิงหยางสายหัวพลางกล่าว “หากเป็นก่อนที่จะเข้าสู่นรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลก ข้าอาจจะแปลกใจอยู่บ้างถ้าได้ยินเรื่องนี้ แต่หลังจากข้าเข้าไปที่นั่นแล้ว ข้าก็เข้าใจวิหารเฟิงฮ่าวมากขึ้นไม่น้อย”
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนมองฟงชิงหยางด้วยความงุนงง ด้วยไม่เข้าใจว่าฟงชิงหยางหมายความว่าอะไร
“ตามข้ามาก่อนค่อยว่ากัน”
ฟงชิงหยางกล่าวเสร็จก็นําต้วนหลิงเทียนไปยังสถานที่พักที่ท่างพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ หยวนสื่อเทียนจัดให้เหล่าจักรพรรดิสวรรค์ เป็นลานที่พักกลางเขาลูกหนึ่งซึ่งเงียบสงบมากมีก็แต่เสียงนกร้องเท่านั้น
หลังฟงชิงหยยางผายมือให้ต้วนหลิงเทียนนั่งลงแล้ว มันก็นั่งลงบนโต๊ะหินอ่อนฝั่งตรงข้ามต้วนหลิงเทียนอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“ข้าเข้าไปผจญภัยในนรกอสุรา เรื่องนี้เจ้าก็คงได้ยินมาแล้ว และในสถานที่ๆข้าไปนั่น ข้าก็ พบเจอผู้ที่เข้าใจ เต๋าของตัวเองในระดับเบื้องต้นคนหนึ่งที่กําลังจะตาย จนสุดท้ายข้าก็เลยได้ฟังคําสั่งเสียของมัน…”
พอฟงชิงหยางเกริ่นมาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดตกใจไม่ได้ กระทั่งผู้ที่เข้าใจเต๋าของตัวเองแล้วยังตาย? นรกอสุราที่แท้อันตรายถึงขนาดไหนกัน?
อีกทั้งไม่ทราบคนที่ตายนั่นมีด่านพลังฝึกปรืออะไร
หากเป็นครึ่งก้าวเทพ ก็หมายความว่าเป็นยอดฝีมือระดับเทพสงคราม 9 ดารา! หมายความว่า นรกอสุรามีอันตรายถึงขั้นทําให้ตัวตนระดับนี้ไม่รอด!
“คนผู้นั้นก็บอกข้ามา…ว่าที่มันต้องเข้าสู่นรกอสุราเพราะถูกวิหารเฟิงฮ่าวไล่ฆ่า!”
ฟงชิงหยางกล่าวสืบต่อว่า “สถานการณ์ของมันยังหนักหนากว่าข้าในปีนั้นไม่น้อย เพราะสุดท้ายคนที่ไล่ฆ่าข้าก็เป็นเพียงครึ่งก้าวเทพเท่านั้น จึงไม่กล้าไล่ตามข้ายามข้าล่วงลึกเข้าไปในนรกอสุรา และถอนตัวไปแคใกล้ๆเขตทางเข้าออก”
“อย่างไรก็ตาม คนผู้นั้นมันถูกจ้าววิหารเฟิงฮ่าวไล่ฆ่า…กระทั่งยังตามล่าจนล่วงล้ําผ่านปากทางเข้าออกมาลึกพอสมควร
“และไฉนที่ทําให้วิหารเฟิงฮาวไล่ล่ามันถึงขนาดนี้เพราะวิหารเฟิงฮ่าวคิดควบคุมตัวมัน และบีบคั้นให้มันเผยขั้นตอนทั้งหมดก่อนจะเข้าใจเตเบื้องต้นออกไป”
“ตั้งแต่วินาทีนั้น ข้าจึงได้รู้ว่าวิหารเฟิงฮ่าวนั้นละโมบในเต๋ของผู้อื่นมาก และด้วยมีเรื่องของคนผู้นั้นเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ข้าจึงรู้เช่นเห็นชาติคนของวิหารเฟิงฮ่าว”
ได้ยินคําพูดของฟงชิงหยางง ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจว่าไฉนอาจารย์เขาถึงไม่แปลกใจตอนเขาพูดเรื่องนี้
ที่แท้อาจารย์เขารู้แต่แรกแล้ว ว่าวิหารเฟิงฮ่าวหมายตาเต่ของผู้อื่น!
ขณะเดียวกันฟงชงหยางก็เริ่มกล่าวต่อ “ปกติแล้ว เต๋ามรรคาวิถี คือสิ่งจําเพาะสําหรับ คนๆหนึ่ง ถึงแม้จะนําเต่ําของตัวเองไปสอนสั่งผู้อื่น แต่ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดก็ไม่มีวันก้าวข้ามผู้ถ่ายทอดได้ อีกทั้งจะลอกเลียนได้ก็แค่เต๋าช่วงแรกๆเท่านั้น และยังไม่ถึงขั้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว”
“ก็เหมือนกับมรรคากระบีมิติของเจ้า”
“วันนี้ตอนเจ้าเผยมรรคากระบี่มิติ หากเป็นผู้ที่เคยเห็นข้าลงมือกับตา กระทั่งขอแค่เห็นการลงมือของข้าผ่านลูกแก้วเงาลอย พวกมันย่อมมองเห็นร่องรอยมรรคากระบี่ทําลายยล้างของข้าในนั้น!”
