ตอนที่ 3473

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3473 : จงกุ้ยอรี่

“300 คน แบ่งกันจับคู่ประลองทั้งสิ้น 150 คู่คู่ประลองนี้วิหารเฟิงฮ่าวเป็นคนจัดรี?”

หลังได้ยินคําพูดของฉีคงไห่ แม้อัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งหลายจะเตรียมใจมาแล้วแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอยู่บ้าง

เพราะนี่ไม่ใช่ว่าสามารถลอบเล่นตุกติกอะไรได้หรือไร?

เป็นธรรมดาว่าถึงแม้พวกมันจะรู้ดีว่าวิหารเฟิงฮ่าวอาจเล่นตุกติกแต่อย่างดีพวกมันทําได้แค่จับคู่ประลองให้อัจฉริยะของพวกมันพบเจอกับคู่ต่อสู้ที่อ่อนด้อยกว่าแค่ช่วงแรกๆเท่านั้น

สุดท้ายแล้วพอถึงตอนท้าประลอง หากอัจฉริยะของวิหารเฟิงฮ่าวไม่มีพลังฝีมือเข้มแข็งจริงๆสุดท้ายก็ต้องถูกท้าจนแพ้พ่ายอยู่ดี

อย่างไรเสียศึกอัจฉริยะสวรรค์ก็เป็นวิหารเฟิงฮาวริเริ่มจัดขึ้น แถมก็เป็นพวกมันที่ออกของรางวัลให้แม้ว่าผู้คนของวิหารเฟิงฮ่าวจะได้เปรียบนิดๆหน่อยๆ แต่ก็ไม่มีใครสนใจอะไร

ในเมื่อผู้อื่นทุ่มทุนสร้างแล้ว จะไม่ให้มีอภิสิทธิ์เลยได้อย่างไร?

ยิ่งไปกว่านั้นอภิสิทธิ์ดังกล่าว ก็ไม่ใช่ว่าจะกระทบต่อความเป็นธรรมอะไร

ที่จะไม่พอใจอยู่บ้าง ก็มีแค่ผู้มีพลังฝีมือปานกลางในบรรดา 300 อัจฉริยะที่สามารถเบียดเข้ารอบมาได้ สําหรับยอดฝีมือนั้นไม่ได้แยแสอะไร

วิหารเฟิงฮ่าวคิดช่วยคนของตัวเองช่วงแรกแล้วไง?

พอพบเจอข้าเมื่อไหร่ ข้าก็จะทุบตีให้ตาย!

นี่คือความมั่นใจของอัจฉริยะที่แข็งแกร่งจริงๆ

“ด้วยมีจํานวนคนมากเช่นนั้นในศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 จะทําการจับคู่ประลองครั้งละ 5 คู่เพื่อเฟ้นหาผู้ชนะครั้งละ 5 คน”

พอฉีคงไห่กล่าวจบคํา มันก็โบกมือเบาๆคราหนึ่ง ทันใดนั้นก็ปรากฏ ม่านแสงโปร่งใสหนึ่งแบ่งกั้น พื้นที่ใจกลางออกเป็น 5 ส่วน ราวสังเวียนแสง 5 สังเวียน “การประลองจะจัดขึ้นภายในพื้นที่ๆพวกเจ้าเห็น”

“หากผู้ใดถูกบีบให้ออกจากม่านแสง ถือว่าแพ้พ่าย”

“และหากเจ้ารู้สึกว่าพลังสู้ผู้อื่นไม่ได้ ก็เร่งบดขยี้ป้ายหยกเสีย แล้วเจ้าจะถูกส่งตัวออกไป”

“หมัดเท้า ดาบกระบี่ไร้นัยน์ตาหากพวกเจ้าล่าช้าจนตายตก ผู้ที่สังหารเจ้าก็ไม่ต้องรับผิดชอบอันใด”

