ตอนที่ 3482

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3482 : ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ระนาบเทวโลก

 

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่จตุรวิถีกลายเป็นสิ่งไร้ราคาขนาดนี้?

 

  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้แต่มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน ตอนนี้มันรู้สึกราวกับทุกสิ่งที่เคยรู้มาในอดีตได้ถูกพลิกคว่ำโดยสมบูรณ์

 

  ต้องทราบด้วยว่า แม้กระทั่งตัวมันเอง หลังจากใช้สมบัติประจำตระกูลอวิ๋นที่เป็นต้นเหตุทำให้ตระกูลถูกฆ่าล้าง อันเป็นสมบัติที่ช่วยให้ผู้คนเข้าใจวิถีไร้สิ้นสุด ทว่าหลายร้อยปีผ่านไป ตัวมันก็พึ่งจะเข้าใจถึงขั้นตอนเบื้องต้นเท่านั้น!

 

  เรียกได้ว่าระดับความเข้าใจของมัน ก็เท่ากับความเข้าใจในมรรคากระบี่มิติและวิถีควบคุมที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกเมื่อครู่…

 

  แต่ต้องทราบด้วยว่า ตัวมันที่ใช้สมบัติก็แล้ว แต่ยังพึ่งเข้าใจ 1 ใน 4 จตุรวิถีได้แค่ขั้นตอนเบื้องต้น…กลับกันต้วนหลิงเทียนกลับบรรลุถึงความเข้าใจในระดับเดียวกับมันแต่เป็นถึง 2 วิถี!

 

  ‘ต้วนหลิงเทียน…ในแง่ความเข้าใจจตุรวิถี ความมั่นใจของข้าถูกเจ้าถล่มยับอีกแล้ว’

 

  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่มองต้วนหลิงเทียน จากระยะไกลแวววตาเริ่มฉายให้เห็นถึงความเร่าร้อนอยู่บ้าง ‘อย่างไรก็ตามสักวัวนข้าจะเหนือกว่าเจ้าทุกด้าน ข้าอย่างไรก็คือทายาทสายโลหิตหลักแห่งตระกูลอวิ๋นของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ! ข้าไม่มีทางแพ้พ่ายคนจากระนาบเทวโลกเด็ดขาด!!’

 

  ในด้านความสำเร็จของจตุรวิถี หลิงเจวี๋ยอวิ๋นรู้ดีว่าตอนนี้มันตามหลังต้วนหลิงเทียนอยู่

 

  อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ท้อแท้แม้แต่น้อย

 

  เพราะไม่ว่าจะตัวมันเองหรือต้วนหลิงเทียน เส้นทางในจตุรวิถีก็พึ่งเริ่มต้นเท่านั้น วันหน้ายังมีหนทางอีกยาวไกลให้ก้าวเดิน และมันก็มีโอกาสอีกมากที่จะแซงต้วนหลิงเทียน

 

  “วิถีควบคุม?”

 

  อัจฉริยะรุ่นเยาว์หลายคนก็เคยได้ยินเรื่องจตุรวิถีในสวรรค์และโลกมาก่อน แต่พวกมันไม่รู้วว่าสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนเชี่ยวชาญก็คือววิถีควบคุม

 

  ตอนนี้หลังจากมีอัจฉริยะที่รู้เรื่องราวไม่กี่คนเริ่มแพร่กระจายข้อมูลออกมา ก็ทำให้พวกมันรู้ว่าต้วนหลิงเทียกลับเข้าใจวิถีควบคุมอีกอย่าง นอกเหนือจากมรรคากระบี่มิติที่สำเร็จถึงขั้นตอนเบื้องต้นแล้ว

 

  “จตุรวิถีในสวรรค์และโลก ขอแค่เข้าถึง 1 ในนั้น ก็เห็นว่าสักวันย่อมสามารถทะลวงถึงขอบเขตเทพได้อย่างแน่นอน…ดุจเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง ที่บรรลุขอบเขตเทพได้ไม่พ้นเป็นเพราะมรรคากระบี่ทำลายล้าง”

 

  “ในระนาบเทวโลก ยอดฝีมือระดับเทพสงคราม 9 ดาราบางคน ถูกพบว่าความเข้าใจในกฏยังไม่อาจสู้เทพสงคราม 8 ดาราได้ด้วยซ้ำ แต่ในแง่พลังต่อสู้กลับเหนือกว่ากันมาก…สาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะสิ่งนี้! เทพสงคราม 9 ดาราเหล่านั้นเข้าถึงจตุรวิถีในสวรรค์และโลกบางอย่าง!”