“จึงเป็นธรรมดาที่พวกมันจะตระหนักได้ว่า เจ้าริเริ่มเข้าใจมรรคากระบี่ของตัวเอง หลังจากเดินตามรอยข้าช่วงหนึ่ง”
“ยิ่งไปกว่านั้น มรรคากระบี่ของเจ้าก็คือขั้นตอนเบื้องต้น!”
“สําหรับคนของวิหารเฟิงฮ่าวแล้ว สิ่งนี้มันนน่าเย้ายวนใจมาก…กระทั่งมรรคากระบี่ทําลายล้างของข้าในตอนนี้ ก็ไม่ดึงดูดใจเท่ามรรคากระบี่มิติของเจ้าเท่านั้น”
“มรรคากระบี่ของข้า คือสิ่งที่ข้าเข้าใจถ่องแท้เพียงผู้เดียว มันเป็นเส้นทางที่เกิดขึ้นนั่งข้าหล่อหลอมประสบการณ์ของข้า ยากที่ผู้ใดจะมาเลียนแบบได้”
“ทว่ามรรคากระบี่มิติของเจ้าที่มีพื้นฐามาจากมรรคากระบี่ทําลายล้างของข้านั้น ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งเป็นอะไรที่ง่ายจะลอกเลียนและใช้เป็นแนวทางไปต่อยอดที่สุด กล่าวได้ว่าที่วิหารเฟิงฮ่าวต้องการจริงๆไม่ใช่มรรคากระบี่ทําลายล้างของข้า แต่เป็นมรรคากระบี่มิติของเจ้าต่างหาก”
“กล่าวให้ชัดก็คือ พวกมันต้องการวิธีเข้าใจมรรคากระบี่มิติเบื้องต้นของเจ้าที่มีพื้นฐานมาจากมรรคากระบี่ทําลายล้างของข้า”
“หากมรรคากระบี่มิติของเจ้าก้าวหน้าพอๆกับมรรคากระบี่ทําลายล้างของข้า และกลายเป็นเส้นทางของเจ้าจริงๆแล้วก็คงไม่ย้วยยวนใจพวกวิหารเฟิงฮ่าวเหมือนตอนนี้”
หลังได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็หวาดกลัวจนเหงื่อแตก
เขาหลงคิดว่านี่คงไห่รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักคิดหวังในมรรคากระบี่ทําลาล้างของงอาจารย์ แต่ไม่คิดเลยจริงๆว่าที่แท้สิ่งทอีกฝ่ายหมายตาจะเป็นมรรคากระบี่มิติของเขา เรื่องนี้เขาไม่เอะใจมาก่อนเลย
ถึงแม้เขาจะไม่เคยคิดทรศอาจารย์ แต่พอฉุกคิดถึงผลที่จะตามมาหลังจากการทรยศอาจารย์ ก็อดไม่ได้ที่จะกลัวจนเหงื่อแตก
พอถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่เขาที่เป็นคนทรศ จะทําให้อาจารย์ผิดหวังจนตัดไมตรีและไม่ไยดีครอบครัวเขา วิหารเฟิงฮ่าวเองก็คงไม่มีทางปล่อยเขากับครอบครัวไปแน่ พวกมันไม่พ้นต้องรีดเค้นมรรคากระบีมิติของเขาออกไปให้ได้ และถ้าไม่มีอาจารย์อย่างฟงชิงหยางหนุนหลัง เกิดตกไปอยู่ในกํามือของวิหารเฟิงฮ่าวก็เกรงว่าจะ 9 ตาย 1 รอดแล้ว
“วิหารเฟิงฮ่าวนั่นไม่คิดเลิกราง่ายๆแน่”
ฟงชิงหยางเลิกคิ้วขึ้น “คราวนี้หากเจ้าได้รับโอกาสในการเข้าสู่ห้องลับแห่งกฎ ข้าจะติดตามเจ้าไปด้วย…เพราะถ้าเจ้าไปคนเดียว เกรงว่าเจ้าคงไม่ได้กลับมาแล้ว”
“เพราะถึงตอนนั้นไม่พ้นพวกมันต้องเลือกขังเจ้าไว้ และบีบคั้นทรมานเจ้าทุกทาง เพื่อให้เจ้ามอบมรรคากระบี่มิติออกไปเป็นแน่”
“หากเจ้าไม่ย่อมส่งมอบขั้นตอนฝึกปรือทั้งหมด ต่อให้พวกมันจะไม่ฆ่าเจ้า แต่พวกมันก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปง่ายๆ
พอฟงชิงหยางกล่าวถึงจุดนี้ ก็มองลึกไปที่ต้วนหลิงเทียน “และหากพวกมันได้รับมรรคากระบี่มิติจากเจ้า พวกมันก็คงฆ่าเจ้าทิ้งทันที จากนั้นก็จะออกประกาศว่า…เจ้าขายมรรคากระบี่ทําลายล้างของข้าให้คนของวิหารเฟิงฮ่าวเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว พวกมันก็เลยช่วยข้าเก็บกวาดคนทรยศ…”