กล่าวจบ นี่คงไห่ก็กวาดตามองไปยังอัฒจันทร์รอบๆ “อัจฉริยะทั้ง 300 คนที่ผ่านเข้าสู่รอบ 4ก้าวออกมาเสีย ข้าจักแจกป้ายหยกช่วยชีวิตสําหรับรอบที่ 4 ให้พวกเจ้า”

ต่อมาต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆรวม 300 คนก็ลอยขึ้นไปบนอากาศทีละคนๆ จากนั้นก็รับแจกป้ายหยกจากฉีคงไห่

เป็นธรรมดาว่าในสังเวียนแสงทั้ง 5 สังเวียนนั้นมีค่ายกลเพื่อนย้ายกํากับไว้ ขอเพียงบดขยี้ทําลายป้ายหยก ก็จะถูกอาคมส่งตัวออกมาทันที

หากข้าคิดฆ่าใครสักคน ไม่ทราบว่าวิธีการควบคุมมิติของข้าจะสามารถกักขังมันไว้ไม่ให้ใช้การทําลายป้ายหยกเพื่อหลบหนีได้หรือไม่?

หลังต้วนหลิงเทียนรับแจกป้ายหยกและกลับมานั่ง ในใจก็ผุดความคิดดังกล่าวขึ้นมากะทันหันสองตายังทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง

ดูเหมือนจะลองดูได้?

หลังอัจฉริยะทั้ง 300 คนได้รับแจกป้ายหยก ฉีคงให้ก็โบกมืออีกครั้ง จากนั้นก็ปรากฏคู่ประลอง 5 คู่ขึ้นกลางอากาศ “ขอให้ทั้ง 10 คนเข้าไปยังสังเวียนแสงตามชื่อ”

พอฉีคงไห่กล่าวจบ ชื่อคู่ประลอง 5 คู่ที่ลอยล่องกลางหาว ก็แยกย้ายกันไปหยุดลอยเหนีอสังเวียนแสงแต่ละแห่ง

10 คนที่กําลังจะประลองกัน ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จักใครเลย

อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้จัก ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะไม่รู้จัก

ไม่นานนัก ความสนใจของผู้คนก็ไปหยุดอยู่ที่ชื่อหนึ่งบนสันเวียนแสง “เพิ่งผ่านกู้ย? ใช่อัจฉริยะจากนิกายเมิงซวนแห่งชวนหวนเทียนหรือไม่!”

ตอนแรกหลายคนยังสงสัยว่าเป็นคนที่ชื่อเหมือนกันหรือไม่

อย่างไรก็ตามหลังจากลองคิดทบทวนดู ก็พบบว่าในรายชื่ออัจฉริยะทั้ง 300 คนไม่มีเพิ่งฝานกุ้คนที่ 2 ทุกคนก็ตระหนักได้ “ศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ไม่มีเพิ่งผ่านกุ้ยคนที่ 2 ต้องเป็นมันไม่ผิดแน่!”

นาม เมิ่งฝานกุ้ย ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที

“เพิ่งผ่านกุ้ย? มันเป็นคนดังรึ?”

ถังซานเปาเอ่ยถามออกมาลอยๆ

“มิผิด เจ้านั่นมีชื่อเสียงไม่น้อย!”

จางเทียนโย่วที่นั่งข้างๆพอได้ยินก็กล่าวตอบออกมาราวผู้รู้ “เพิ่งผ่านกุ้ยนั่น มันเป็นศิษย์อัจฉริยะของนิกายเมิงซวนขุมกําลังระดับสวรรค์ของซวนหยวนเทียน และมันเชียวชาญการใช้ทักษะมายาเป็นพิเศษ และอย่าได้ดูถูกทักษะมายาของมันเขียว เพราะกฏที่มันเข้าใจคือกฏแห่งความมืดและกฎแห่งความมืดก็ขึ้นชื่อในเรื่องความลึกลับ ผสานกับทักษะมายาที่มันเชี่ยวชาญแทบไม่มีผู้ใดในชวนหยวนเทียนที่อายุต่ํากว่า 2,000 ปีสามารถรับมือมันได้!”