 

  “การเชี่ยวชาญวิถีใดสักวิถีถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น ยังไม่เพียงพอให้บรรลุถึงขอบเขตเทพได้ จำต้องบังเกิดความก้าวหน้ามากกว่านั้นถึงจะเป็นไปได้!”

 

  “ให้ตายเถอะ! ต้วนหลิงเทียนคนนี้ไม่ใช่ว่ามีอายุแค่ 600 ปีเศษหรือไร แต่กลับเชี่ยวชาญ 2 ใน 4 วิถีแห่งสวรรค์และโลกแล้ว? ต่อให้จะเป็นแค่ความเข้าใจในขั้นตอนเบื้องต้น ตราบใดที่มันมีเวลา ขอแค่ไม่เกียจคร้านไม่ใช่ว่าความเข้าใจในวิถีก็ต้องเหนือขั้นตอนเบื้องต้นรึไง?”

 

  “ว่ากันว่าผู้ที่อยู่ในอันดับต้นๆของรายนามจักรพรรดิสวรรค์ บางคนก็เข้าใจวิถีบ้างแล้ว…ดุจเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน ที่เห็นว่าเข้าใจวิถีกลืนกินถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นเรียบร้อย”

 

  …

 

  อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์หลายคนมีภูมิหลังความเป็นมาไม่ธรรมดา หรือต่อให้เป็นอัจฉริยะที่ไร้ชื่อเสียง แต่ผู้อาวุโสหรืออาจารย์ที่เป็นยอดฝีมือเร้นกาย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนที่ยืนอยู่แถวหน้าของระนาบเทวโลกทั้งสิ้น

 

  ตัวตนเช่นนั้น ถึงแม้จะยังเข้าไม่ถึงจตุรวิถีในสวรรค์และโลก แต่ก็มีความเข้าใจในเรื่องราวของจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลกชัดเจน พวกมันย่อมสอนสั้งและเล่าเรื่องราวให้ลูกหลานไม่เว้นเหล่าศิษย์ได้รับทราบถึงการดำรงอยู่ของจตุรวิถีในสวรรค์และโลกด้วย

 

  ทำให้มีอัจฉริยะแค่น้อยคน ที่ไม่รู้เรื่องราวของจตุรวิถีในสวรรค์และโลกมาก่อน

 

  อย่างไรก็ตามเหล่าผู้ที่ได้รู้ ส่วนใหญ่แล้วก็แค่เคยได้ยินมาเท่านั้น ประหนึ่งข่าวลือที่ไม่เคยพบเจอด้วยตัวเอง…และนับว่าในรอบที่ 2 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ พวกมันก็ได้เห็น 1 ใน 4 วิถีอย่างมรรคากระบี่เป็นครั้งแรก

 

  เป็นธรรมดาว่าในตอนนั้นอัจฉริยะหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนใชออกคือ 1 ในจตุรวิถีของสวรรค์และโลก และแม้อัจฉริยะ 2-3 คนจะเห็นเบาะบางอย่างแต่พวกมันก็ยังไม่มั่นใจ

 

  จนเมื่อต้วนหลิงเทียนใช้วิถีควบคุม เพื่อทำลายกระบวนท่าจู่โจมของโจวเส้าคุนได้อย่างง่ายดาย พวกมันจึงเห็นว่าต้วนหลิงเทียนได้เข้าใจ 1 ใน 4 วิถีของสวรรค์และโลกแล้ว จึงสามารถควบคุมพื้นที่ของกฏมิติที่เข้าใจได้อย่างอัศจรรย์

 

  เรียกว่าในอาณมบริเวณกินรัศมีโดยมีต้วนหลิงเทียนเป็นจุดศูนย์กลาง ประหนึ่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่วนตัวของต้วนหลิงเทียน ที่ไม่มีผู้ใดต่อกรด้วยได้

 

  นี่เป็นการเชี่ยวชาญวิถีควบคุมถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น

