ตอนที่ 3474

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3474 : การปะทะกันระหว่างแสงสว่างกับความมืด

 

แสงขาวชวนสยองปะทุออกมาจากร่างเพรียวของจงกุ้ยก่อนจะแผ่ปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณโดยรอบ

 

และเมื่อแสงขาวแผ่ขยายออกมา ลําแสงแห่งความมืดที่เพิ่งผ่านกุ้ยยิงมาก่อนหน้าก็ค่อยๆสลายหายไปกว่าจะเฉียดเข้าใกล้จงกุ้ยอวี่ก็อ่อนจางลงแทบไม่มีเหลือแล้ว สุดท้ายก็เลยถูกกระบี่ที่ควบแน่นจากแสงสว่างฟันทิ้งจนสลายหายไปดื้อๆ

 

“กระบวนท่าที่ 1”

 

เสียงจงกุ้ยอวดังขึ้นเบาๆ ขณะเดียวกันแสงสว่างสีขาวยิ่งมาก็ยิ่งเจิดจ้า

 

“ให้ตายเถอะ นั่นกฎแห่งแสง!”

 

“การลงมือเมื่อครู่นั่น อย่างน้อยๆก็มีความลึกซึ้งอย่างน้อยๆ 2 ประการที่หลอมรวมกัน! นอกจากนั้นยังไม่ใช่แค่ชุดเดียว!”

 

ในบรรดาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ก็มีผู้ที่สายตาแหลมคมมากพอสมควรเพียงมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าพลังฝีมือของจงกุ้ยอวีไม่ธรรมดาอาศัยแค่การผสานรวมความลึกซึ้งของกฎแห่งแสงที่ใช้ออกเมื่อครู่ที่ไม่ใช่แค่ชุดเดียวไหนเลยยังธรรมดาได้

 

“ดินแดนแห่งความมืด!”

 

ท่ามกลางสายตาของผู้คน เมื่อเงาร่างของเพิ่งผ่านกุ้ยค่อยๆปรากฏตัวออกมาภายใต้แสงสว่างอันเจิดจ้ามันก็คํารามออกมาเสียงดัง จากนั้นความมืดมิดราวน้ําหมึกก็กําจายออกมาจากร่างมัน

 

บัดนี้หนึ่งแสงหนึ่งดําราวกําลังประชันกันราวกับจะแบ่งโลกหล้าออกเป็น 2 ส่วน

 

“กระบวนท่าที่ 2”

 

จงกุ้ยอวไม่นําพาความมืดที่ระเบิดออกจากร่างเพิ่งผ่านกุ้ย เพียงย่ําเท้าก้าวออกมาหนึ่งก้าวจากนั้นทั่วร่างก็ส่องแสงจ้ากว่าครั้งใด จากนั้นก็ปรากฏปีกแห่งแสงหลายคู่อุบัติขึ้นที่แผ่นหลังมองไปราวกับเทวดาในตํานานตะวันตกของโลกที่ต้วนหลิงเทียนเคยอยู่

 

ปีก 3 คู่ดังกล่าว พอกระพือคราหนึ่ง ก็ส่งร่างจงกุ้ยอวให้พุ่งทะยานขึ้นฟ้า ก่อนจะหยุดลอยกลางหาว

 

บัดนี้จงกุ้ยอวี่เหลือบมองเมิ่งฝานกุ้ยด้วยสายตาเฉยเมย มันยกมือขวาขึ้นก่อนจะสะบังดฟาดลงจากนั้นอุบัติแสงดาบลักษณ์จันทร์ครึ่งเสี้ยวผุดจากความว่าง เข่นฆ่าลงมายังร่างเพิ่งผ่านกุ้ย

 

เห็นการลงมือของอีกฝ่าย เพิ่งผ่านกุ้ย ก็หาได้หวั่นหวาดใดไม่ มันควบรวมพลังสร้างกงจักรพลังสีดําหนึ่งที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมหึมากว่า 10 หมี จากนั้นก็สะบัดมือซัดกงจักรพลังดังกล่าวสวนเข้าใส่แสงดาบลักษณ์จันทร์เสี้ยวทันที

 

พริบตา 2 พลัง ก็ปะทะกันกลางอากาศ!

 

ตูมมมมม!!

 

ครืนนนน!!