“ครั้งหนึ่งมันเคยฆ่าได้กระทั่งเทพสงคราม 3 ดารา หลายคนจึงถือกันว่าพลังฝีมือของมันสมควรเที่บได้กับเทพสงคราม 4 ดาราแล้วเป็นแน่”

จางเทียนโย่วกล่าวจบ ก็ชักสีหน้ายําเกรง

“เทพสงคราม 4 ดารา?”

ถึงซานเปารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “คิดไม่ถึงว่าคนกลุ่มแรกที่ออกมาประลองกันโดยวิหารเฟิงฮ่าว จะมีเทพสงคราม 4 ดาราคนหนึ่ง ไม่ทราบว่าคู่ประลองงที่วิหารเฟิงฮ่าวจัดให้เพิ่งผ่านกุ้ยผู้นี้จะเป็นใคร”

“ชื่อคู่ประลองของมันข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย…ไม่ทราบจะเป็นศิษย์ของยอดฝีมือเร้นกายหรือไม่?”

หลังจากเทียนโย่วมองชื่อคู่ประลองของเพิ่งฝานกุ้ย มันก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “อย่างไรก็ตาม 8 ใน 10 เจ้านั่นไม่ใช่คู่มือของเมิ่งฝานกุ้ยแน่”

เพิ่งผ่านกุ้ยมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม มาในชุดสีดําสนิท รูปร่างสูงเพรียว ใบหน้าหล่อเหลาหากทว่าด้วยความเย็นชาของมันกลับก่อให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งประการหนึ่ง ทว่าก็เป็นความขัดแย้งอันลงตัว มีเสน่ห์ไม่น้อย

ทันทีที่มันปรากฏตัว ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนทันที

“เพิ่งผ่านกุ้ยจะอย่างไรก็สมควรเป็นเทพสงคราม 4 ดาราแล้วไม่ผิดแน่ แต่วิหารเฟิงฮ่าวกลับให้มันลงประลองชุดแรก…ข้าว่าพวกเราไว้อาลัยให้คู่ต่อสู้ของมันเลยเถอะ”

“เหอะๆ คู่ต่อสู้ของมัน ข้าเกรงว่าถ้าเคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน คงกลัวจนไม่กล้าสู้ด้วยซ้ํา”

“ต่อให้มันไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เสียงคุยของพวกเรามันอย่างไรก็ต้องได้ยินบ้างล่ะ…ในความคิดของข้าจงยอวี่ผู้นั้นไม่น่าจะกล้าลงสนามด้วยซ้ํา”

คู่ประลองของเพิ่งผ่านกุ้ย ก็คือจงกุ้ยอรี่

หลังจากที่เพิ่งผ่านกู้ยปรากฏตัวบนสังเวียนประลองได้สักพัก อีก 9 คนรวมถึงคู่ต่อสู้ของเพิ่งผ่านกุ้ยก็ปรากฏตัวบนสังเวียนเช่นกัน

“เจ้านั่นน่ะรึ จงงอุ้ยอ?”

หลายคนเริ่มหันไปสนใจจงกุ้ยอวบนสังเวียน จึงพบว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมธรรมดาไร้ลวดลาย ใบหน้าแลดูขาวซีด อย่างไรก็ตามดวงตาคู่นั้นของมันกลับทอประกายสดใสนัก

“จงกุ้ยอวีคนนี้เป็นใครกัน? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อมันมาก่อนเลย…”

“จากข้อมูลของวิหารเฟิงฮ่าว ลงไว้ว่ามันมีพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 2 ดาราขึ้นไป…”

“เมื่อมันกล้าลงประลองแบบนี้ ไม่ใช่ว่ามันต้องมั่นใจในพลังฝีมือตัวเองถึงระดับหนึ่งรีไร?”