 

  เมื่อต้วนหลิงเทียนเชี่ยวชาญวิถีควบคุมมากกว่านี้ พลังอำนาจรวมถึงรัศมีที่สามารถควบคุมได้ก็จะเพิ่มพูนขึ้นตามลำดับ

 

  “ยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเทพ แต่เข้าถึง 2 วิถีในสวรรค์และโลกแล้ว…ในอดีตข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีอัจฉริยะปีศาจเช่นนี้ดำรงอยู่ด้วย ในประวัติศาสตร์ของระนาบเทวโลกเคยมีตัวตนเช่นนี้ด้วยหรือ?”

 

  “คำถามนั่นเกรงว่าคงมีแต่วิหารเฟิงฮ่าวที่ตอบได้…”

 

  “จริง อย่างไรวิหารเฟิงฮ่าวก็มีประวัติศาสตร์ยาวนานพอๆกับประวัติศาสตร์ของระนาบเทวโลก หากจะมีผู้ใดล่วงรู้ว่าในประวัติศาสตร์เคยมีอัจฉริยะเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาก่อนหรือไม่ ข้าเกรงว่าคงมีแต่วิหารเฟิงฮ่าวอย่างเดียว!”

 

  …

 

  ในบรรดาคนที่ซุบซิบคุยกัน ก็มีจักรพรรดิสวรรค์บางคนกล่าวถามคนของวิหารเฟิงฮ่าวที่รู้จัก แต่คำตอบของพวกมันก็ฟังดูคลุมเครือนัก

 

  อย่างไรก็ตาม แม้คำตอบจะฟังดูคลุมเครือ แต่สิ่งนี้ก็เสมือนสะท้อนความในใจออกมา

 

  ทั้งหมดเป็นเพราะฉีคงไห่รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักได้กำชับคนของวิหารเฟิงฮ่าวเอาไว้แล้ว เช่นนั้นทุกคนจึงเลือกจะให้คำตอบแบบคลุมเครือออกมา

 

  “ระนาบเทวโลกดำรงอยู่มาเนิ่นนานมากแล้ว…ตัวตนเช่นต้วนหลิงเทียนแม้จะหาได้ยาก แต่ก็สมควรปรากฏขึ้นมาก่อน”

 

  จักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไล กล่าวตอบจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวน

 

  อย่างไรก็ตาม แม้ปากมันจะตอบออกไปแบบนั้น ทว่าสองตากลับมองข้ามระยะทางไปจับจ้องยังร่างต้วนหลิงเทียนเขม็ง…ลึกลงไปในแววตาของมัน บัดนี้สีสันแห่งความโลภยิ่งมายิ่งร้อนแรงปานเพลิงไฟ!

 

  ‘หากข้ายอมลงทุนครั้งใหญ่ อย่างใช้เคล็ดวิชาลับที่ข้าสามารถใช้ได้ครั้งเดียวในชีวิต เพื่อกลืนกินจิตวิญญานของเจ้านั่นให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของข้า…เช่นนั้นข้าย่อมขโมยความทรงจำของมันทั้งหมดมาและเข้าใจทุกอย่างที่มันเข้าใจ!’

 

  ‘ข้าหมี่เยี่ยนผู้ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ในอดีตจะเป็นถึงเทพคนหนึ่ง แต่กับไม่เคยสัมผัสถึงวิถีใดๆใน จตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลก…ครั้งนี้หากข้าใช้เคล็ดวิชาลับครอบครองร่างเจ้าหนูนั่นได้ล่ะก็ ข้าก็จะกลายเป็นตัวตนที่สามารถเข้าถึง 2 วิถีในสวรรค์และโลกได้ทันที!’

 

  ‘ต้วนหลิงเทียนผู้นี้เป็นดั่งของขวัญที่ฟ้าประทานให้ข้าจริงๆ!’

 

  ในใจของยูไลตอนนี้บังเกิดความคิดมากมาย สองตายิ่งมายิ่งทอแสงจ้า เรียกว่ามองต้วนหลิงเทียนราวกับสมบัติล้ำค่าแห่งฟ้าดิน!

 

  และฟังจากเสียงกล่าวในใจแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ยูไลอย่างที่เห็น แต่เรียกหาตัวเองว่า หมี่เยี่ยนผู้ยิ่งใหญ่!