 

พลังแห่งแสงกับความมืดทั้ง 2 ไม่มีใครยอมใคร ย้อมชโลมสังเวียนประลองของทั้งคู่ให้กลับกลายเป็นโลกที่ประหนึ่งมีแคสีดํากับสีขาว 2 สีสัน ช่วนให้ผู้คนชมดูเรื่องราวจนละลานตาอยู่บ้างจากนั้นท่ามกลางแสงสว่าง 2 สีสัน ร่างของทั้งคู่ก็พร่ามัวดั่งเงาเลือน จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่กันอย่างดุร้ายคลื่นพลังมหาศาลกําจายออกมาจากร่างทั้ง 2 อย่างรุนแรง

 

“เตรียมรับกระบวนท่าที่ 3 ของข้า จากนั้นทุกอย่างก็จะจบ”

 

จงกุ้ยอวี่เอ่ยออกอีกครั้ง จากนั้นร่างที่พุ่งลงจากฟากฟ้าก็เริ่มงอตัว ปีกเทวดา 3 คู่กลางแผ่นหลังเริ่มหุบเข้ามาห่อตัวไว้จนคนคล้ายกลับกลายเป็นลูกบอลที่ห่อหุ้มไว้ด้วยปีกเทวดา!

 

อย่างไรก็ตามพื้นผิวของบอลลูกนี้ยิ่งมายิ่งเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ชวนให้เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ดูชมโดยรอบสัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวชวนสยองประการหนึ่ง

 

“พล่ามมากนักนะ!”

 

สีหน้าเพิ่งฝานกุ้ยเปลี่ยนไป จากนั้นทั่วร่างก็สั่นไหวอย่างแรง พลังแห่งความมดระเบิดออกมาขุ่นขลักจนเส้นผมเริ่มปลิวสยายราวงูเกงกอง

 

จากนั้นในฝ่ามือของเมิ่งฝานกุ้ยก็ปรากฏไม้เท้าหนึ่งขึ้น

 

กล่าวตรงๆมันไม่ใช้ไม้เท้า แต่เป็นพลองประหลาดที่แลคล้ายไม้เท้า!

 

มันคือพลองคู่กายของเพิ่งฝานกุ้ย ยังเป็นศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิอีกด้วย!

 

[ด้วยนามแห่งข้า…ขอบัญชา! มิตรสหายแห่งโลกมืดจงสดับฟัง ออกมาเข่นฆ่าอริราชเพื่อข้า!]

 

พําประโยคด้วยภาษาโบราณบางอย่างออกมา หลายคนฟังแล้วก็ไม่

 

เข้าใจว่ามันพูดอะไร

 

อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่มีคําพูดของมันแล้วเข้าใจ

 

และคนเหล่านี้ ไร้ซึ่งข้อยกเว้นใดๆ ล้วนเก่งกฎแห่งความมืดทั้งสิ้น

 

ปงงง!!

 

เปรียะ!!

 

ทันใดนั้นความว่างเปล่าเหนือศีรษะของเมิ่งผ่านกุ้ยก็อุบัติเสียงสนั่นปานฟ้าคํารน ก่อนจะแว่วเสียงปริฉีกบางอย่างดังขึ้นปานฟ้าผ่า

 

จากนั้นไม่ว่าจะเหนือศีรษะ หรือรอบกายมัน ก็ปรากฎรอยแยกมิติหนึ่งขึ้นอย่างอัศจรรย์แม้รอยแยกมิตินี้ดูแล้วจะคล้ายมายาไม่มีจริง แต่ไม่นานจากมายาก็คล้ายมีสภาพแถมยังเริ่มแปรเปลี่ยนไปคล้ายประตูโบราณเก่าแก่ สุดท้ายก็ปรากฏร่าง 3 ร่างก้าวออกมาจากประตูโบราณนั้น!

 

ร่างเหล่านี้มีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือร่างของพวกมันราวกับถูกสร้างขึ้นมาจากความมืด สองตายังแดงฉานปานก้อนเลือด

 

“นี่มัน เสียงเพรียกแห่งความมืด!”

 

“ข้าเคยได้ยินมานานแล้วว่าผู้ที่เชี่ยวชาญกฏแห่งความมืด สามารถใช้ถ้อยคําโบราณเพื่ออัญเชิญสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดอันทรงพลังออกมาได้เช่นนั้นวาจาประหลาดที่เพิ่งผ่านกุ้ยกล่าวก่อนหน้าก็คือคําอัญเชิญภาษาโบราณสินะ?”

