“ท่านชาย นี่ก็ผ่านไปเกือบสามเดือนแล้ว เหตุใดท่านยังคิดถึงแม่นางผู้นั้นอยู่อีก”

“ใช่แล้วท่านชาย นังนั่นไม่รู้จักดีชั่ว กลับกล้าปฏิเสธท่านชาย อีกทั้งยังยอมหนีไปรนหาที่ตายที่เทือกเขาวายุเปราะ แต่กลับไม่ยอมตอบรับความปรารถนาของท่านชาย สมควรตายจริง ๆ!”

“ให้พวกเราพี่น้องดูแลท่านชายเถิด เหตุใดยังต้องไปคิดถึงนังสารเลวนั่นด้วย?”

ภายในพระราชวังแห่งหนึ่งบนเขาเจี้ยนโหยว ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังร้องเพลงและเต้นรำ โอบกอดเซวียนจิงหยุนเอาไว้ ราวกับฝูงนกที่บินมาเกาะกิ่งไม้ ไม่ว่าที่ใดก็มีแต่กลิ่นหอมของหญิงสาว

“เจ้าคือเซวียนจิงหยุน?”

ทันใดนั้น ในเวลานี้ ที่ลานเต้นรำใจกลางพระราชวัง ปริภูมิเกิดเป็นระลอกคลื่น จากนั้นร่างสองร่างก็ปรากฏขึ้น

“ใครกัน?”

“บังอาจยิ่งนัก อาจหาญบุกรุกเข้ามาภายในพระราชวังของท่านชาย?”

เหล่าสาวงามในลานเต้นรำถึงกับผงะ แต่แล้วก็มีคนกระโดดออกมา จ้องมองไปที่คนสองคนที่ปรากฏตัวด้วยสายตาระแวดระวัง

“เจ้าเป็นใคร?” เซวียนจิงหยุนผลักหญิงสาวข้างกายออกไป สายตาจ้องมองไปยังร่างของหลัวซิว สีหน้าเผยให้เห็นถึงความเคร่งเครียด

ถึงแม้เขาจะชื่นชอบที่จะมัวเมาอยู่กับสาวงาม แต่ในฐานะผู้สืบทอดแห่งเขาเจี้ยนโหยว แต่เขาไม่ใช่คนโง่ เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสองปรากฏตรงหน้าเขาอย่างเงียบเชียบ โดยที่เขาไม่ทันได้รู้สึกตัวด้วยซ้ำ ชัดเจนว่าเป็นยอดฝีมือที่ชำนาญกฎปริภูมิ

ที่ต้องรู้คือ ถึงแม้จะมีโอรสสวรรค์ที่โดดเด่นมากมายจากสำนักจักรพรรดิแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ใช่ว่าจะสามารถชำนาญการฝึกตนวิถีแห่งกฎชั้นยอดได้

“ข้าคือคนที่จะมาสังหารเจ้า”

หลัวซิวไม่เคยเป็นคนชอบพูดไร้สาระ เขามองไปยังเซวียนจิงหยุนด้วยสายตาเย็นชา พูดประโยคนั้นออกมาได้อย่างสงบนิ่งอย่างมาก

“บังอาจ! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด เมื่ออยู่ที่เขาเจี้ยนโหยวแต่กลับกล้าไม่เคารพท่านชาย ต้องโทษถึงตาย! ”

ร่างของชายวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นกลางพระราชวัง นี่คือผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎเทพขั้นสามคนหนึ่ง และเป็นองครักษ์ของเซวียนจิงหยุน

และเป็นเพราะมีผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพคอยติดตามคุ้มกันอยู่ ช่วงหลายปีมานี้เซวียนจิงหยุนจึงได้ครอบครองผู้บำเพ็ญเซียนหญิงจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาตลอด

ในตอนที่องครักษ์วัยกลางคนปรากฏตัวขึ้น ก็ลงมือโจมตีในทันที เพราะเขาสามารถสัมผัสได้ว่า อีกฝ่ายไม่ได้มาดี อีกทั้งยังกล้าบุกรุกเข้ามายังเขาเจี้ยนโหยว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน

องครักษ์วัยกลางคนลงมือด้วยกำลังทั้งหมดที่มี มกุฎเทพของขลังเปล่งแสงเทวะออกมา พลังแห่งกฎขั้นที่หกพลุ่งพล่าน สามารถทำให้พระราชวังแห่งนี้กระจายออกไปได้อย่างง่ายดาย

เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพคนหนึ่งที่ลงมือเต็มกำลัง ปฏิกิริยาของหลัวซิวกลับสงบนิ่งอย่างมาก แม้กระทั่งคร้าจที่จะเคลื่อนไหว จีเสี่ยวจื่อที่อยู่ข้างกายจึงออกโรงแทน

เห็นเพียงนางยกมือขึ้นชี้ไปกลางอากาศ กฎปริภูมิหลอมรวมเป็นปราณกระบี่บินตรงเข้าไปฟาดฟัน

ผุ!

เพียงชั่วพริบตาพลังอำนาจขององครักษ์วัยกลางคนถูกปราณกระบี่ฟันจนกลายเป็นความว่างเปล่า เห็นเพียงปราณกระบี่นั้นกระพริบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว วินาทีต่อมา ก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังขององครักษ์วัยกลางคน

ร่างขององครักษ์วัยกลางคนสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็กระอักเลือดออกมาเฮือกใหญ่ ร่างกายถูกฉีกขาดในพริบตา กลายเป็นละอองเลือดแผ่กระจายออกไป

แดนมกุฎเทพเหมือนกัน แต่สำหรับจีเสี่ยวจื่อที่ชำนาญกฎปริภูมิแล้วนั้น การสังหารมกุฎเทพขั้นสาม มันช่างง่ายดายเหลือเกิน

ทันใดนั้น ทุกคนในพระราชวังทั้งหมดต่างตกตะลึง นั่นเป็นถึงผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎเทพ แต่กลับถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้? ทั้งสองคนนี้ที่จริงแล้วมีผลการฝึกตนระดับใดกันแน่?

ใบหน้าของจีเสี่ยวจื่อก็จัดอยู่ในระดับสาวงามชั้นยอด แต่ในวินาทีนี้เซวียนจิงหยุนกลับไม่กล้าทำสิ่งใดที่เป็นการล่วงเกินเลยแม้แต่น้อย

“เสี่ยวจื่อ ฆ่าให้หมด! ”

หลัวซิวเคร่งขรึมถึงขัดสุด เสียงนั้นเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง โหดเหี้ยมและไร้ความปรานี

หลายปีที่ผ่านมา หลัวซิวได้สังหารผู้คนไปมากมายไม่รู้เท่าไร เขารู้ดีว่าบนเส้นทางแห่งการฝึกตนโลกยุทธ์นี้ ความใจอ่อนใด ๆ ก็ตามคือพฤติกรรมโง่เขลา