“หลังจากนั้นมันก็จะนํามรรคากระบี่มิติเบบื้องต้นของเจ้าไปถ่ายทอดให้คนของมัน จนเมื่อคนของมันใช้มรรคากระบี่มิติของเจ้าได้เมื่อไหร่ พวกมันก็จะมีสิ่งยืนยันว่าที่พวกมันพูดทั้งหมดเป็นความจริง”
ทุกคําที่ฟงชิงหยางพูด อันที่จริงต้วนหลิงเทียนก็เริ่มคิดได้ตั้งแต่เมื่อครู่ จึงทําให้เขาหวั่นใจจนอดไม่ได้ที่จะเหงื่อตก
“วิหารเฟิงฮาว…พวกมันชั่วขนาดนี้เชียว”
สองตาต้วนหลิงเทียนสั่นไหว
“เจ้าคิดว่าขุมกําลังที่ดํารงอยยยู่สืบทอดกันมาเนิ่นนานในระนาบเทวโลกจากอดีตจนถึงปัจจุบัน…พวกมันทําได้อย่างไรเล่า? หากพวกมันใจอ่อน ไม่โหดเหี้ยม ไหนเลยจะครองตําแหน่งที่ไร้ผู้ใดสั่นคลอนได้จนถึงวันนี้”
ฟงชิงหยางกล่าว
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เพราะเท่าที่เขาทราบมา ไม่ว่าจะระนาบเทวโลกไหน ประวัติศาสตร์ของวิหารเฟิงฮ่าวก็เป็นอะไรที่เก่าแก่และยาวนานที่สุด เหนือกว่าขุมกําลังใดๆ
พูดได้เลยว่า ในระนาบเทวโลกทั้งมวล ไม่มีใครหรือขุมพลังไหนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าวิหารเฟิงฮ่าวแล้ว
ยังกล่าวกันว่า
ประวัติศาสตร์ของวิหารเฟิงฮ่าว ก็คือประวัติศาสตร์ของระนาบเทวโลก!
และสิ่งนี้ไม่ใช่คําพูดลอยๆ!
“ศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ วิหารเฟิงฮ่าวไม่พ้นส่งศิษย์ที่พวกมันเพาะสร้างมาเป็นอย่างดีเข้าร่วมแน่ เนื่องเพราะพวกมันกล้านําผลอมตะหยวนปะทุออกมาเป็นของรางวัล เผยให้เห็นว่าศิษย์ของพวกมัน 9 ใน 10 สวนสมควรเป็นเทพสงคราม 6 ดารา!”
ฟงชิงหยางกล่าวเปลี่ยนเรื่อง และเปิดประเด็นเรื่องศิษย์อัจฉริยะที่วิหารเฟิงฮ่าวปลูกฝังออกมา และตั้งใจจะมอบผลหยวนอมตะในลักษณะนี้
“เพียงแค่ข้าไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด”
“อย่างไรก็ตามจนถึงบัดนี้ นอกจากเจ้า หลิงเจี่ยอขึ้นและคนอื่นๆอีก 2-3 คน ก็มีเพียงไม่กี่คนที่เผยพลังฝีมือเหนือเทพสงคราม 3 ดารา”
“ไม่ต้องกล่าวถึงใดอื่น เอาแค่ศิษย์ที่แท้จริงลําดับ 3 ของจักรพรรดิสวรรค์ชวนหยวนเทียน อวี๋ตงฟาง ผู้นั้น จนบัดนี้ก็เพียงเปิดเผยพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 2 ดาราออกมาเท่านั้น…แต่เป็นธรรมดาว่ามันเป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงมานาน ทุกคนล้วนรู้กันดีว่ามันอาจจะบรรลุถึงเทพสงคราม 4 ดาราขึ้นไป”
“หากจะพูดถึงเรื่องนี้ก็คงบอกได้เพียยงแต่ว่า ทุกคนเพียงเปิดเผยยอดภูเขาน้ําแข็งออกมาเท่านั้น ยากจะบ่งบอกถึงพลังฝีมือที่แท้จริงได้”
“ถึงแม้พลังฝีมือเจ้าจะดี แต่ก็อย่าได้ประมาทไป เดี๋ยวจะกลายเป็นเรือล่มในคลองระบายน้ําเสียเปล่าๆ”
กล่าวถึงประโยคท้า ฟงชิงหยางก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มแหยๆออกมา มันย่อมมั่นใจ ในพลังฝีมือของลูกศิษย์คนนี้ เกรงก็แต่จะประมาทจนพลาดท่าเท่านั้น
“ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคํา ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสมือนเลือดในกายสูบฉีดแล่นพล่านขึ้นมา
อัจฉริยะที่วิหารเฟิงฮ่าวส่งเข้าร่วม…ต้องสงสัยว่าจะเป็นเทพสงคราม 6 ดารานั้น