 

“สมควรเป็นเช่นนั้น”

 

ในขณะที่หลายคนกําลังกระซิบกระซาบกันด้วยความอยากรู้ พลองในมือของเมิงฝานกุ้ยก็เริ่มสั่นไหว และพริบตาต่อมา ก็ปรากฏร่างสีโลหิตหนึ่งพุ่งออกมาจากพลอง ร่างดังกล่าวยังส่งเสียงหัวเราะแปลกๆออกมาชวนสยอง!

 

“ให้ตายเถอะ นั่นมันวิญญาณโลหิต! เป็นวิญญาณโลหิตจากโลกแห่งความตายที่ผสานรวมเข้ากับพลองของเมิงฝานกุ้ย เสวี่ยหมิงจือ!!”

 

พอร่างสีเลือดปรากฏตัวออกมา อัจฉริยะรุ่นเยาว์ไม่น้อยก็โพล่งออกมาด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าพวกมันรู้จักอาวุธอมตะในมือของเมิงฝานกุ้ยดี

 

ขณะเดียวกัน จางเทียนโย่วที่นั่งอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนก็เริ่มกล่าวออกมาเสียงขรึม “อาวุธอมตะระดับจักรพรรดิของเพิ่งผ่านกุ้ยนั่น มีวิญญาณโลหิตที่จักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียนจับได้ในโลกแห่งความตาย 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลกผสานไว้ และวิญญาณร้ายนั้นมันมีชื่อว่าเสวี่ยหมิงจือ”

 

“ต่อมา บรรพบุรุษของนิกายเพิ่งซวน ก็ได้จ่ายเงินก้อนโตเพื่อสร้างศาสตราอมตะนั่นให้เพิ่งฝานกู้ย!”

 

“เพิ่งฝานกุ้ยผู้นี้เป็นเหลนของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนิกายเมิงซวนผู้นั้น และมันก็ได้รับความเอ็นดูโปรดปรานจากบรรพบุรุษของนิกายเมิงซวนอย่างมาก”

 

คํากล่าวของจางเทียนโย่วทําให้ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆเข้าใจพลองอมตะในมือของเพิ่งฝานกุ้ยทันที มันเป็นพลองอมตะที่มีวิญญาณโลหิตอันเป็นวิญญาณร้ายจากโลกแห่งความตายหลอมรวมอยู่!

 

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่นั่นคือวิญญาณร้ายที่จักรพรรดิสวรรค์ชวนหยวนเลือกจะจับตัวมาเห็นได้ชัดว่าต้องไม่ใช่วิญญาณร้ายธรรมดาๆแน่!

 

“หากศาสตราเทพไม่มา ข้าเกรงว่าคงมีศาสตราอมตะน้อยนักที่สามารถต่อกรกับพลองนั่นได้”

 

จางเทียนโย่วกล่าวเสียงเข้ม “แน่นอนว่าศาสตราอมตะเทพที่ข้าพูดถึง อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นศาสตราเทพขั้นต่ําที่มีวิญญาณศาสตราเช่นกัน หากไม่มีก็คงสู้พลองอมตะนั่นของเมิ่งฝานกุ้ยไม่ได้”

 

ขณะกล่าวประโยคท้าย สองตาของจางเทียนโย่วที่มองพลองอมตะในมือเพิ่งผ่านกุ้ยไม่วางตาก็ฉายชัดถึงความปรารถนาออกมาล้นปรี่!

 

อันที่จริงตั้งแต่วินาทีแรกที่เพิ่งผ่านกู้ยนําพลองอมตะออกมา ก็มีอัจฉริยะหลายคนที่รู้ว่าพลองอมตะของเมิ่งฝานกุ้ยไม่ธรรมดาอย่างไร ก็เอาแต่มองจ้องด้วยสายตาเร่าร้อนนานแล้ว

 

เมื่อเห็นว่าเพิ่งผ่านกุ้ยถึงกับใช้พลองอมตะและเรียกวิญญาณโลหิตออกมา แถมยังอัญเชิญสิ่งมีชีวิตจากโลกมืด…ใจของทุกคนที่ชมดูอยู่ก็เริ่มเต้นไปไม่เป็นจังหวะ

 

“เพิ่งผ่านกุ้ยมันคิดจะทําอะไรกันแน่”

 

ตราบใดที่เป็นคนปกติ ตอนนี้ย่อมเห็นชัดว่าการลงมือของเมิ่งฝานกุ้ยไม่ธรรมดาแน่ กระทั่งอาจเป็นไม้ตายก้นหีบของมันแล้วด้วยซ้ํา!