“นั่นก็ไม่แน่นักหรอก…คนเราบางครั้งหากไม่รู้จักคู่ต่อสู้มาก่อน แม้หลายๆคนจะบอกว่าร้ายกาจ…มันก็ไม่จําเป็นต้องกลัว แถมสุดท้ายไม่ใช่ว่าแพ้แล้วก็ต้องตาย อย่างไรเสียพอเห็นท่าไม่ดีแค่ทําลายป้ายยหยกก็เอาตัวรอ

“ในความเห็นข้า มันก็แค่ลงไปสู้พอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะยอมแพ้โดยไม่สู้กับสู้แล้วแพ้พ่ายเป็นสองเรื่องที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง อย่างแรกคือตัวขี้ขลาด อย่างหลังคือผู้กล้า!”

ท่ามกลางบทสนทนากันอย่างออกรสของอัจฉริยะบนอัฒจันทร์ เมิงกุ้ยฝาน กับจงกุ้ยอวีก็มองหน้าสบตากัน

เพิ่งผ่านกู้ยยกยิ้มบางๆ แฝงไว้ด้วยความดูแคลนประการหนึ่ง “เจ้าคิดว่าจะสามารถต้านทานรับมือข้าได้กี่ท่าเล่า?”

ได้ยินคําพูดทํานองเสียดสีดูหมิ่นของเมิ่งฝานกุ้ย สีหน้าของจงกุ้ยอวไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียวเพียงเอ่ยคําสวนไปด้วยน้ําเสียงเฉยเมย “หากข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้ใน 3 กระบวนท่าข้าจะลงสังเวียนเอง”

ถึงแม้เสียงคุยกันของทั้งคู่จะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แถมผู้ชมอีก 8 คนที่ประจัญหน้ากันก็มีกล่าวคําถากถาง แต่ผู้ชมกว่า 9 ส่วนล้วนได้ยินกันชัด เพราะความสนใจของพวกมันอยู่ที่ทั้งคู่

“3 กระบวนท่า?”

ต้วนหลิงเทียนเองก็จําต้องหันไปมองจงกุ้ยอรี่ใหม่อีกรอบ

จงกุ้ยอวี่ มาในชุดคลุมสีเทาเข้มแลดูเรียบง่าย ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหากแต่ซีดขาว ทว่าสองตาทอประกายแหลมคม คิ้วเข้ม ให้ความรู้สึกถึงความหยิ่งยโสและมั่นใจในตัวเองไม่น้อย

“อัยยะ! ลองเจ้านั่นพูดมาแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจในตัวเองสูง ก็เป็นแค่ตัวหยิ่งผยอง”

ถังซานเปาที่อยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตบเข่าดังฉาดพลางกล่าวด้วยความสนุกสนาน

และก็เป็นอย่างที่ถังซานเปาว่า ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าจงกุ้ยอวี่แค่หยิ่งผยอง “เหอๆ จงกุ้ยอวี่ผู้นี้มันคงไม่รู้ถึงความน่ากลัวของเมิงกุ้ยผ่านกระมัง?”

“ยังไม่ชัดอีกหรือไร หากมันรู้แต่แรกว่าเพิ่งยฝานเป็นเทพสงคราม 4 ดารา มันจะกล้าพ่นคําลําพองเช่นนั้นรึ?”

“ไม่ใช่พวกเราคุยกันก็ชัดเจนแล้วรึไงมันหูตึงรึ?”

“หากมันหูตึงมันจะได้ยินคําพูดของเมิ่งฝานกุ้ยไหมละ?”

อัจฉริยะส่วนใหญ่พากันคิดว่า จงกุ้ยอวี่ ก็แค่คนจองหองคนหนึ่ง อย่างไรก็ตามมีอัจฉริยะบางส่วนที่เริ่มมองสํารวจจงกุ้ยอวอย่างจริงจัง

อัจฉริยะที่เข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์จวบจนมาถึงรอบนี้ไหนเลยมีชนชั้นต่ําทราม?