 

  ต้วนหลิงเทียนเองก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่ยูไลมองมาเช่นกัน ทำให้เขาบังเกิดความระแวงขึ้นมาทันที

 

  ยูไลนั่นสมควรมีความคิดบางอย่างกับเขาจริงๆ ไม่งั้นคงไม่มองเขาด้วยสายตาดังกล่าว

 

  “ต้วนหลิงเทียน เจ้าร้ายกาจเกินไป ข้าโจวเส้าคุนยอมรับเจ้าแล้วจริงๆ”

 

  โจวเส้าคุนที่ทุบแผ่นหยกหลบหนีออกจากสังเวียนได้สักพัก ไม่ทันได้ถามว่าต้วนหลิงเทียนใช้วิธีการอันใด ก็มาได้ยินเสียงซุบซิบของเหล่าอัจฉริยะบนอัฒจันทร์เสียก่อน ทำให้มันเข้าใจเรื่องราวได้ทันที

 

  มันยิ้มกล่าวคำกับต้วนหลิงเทียนอย่างนับถือ ก่อนจะหันหลังและเหินร่างกลับไปยังอัฒจันทร์ที่นั่ง

 

  ต้วนหลิงเทียนเองก็เหินร่างกลับที่นั่งเช่นกัน

  อย่างไรก็ตามต่างจากโจวเส้าคุนที่ไม่มีใครสนใจ ตอนนี้มีหลายๆคนมองตามต้วนหลิงเทียนไม่วางตา

 

  ต้วนหลิงเทียน…

 

  ศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของ ฟงชิงหยาง จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน!

 

  สามารถเข้าใจมรรคากระบี่มิติจากมรรคากระบี่ทำลายล้างของฟงชิงหยาง

 

  มาตอนนี้ยังเข้าใจ 1 ในจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลกอย่างวิถีควบคุมเพิ่มอีก!

 

  เรียกว่าเสมือนทั่วร่างต้วนหลิงเทียนถูกรัศมีลึกลับปกคลุมอย่างไรอย่างนั้น

 

  “จะว่าไป จนถึงบัดนี้พวกเรายังไม่ได้เห็นความสำเร็จของกฏมิติต้วนหลิงเทียนเลยไม่ใช่รึ?”

 

  จู่หลายคนก็ฉุกคิดถึงปัญหาหนึ่ง

 

  ต้วนหลิงเทียนแม้จะเคยเอาชนะเทพสงคราม 2 ดาราได้ง่ายดาย แถมยังเอาชนะโจวเส้าคุนที่มีพลังระดับเทพสงคราม 2 ดาราชนชั้นยอดฝีมือ…แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ใช้พลังของกฏมิติสักเท่าไหร่เลย

 

  เรียกว่าแต่ต้นจนจบกฏมิติที่ต้วนหลิงเทียนใช้ให้เห็นชัดๆ ก็มีแค่ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติเท่านั้น

 

  และครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนใช้มรรคากระบี่มิติในการจัดการคู่ต่อสู้ ก็เป็นการผสานวิถีกระบี่เข้ากับความลึกซึ้งของกฏมิติแค่ประการเดียวเท่านั้น ไม่ได้ใช้การผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติแต่อย่างใด

 

  และครั้งที่สองก็เอาชนะโจวเส้าคุนด้วยการใช้วิถีควบคุม ไม่ได้เผยยให้เห็นการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติเช่นกัน

 

  “บางทีความเข้าใจในกฏมิติของต้วนหลิงเทียนอาจจะธรรมดารึเปล่า…เผลอๆอาจจะยังไม่เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งใดๆ?”

 

  บางคนเอ่ยขึ้นด้วยสงสัย

 

  “เรื่องพรรค์นั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน!”

 

  และก็มีบางคนที่คิดว่าไม่น่าจะเป็นแบบนั้นไปได้ “เจ้าไม่เห็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันหรือไร? จากกลิ่นอายพลังงของมันอย่างน้อยๆก็ต้องบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนักแล้ว…ในเมื่อมันเป็นถึงจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนัก และดูจากความเข้าใจของมันที่เลิศล้ำถึงขั้นเข้าใจ 2 วิถีในสวรรค์และโลกได้ เจ้ายังคิดว่ามันจะไม่เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏที่ง่ายกว่าวิถีอีกหรือ?”