 

และท่ามกลางสายตาของทุกคน หลังจากที่วิญญาณโลหิตในพลองอมตะของเมิงฝานกุ้ยบินออกมา ร่างมันก็สลายกลายเป็นกระแสแสงสีเลือด 3 สาย แยกย้ายกันพุ่งเข้าสู่ร่างของสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดที่เพิ่งผ่านกุ้ยอัญเชิญออกมาทันที

 

พริบตาต่อมา ทั่วร่างสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดทั้ง 3 ก็ปรากฏชันแสงสีเลือดไม่ธรรมดาปกคลุมแผ่กลิ่นอายกระหายเลือดออกมาขุ่นคลั่ก!

 

“กรรรร!!”

 

“เจี๊ยกๆ”

 

สิ่งมีชีวิตแห่งความมืดทั้ง 3 บ้างก็คํารามออกมาอย่างดุร้าย บ้างก็หัวเราะด้วยเสียงประหลาดจากนั้นพวกมันทั้ง 3 ก็โจนร่างขึ้นฟ้า สวนเข้าใส่จงกุ้ยอรี่ที่บัดนี้ห่อตัวด้วยปีกแห่งแสงจนกลมเป็นลูกบอลเร็วไว!

 

“ภูตแห่งความมืดที่เพิ่งผ่านอุ้ยอัญเชิญออกมา พอมีวิญญาณโลหิตผสานเข้าไปแบบนี้ ยามทั้ง 3 ลงมือพร้อมกันกระทั่งเทพสงคราม 4 ดารายังยากต้านทาน… แต่ถ้าหากจงกุ้ยอวีรับมือได้จริงๆเช่นนั้นอย่างน้อยๆมันก็ต้องเป็นยอดฝีมือของเทพสงคราม 4 ดารา!”

 

ถังซานเปากล่าวออกมา น้ําเสียงไม่ขาดความคึกคัก

 

และตอนนี้อัฒจันทร์ทั้ง 4 ก็เงียบลงโดยไม่ได้นัดหมาย ทุกคนเอาแต่มองจ้องเรื่องราวตรงหน้าไม่วางตา

 

ซูม! ซูม! ซูม! ซูม!

 

เหล่าภูตแห่งความมืดที่ถูกเพิ่งผ่านอุ้ยอัญเชิญมา เคลื่อนร่างด้วยความเร็วสูงล้ํานัก พริบตาก็บรรลุถึงร่างจงกุ้ยอรี่ที่ขดตัวกลมเป็นลูกบอลแล้ว

 

เปรี้ยง! ปง! ปง!

 

การลงมือของภูตแห่งความมืดที่ถูกเพิ่งผ่านอุ้ยอัญเชิญมา ส่งเสียงระเบิดดังหนักหน่วงอย่างไรก็ตามแม้ตอนนี้พวกมันจะได้รับพลังจากการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งความมืดแต่ก็ไม่อาจทําอะไรปีกเทวดาที่ห่อตัวคนเบื้องหน้าได้เลย!

 

“เจ้ากําลังจักจี้ข้าอยู่รึ?”

 

หลังจากถูกทุบตีเงียบๆพักหนึ่ง เสียงเฉยเมยไม่แยแสของจงกุ้ยอวี่ก็ดังขึ้น

 

ได้ยินวาจาด้วยน้ําเสียงดังกล่าว สีหน้าเพิ่งฝานกุ้ยก็เปลี่ยนไปทันที เร่งคํารามเสียงเหี้ยม “เสวี่ยหมิงจื่อ รวมเป็นหนึ่ง!”

 

แทบจะพร้อมกันกับที่เสียงของเพิ่งฝานกุ้ยลั่นดังออกมาจบคํา เหล่าภูตแห่งความมืดที่ถูกอัญเชิญออกมาก็พร้อมใจกันหยุดมือ จากนั้นร่างสีดําอันมีชั้นแสงสีโลหิตของพวกมันก็พุ่งเข้าหากันด้วยมีชั้นแสงโลหิตเชื่อมประสานพริบตา พวกมันก็หลอมรวมกันจนกลายเป็นอสูรกายแห่งความมีดตัวเขื่องปานขุนเขาย่อมๆ!

 

ยังเป็นอสูรกายแห่งความมืดที่มีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์! และการรวมกันของภูตแห่งความมีดทั้ง 3 นั้น ทําให้กลิ่นอายพลังของมันพุ่งสูงขึ้นในฉับพลัน พลังอันชั่วร้ายที่กําจายออกมาทําให้เหล่าอัจฉริยะหลายคนอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว

 

“การรวมร่างของภูตแห่งความมืดโดยใช้วิญญาณโลหิตของข้าเป็นสื่อ หากกล่าวในแง่พลังอํานาจแล้ว มันไม่ได้ด้อยไปกว่าการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการเลย!”

 

เพิ่งผ่านกู้ยมองร่างกลมที่ถูกปีกแห่งแสงห่อหุ้มของจงกุ้ยอวีด้วยสีหน้าเฉยเมย กล่าวออกเสียงหนักว่า “ตอนนี้เจ้ายังไม่คิดโผล่หัวออกมาสู้กับภูตแห่งความมืดผสานวิญญาณโลหิตของข้าอีกหรือคิดจะหดหัวซ่อนอยู่ใต้ปีกเช่นนั้น?”

 

“นี่เจ้าคิดว่าข้ากําลังซ่อนตัวอยู่งั้นหรือ?”

 

พอเสียงของจงกุ้ยอวดังขึ้นอีกครั้ง น้ําเสียงก็เปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาด ฟังแล้วมันแหบพร่าขึ้นหลายส่วน

 

จากนั้นท่ามกลางสายตาของทุกคน ปีกเทวดา 3 คู่ที่ห่อร่างจงกุ้ยอวี่เอาไว้ก็ค่อยๆคลี่กางออกมา จากนั้นร่างจางกุ้ยอวี่ก็ปรากฏตัวสู่สายตาทุกคนอีกครั้ง ทว่าบนร่างของมันกลับมีชั้นแสงพลังสีขาวกับสีทองเรืองรองผสมผสานกัน ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ไม่ธรรมดา!

 

“ต่อหน้าแสงสว่าง ไม่ว่าจักเป็นความมืดมิดอันใด สุดท้ายก็ได้แต่จางหายไป…”

 

ขณะเดียวกับที่จงกุ้ยอ ปริปากกล่าวคํา ชั้นแสง 2 สีดังกล่าวก็เริ่มผสานหลอมรวมเป็นหนึ่งจากนั้นก็ควบรวมก่อเกิดร่างสิ่งมีชีวิตตัวเขื่อง ในชุดเกราะสีทองแกมขาว แลดูสง่ามน่าเกรงขามนัก!

 

ในมือของสิ่งมีชีวิตดังกล่าว ยังถือค้อนอันเขื่องเอาไว้

 

และไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ในมือของจงกุ้ยอวี่ก็มีค้อนลักษณะเดียวกันกับที่ร่างยักษ์ในชุดเกราะปรากฏขึ้น!

 

“โอหังนัก!”

 

สองตาเพิ่งผ่านกู้ยแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น หลังสบถคําเสียงเย็น มันก็คํารามสั่งออกมาด้วยน้ําเสียงอํามหิต “เสวี่ยหมิงจ๋อ ฉีกร่างมันให้แหลกเป็นชิ้นๆ!”

 

ทันใดนั้นอสูรกายตัวเขื่องที่เกิดจากการหลอมรวมของภูตแห่งความมือดทั้ง 3 โดยมีวิญญาณโลหิตเป็นสื่อ ก็โจนทะยานเข่นฆ่าเข้าใส่จงกุ้ยอรื้อย่างงอํามหิต ในมือของมันยังปรากฏหอกสีเลือดเปล่งแสงพลังสีโลหิตแกมดําออกมา แถมกลิ่นอายพลังที่กําจายออกจากหอกดังกล่าวยังกระหายเลือดทั้งทรงพลังอํานาจน่ากลัวนัก! ราวกับบรรจุไว้ด้วยขุมพลังอันไร้จํากัด!

 

“กระบวนท่าที่ 3”

 

ในขณะที่อสูรกายแห่งความมืดพร้อมหอกอันน่ากลัวพุ่งเข่นฆ่าสังหารเข้ามา เสียงเย็นชาไม่แยแสของจงกุ้ยอวี่พลันดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นร่างมหึมาในชุดเกราะสีทองแกมขาวแลดูศักดิ์สิทธิ์ก็ฟาดหวดค้อนในมือทุบลง วินาทีนี้ห้วงอากาศโดยรอบคล้ายถูกผนึกแข็ง บังเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว!

 

ปังงงง!!