เหล่าจักรพรรดิสวรรค์เองที่เดิมไม่ได้สนใจการประลองมากมายอะไร ตอนนี้ก็พากันหันไปมองจงงกุ้ยอวีโดยไม่รู้ตัว “เจ้าหนูนั่นน่าสนใจดีนี่”

ด้านผู้ที่เกี่ยวข้องกับเพิ่งผ่านกุ้ย พอได้ยินคําพูดของจงกุ้ยอวี่ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง

แน่นอนว่าถึงแม้จะแลดูจริงจังขึ้นมา แต่ก็ยังฉายชัดถึงความรังเกียจให้เห็น

สุดท้ายอีกฝ่ายก็พูดทํานองว่าจะจัดการเมิ่งฝานกุ้ยได้ใน 3 กระบวนท่า!

กระทั่งยอดฝีมือระดับเทพสงคราม 4 ดารา ยังไม่กล้าพูดคําโตแบบนี้ด้วยซ้ํา

เว้นเสียแต่จะเป็นเทพสงคราม 5 ดาราขึ้นไป

แต่เป็นไปได้หรือที่จงกุ้ยอวีคนนี้จะเป็นเทพสงคราม 5 ดารา?

เผชิญหน้ากับความมั่นใจอันล้นปรี่ของอีกฝ่าย ในใจเมิ่งฝานกุ้ยก็พลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาหากแต่สีหน้ายังไม่แปรเปลี่ยน “ในเมื่อเจ้ามั่นใจถึงขนาดนั้น ข้าเองก็อยากชมดูสักครา…ว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้ใน 3 กระบวนท่าอย่างไร?”

สิ้นคํากล่าว พลังเซียนอมตะต้นกําเนิดทั่วร่างเพิ่งผ่านกุ้ยก็พลุ่งพล่าน จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็น แสงสีดําปกคลุมไปทั่วร่าง

พริบตาต่อมา ในสายตาของทุกคนก็เห็นว่า แสงพลังสีดําดังกล่าวได้ควบแน่นเป็นมวลพลังก้อนหนึ่ง ก่อนจะปรากฏแสงพลังสีดําพุ่งยิงออกไปเป็นลําแสงสีดําตัดแสงตะวันเข่นฆ่าเข้าใส่จงกุ้ยยอวีด้วยอํามหิต

จากนั้นร่างเพิ่งผ่านกุ้ยเองก็อันตรธานหายไปจากสาตาทุกคน

“เพิ่งผ่านกู้ใช้ทักษามายาของมันแล้ว!”

หากผู้คนใช้สํานึกเทวะตรวจสอบ ก็คงไม่ยากที่จะบอกว่าเพิ่งผ่านกุ้ยหายไปอยู่ที่ไหน แต่ถ้ามองด้วตาเปล่า ต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์เองก็มองไม่ออก

มีก็แต่ตัวตนระดับเทพไม่กี่คน ที่สายตาเหนือกว่าเหล่าเซียนอมตะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าร่างเพิ่งผ่านกุ้ยบัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นเงาเลือนราง กําลังพุ่งแหวกอากาศอ้อมเข้าใส่จงกุ้ยอวจากอีกทางเห็นได้ชัดว่าคิดลอบโจมตีจงกุ้ยยอวี่ที่ต้องเสียสมาธิรับมือลําแสงพลังของมัน

อย่างไรก็ตาม ทุกคนพบว่าจงกุ้ยอวไม่ได้ดูกลัวเกรงการลงงมือของเมิ่งฝานกุ้ยเลย คนยืนนิ่งที่เดิมคล้ายไม่เห็นลําแสงพลังสีมืดอยู่ในสายตา

สุดท้าย จงกุ้ยอวีก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบว่า “ความมืดมิด สุดท้ายก็ไม่วายถูกแสงสว่างขับไล่…”

พอกล่าวจบคํา ทั่วร่างจงกุ้ยอวี่ก็ปรากฏแสงพลังสีขาวส่องสว่างออกมาเจิดจ้า พาลให้เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายหน้าเปลี่ยนสีไปทันทีขณะเดียวกันหลาคนก็รู้สึกแสบตาไม่น้อย!