 

  หลายคนแย้งออกมาเสียงดังว่าเรื่องแบบนั้นเป็นไปไม่ได้

 

  แน่นอนว่ายังมีบางคนที่ตั้งคำถามแย้งขึ้นมาอีกครั้ง “พลังของผู้คนมีจำกัด ข้ายอมรับว่าต้วนหลิงเทียนมีสติปัญญาเลิศล้ำ…แต่อย่างไรมันก็มีอายุแค่ 600 ปีเศษ…”

 

  “นอกจากนั้นมันยังเป็นคนที่ขึ้นสวรรค์มาอีกด้วย จะอยู่ในระนาบเทวโลกได้กี่ปีเชียว…”

 

  “และลองมันเข้าใจ 2 วิถีแล้วเช่นนี้ บอกให้รู้ว่ามันทุ่มเทเวลาไม่กี่ร้อยปีไปกับ 2 วิถีเป็นแน่ถึงได้บรรลุถึงขั้นตอนเบื้องต้นหมด เพียงเท่านี้มันก็ร้ายกาจมากแล้ว…ยังจะมีความเข้าใจในการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏอีกหรือไร? คนเราสามารถทำอะไรได้มากมายขนาดนั้นในเวลาไม่กี่ร้อยปีจริงๆ?”

 

  “ข้าเห็นด้วย…เผลอๆมันอาจจะยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติไม่ถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทุกประการด้วยซ้ำ”

 

  …

 

  ต้วนหลิงเทียนย่อมได้ยินบทสนทนาถกเถียงของเหล่าอัจฉริยะในอัฒจันทร์โดยรอบเช่นกัน แต่เขาก็ทำแค่ยิ้มบางๆเท่านั้น

 

  และหลังจากกลับมานั่งที่แล้ว ถังซานเป่าก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง สองตายังเป็นประกายจ้าเอ่ยถามออกมาอย่างสนอกสนใจว่า “พี่น้องต้วน ข้าถามตรงๆเลยนะ ที่แท้ความเข้าใจในกฏมิติของพี่น้องต้วนเป็นเช่นไรบ้าง?”

 

  “เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมเล่า?”

 

  ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม

 

  “แหะๆ…”

 

  ถึงซานเป่าหัวเราะแห้งๆ “ก็หากพี่น้องต้วนท่านไม่ได้มีความเข้าใจในกฏมิติสูงนัก ต่อให้พี่น้องต้วนท่านเข้าใจ 2 ใน 4 วิถีสวรรค์และโลก ข้าก็จะสู้กับพี่น้องต้วนให้ได้สักครั้ง!”

 

  “แต่ถ้าหากพี่น้องต้วนท่านยังมีความสำเร็จเลิศล้ำในการทำความเข้าใจกฏมิติอีก ข้าจะไปกล้าสู้กับท่านได้อย่างไร…สิ่งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าหาเรื่องเจ็บตัว ยังป้องกันไม่ให้ข้าต้องเสียชื่อด้วย”

 

  “ข้าไม่อยากโดนตาแก่นั่นถล่มข้าซ้ำว่าแพ้พี่น้องต้วนท่าน…”

 

  “ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเอาชนะพี่น้องต้วนท่านได้เพื่อไปเกทับตาแก่นั่น ข้าไหนเลยจะเปิดโอกาสให้ตาแก่เป็นฝ่ายถล่มซ้ำเติมข้าได้เล่า?”

 

  ถังซานเปล่ากล่าวออกมาชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าไม่มีความละอายใจหรือขวยเขินแม้แต่น้อย ราวกับเรื่องงราวมันต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว

 

  ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็อดขำไม่ได้

 

  ถังซานเป่าผู้นี้นับเป็น ‘ตัวของตัวเอง’ จริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ไฉนจางเทียนโย่วถึงกล่าวบอกว่ามันไม่มีมาดยอดฝีมือสักนิด

 

  เทียบกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว เรียกว่าต่างกันคนละขั้ว

 

  “ตอนที่เจ้าสู่กับข้า เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้เอง…”

 

  ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบ