ตอนที่ 1848 เรื่องราวแปรเปลี่ยน สาวงามเป็นผู้ติดตาม

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

“ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิตด้วย!”

บนพื้น ข่งอวี้ยังคงโขกหัว ศีรษะกระแทกดังปึงๆ

ภายในใจเขาถูกความหวาดหวั่นท่วมมิด!

ระดับจักรพรรดิ บางทีอาจไม่สามารถทำให้เขาเกรงกลัวสักเท่าไหร่ แต่หากเป็นระดับจักรพรรดิจากตระกูลจินเทียน นั่นย่อมต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

“ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิตด้วย!”

ผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งคนอื่นๆ ที่ตามมากับข่งอวี้ต่างก็คุกเข่าลนลาน ร้องขอชีวิตเสียงสั่นกันถ้วนหน้า

บนยานลมกรดที่กว้างขวางเงียบกริบไปทั้งแถบ

ในใจพวกเหลียงชวนล้วนซับซ้อนยิ่ง หอเสียงสวรรค์ของพวกเขาก็มีระดับจักรพรรดิเป็นกำลังหลักเช่นเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่าไม่อาจยกมาเทียบกับจักรพรรดิกระบี่วายุได้สักนิด

หากไม่เป็นเช่นนี้ แค่ข่งอวี้คนเดียวเป็นไปได้หรือที่จะบีบพวกเขามาจนถึงขั้นนี้ได้

“สหายน้อย คนพวกนี้จะเป็นหรือตาย ขอเพียงเจ้าพูดมาประโยคเดียว”

และยามนี้จักรพรรดิกระบี่วายุก็ทอดสายตามองไปทางหลินสวินที่อยู่ในหมู่ผู้คน น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาไม่น้อย

คราวนี้ผู้คนจึงตระหนักได้ว่า อวี่เสวียนที่พักนี้เรียกคลื่นลมนับไม่ถ้วนบนยานลมกรดก็อยู่ที่นี่ด้วย

ชั่วขณะนั้นสายตาทุกคู่ต่างมองมา

หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะ หลินสวินกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเป็นผู้ตัดสินใจเถิด”

จักรพรรดิกระบี่วายุพยักหน้า

“ก่อนหน้านี้พวกเจ้าลงมือบุ่มบ่าม ปล่อยไปไม่ได้”

สายตาของเขามองไปทางชายชราชุดเขียวและชายวัยกลางคนชุดขาวที่ถูกกำราบอยู่บนพื้น ประโยคเดียวเรียบง่าย ทำเอากึ่งจักรพรรดิสองคนนี้ตกใจจนขวัญหลุดวิญญาณกระเจิง ไม่อาจสนใจเรื่องใดอีก ร้องขอชีวิตเสียงเศร้า

แต่จักรพรรดิกระบี่วายุในเวลานี้คร้านจะพูดแล้ว โบกแขนเสื้อหนึ่งครา

ตูม!

พลังระดับจักรพรรดิอันน่าสะพรึงแผ่กว้างออกไป

ก็เห็นชายวัยกลางคนชุดขาวและชายชราชุดเขียวต่างไม่ทันต่อต้าน ร่างก็กลายเป็นเถ้าธุลีอลยกระเซ็น ร่างและวิญญาณล้วนดับสูญ!

เสียงสูดหายใจเฮือกระลอกหนึ่งดังขึ้น

สำหรับผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ในที่นี้ ระดับกึ่งจักรพรรดิก็เป็นบุคคลที่ทำได้เพียงแหงนหน้ามองแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าระดับจักรพรรดิ กึ่งจักรพรรดิก็กลายเป็นพวกที่เพียงดีดนิ้วก็สลายหายไปเป็นฝุ่นควัน

นี่ก็คือความห่างชั้น เหนือภูผาย่อมมีเขาที่สูงชันกว่า!

“ไสหัวไป”

จักรพรรดิกระบี่วายุปรายตามองพวกข่งอวี้ ริมฝีปากพ่นคำหนึ่งออกมา

ข่งอวี้ที่คุกเข่าลงกับพื้นฟันกระทบกันดังกึกๆ ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่างนานแล้ว ยามได้ยินประโยคนี้พลันเผยแววตื่นเต้นยินดีขึ้นมา

“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งแล้ว ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งแล้ว!”

เขารีบโขกศีรษะปลกๆ หลังจากนั้นก็รีบลุกขึ้นมาแล้วพุ่งพรวดขึ้นยานสมบัติห้าสี พร้อมกับผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งพวกนั้น กลัวลานเหมือนสุนัขจรจัด!

ผู้ฝึกปราณทั้งหมดที่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ ล้วนสะท้านสะเทือนจนวาจาไปพักหนึ่ง

พวกเหลียงชวนที่โชคช่วยหนีรอดความตายมาได้ยิ่งสีหน้าสับสน ราวกับฝันไปอย่างไรอย่างนั้น

คลื่นลมปุบปับครั้งนี้ก็ปิดม่านลงเช่นนี้

ไม่ทันไรยานลมกรดก็เดินทางในฟ้าดาราต่อ

ยานสมบัติห้าสี

จนกระทั่งหนีไปไกลลิบ ข่งอวี้จึงค่อยๆ คืนสติกลับมาจากสภาพอารมณ์หวาดกลัว สิ้นหวัง หน้าเปลี่ยนสีจนไม่น่าดูหาใดเปรียบ

“ข่งหลิน ข้าต้องการคำอธิบาย”

เสียงของข่งอวี้คล้ายลอดออกมาจากไรฟัน เผยแววเคียดแค้นไร้สิ้นสุด

ยามนี้ข่งหลินเข่าอ่อนคุกเข่าทรุดลงกับพื้น พอได้ยินดังนั้นก็กล่าวด้วยเสียงสะอื้นไห้ “นายน้อย ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจักรพรรดิกระบี่วายุนั่นดันเข้ามาเอี่ยวในเรื่องนี้ด้วย ว่ากันตามเหตุผล เมื่อเผชิญหน้ากับเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งของพวกเราและเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิก็ยังต้องกริ่งเกรง กังวลว่าจะชักนำภัยใส่ตัว”

“ว่ากันตามเหตุผล?”

ข่งอวี้โกรธจนดวงตาแดงก่ำ เส้นผมตั้งชันขึ้นมา “เจ้าแม่งไม่รู้หรือว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ ระดับจักรพรรดิไม่มีใครคุยด้วยเหตุผล”

ปึง!

เขาถีบเข้าใส่อย่างแรงคราหนึ่ง ทั้งตัวข่งหลินถึงกับลอยคว้างออกไป กระแทกเข้ากับผนังโถงใหญ่ ส่งเสียงอู้อี้อย่างเจ็บปวดออกมา

และยามนี้เพลิงโทสะและความแค้นในอกของข่งอวี้ราวกับถูกจุดลุกโชนอย่างสิ้นเชิง พุ่งพรวดเข้าไปกระหน่ำตีข่งหลินอย่างกับบ้าคลั่ง

“เจ้ารู้หรือไม่ ครั้งนี้เจ้าเกือบทำให้ข้าต้องตาย”

“ข้าไม่เคยเห็นคนโง่เง่าอย่างเจ้ามาก่อน!”

สุดท้ายพร้อมๆ กับเสียงอู้อี้ ข่งหลินถูกตีตายทั้งเป็น ร่างแตกระเบิด เลือดเนื้อเปรอะเปื้อน

ข่งอวี้สีหน้าบิดเบี้ยวเขียวคล้ำ ราวกับยังระบายอารมณ์ไม่สุด ถ่มน้ำลายออกมาอย่างดุเดือดแล้วโพล่งผรุสวาท “พวกสวะ แม่งสวะกันหมด!”

การปราชัยครังนี้ แรงสะเทือนที่มีต่อเขารุนแรงเกินไป

“นายน้อย ต้องการกลับไปขอทัพเสริทที่ตระกูลหรือไม่”

ข้ารับใช้อาวุโสคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาเงียบๆ

“ไม่!”

ข่งอวี้ปฏิเสธอย่างไม่ลังเลสักนิด เขาสีหน้ามืดทะมึน “เจ้าเชื่อหรือไม่ ข้าประสบกับความอัปยศครั้งใหญ่เช่นนี้ หลังกลับไปถึงตระกูลมีแต่จะถูกคนหัวเราะเยาะอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น”

ข้ารับใช้อาวุโสนิ่งเงียบ

ข่งอวี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง น้ำเสียงเย็นเยียบ “จักรพรรดิกระบี่วายุนั่นพูดถูก ครั้งนี้ต่อให้ข้าตายไป คนในตระกูลก็ไม่มีทางหักหน้าจักรพรรดิกระบี่วายุเพราะข้าเด็ดขาด!”

ภายในใจเขาอัดอั้น ทั้งเคืองแค้นทั้งจนปัญญา

ว่ากันถึงที่สุด จักรพรรดิกระบี่วายุที่ลงมือครั้งนี้แข็งแกร่งเกินไป

“ไปโลกใหญ่หงเหมิง!”

ข่งอวี้ตัดสินใจ กล่าวกัดฟันกรอด “ข้าทำอะไรจักรพรรดิกระบี่วายุไม่ได้ และไม่กล้าหาเรื่องอวี่เสวียนนั่น แต่เจ้าหมอนี่อย่างไรก็ฆ่าคนของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ตาย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเรือนมรรคดึกดำบรรพ์จะนิ่งดูดาย!”

ข้ารับใช้อาวุโสพยักหน้าเงียบๆ

และเวลาเดียวกันนี้ บนยานลมกรด

“ครั้งนี้โชคดีที่ผู้อาวุโสช่วยเหลือ”

หน้าเรือนพัก น้ำตกสาดกระเซ็น น้ำพุหลั่งริน ต้นสนเขียวขจีแตกหน่ออ่อน หน้าโต๊ะหินตัวหนึ่ง หลินสวินและจักรพรรดิกระบี่วายุนั่งหันหน้าเข้าหากัน กำลังจิบชาสนทนา

จักรพรรดิกระบี่วายุกล่าวยิ้มๆ ว่า “แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สหายน้อยเชื่อหรือไม่ หลังจากข่งอวี้นั่นกลับไปคงไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้กับคนในตระกูลเขาเด็ดขาด”

หลินสวินเลิกคิ้ว กล่าวอย่างประหลาดใจ “เพราะเหตุใดหรือ”

จักรพรรดิกระบี่วายุยิ้มพลางคลายปมสงสัย “เผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์อย่างตระกูลข่ง ไม่ขาดแคลนคนรุ่นเยาว์เหมือนข่งอวี้สักนิด หากตระกูลข่งรู้ว่าข่งอวี้นี่ยั่วโทสะข้า ตรงข้ามจะยิ่งลงโทษข่งอวี้สถานหนัก ไม่ใช่เพราะไม่กล้าล่วงเกินข้า หากแต่เป็นเพราะไม่อยากล่วงเกินข้าเพียงเพราะพวกกระจอกคนหนึ่ง”

“พวกกระจอก…”

หลินสวินรู้สึกทอดถอนใจในใจ ข่งอวี้นั่นก็เป็นถึงมกุฎราชันอริยะคนหนึ่ง แต่พอเอ่ยออกจากปากจักรพรรดิกระบี่วายุ กลับกลายเป็นพวกกระจอกที่ไม่ควรค่าให้ชายตาแล

“ที่ไม่ฆ่าเจ้าหมอนี่ ก็เพียงเพราะเขาไม่ใช่แค่ทายาทตระกูลข่ง ยังเป็นศิษย์สืบทอดแท้จริงคนหนึ่งของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์”

จักรพรรดิกระบี่วายุกล่าวว่า “ในหกเรือนมรรคใหญ่ มีเพียงเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ที่ถือหางคนของตนที่สุด หากข่งอวี้ตาย เรือนมรรคดึกดำบรรพ์คงไม่กล้าทำอะไรข้า แต่จะจ้องเล่นงานสหายน้อยเพราะความแค้นครั้งนี้”

หลินสวินส่ายหน้า “ข้าฆ่าคนของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ตั้งมากมายขนาดนั้น ความเคียดแค้นถูกผูกไว้นานแล้ว ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่ต้น”

จักรพรรดิกระบี่วายุกล่าวอย่างอึ้งๆ ว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะจุ้นจ้านเสียแล้ว”

ทั้งคู่สนทนากันอีกพักหนึ่ง ยามเมื่อจักรพรรดิกระบี่วายุกำลังจะจากไป จู่ๆ ก็กล่าวขึ้นว่า “สหายน้อย พอจะเห็นแก่หน้าข้า ให้นางหนูเสวียนเยวี่ยนั่นติดสอยห้อยตามฝึกปราณอยู่ข้างกายเจ้าสักระยะได้หรือไม่”

หลินสวินลอบกล่าวในใจ ดังคาด สาเหตุที่แท้จริงที่จักรพรรดิกระบี่วายุลงมือในครั้งนี้ เกรงว่าก็เพราะเรื่องนี้เท่านั้น

หนำซ้ำน้ำใจครั้งนี้เขายังไม่อาจไม่ยอมรับ

ชั่วขณะหนึ่งเขาถึงกับกล่าวอย่างค่อนข้างจนปัญญาว่า “ผู้อาวุโส ข้าบังอาจถามสักข้อได้หรือไม่ เหตุใดท่านต้องทำเช่นนี้”

จักรพรรดิกระบี่วายุขบคิดแล้วตอบกลับอย่างจริงจัง “ง่ายดายยิ่ง เพื่อมอบวาสนาบางอย่างให้กับนางหนูเสวียนเยวี่ยคนนี้ นางไม่ขาดแคลนวิชายุทธ์ และไม่ขาดทรัพยากรฝึกปราณ สิ่งเดียวที่ยังขาดคือการเคี่ยวกรำตนเอง ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงทางสภาวะจิตและบนมรรคา”

หลินสวินคิดทบทวนครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “แต่ติดตามอยู่ข้างกายข้ามีแต่จะยิ่งอันตราย หากนางประสบเคราะห์อะไรขึ้นมา…”

จักรพรรดิกระบี่วายุยิ้มกล่าว “นั่นก็เป็นเพราะนางอายุสั้น ตระกูลจินเทียนของข้าจะไม่โทษสหายน้อยเพราะเรื่องนี้เป็นอันขาด”

กล่าวถึงตรงนี้เขาก็หัวเราะเยาะหยันตัวเองในใจ พวกเขา… มีสิทธิ์อะไรไปกล่าวโทษคนรุ่นเยาว์เช่นนี้กันเล่า

หลินสวินกล่าวว่า “ข้าสามารถรับปากผู้อาวุโส แต่บอกก่อนว่า ต่อไปไม่ว่าทำอะไรล้วนต้องฟังคำของข้า”

จักรพรรดิกระบี่วายุไม่ได้ลังเลแต่อย่างใด ตอบตกลงอย่างเบิกบาน

“เสวียนเยวี่ย ผู้อาวุโสอย่างข้าขอบอกเจ้าตามจริง ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะกำลังเดิมพัน เดิมพันโดยใช้พรสวรรค์และคุณสมบัติของเจ้า ภายหน้าติดตามอยู่ข้างกายอวี่เสวียนนี่ จะต้องสามารถผงาดได้อย่างกร้าวแกร่งอย่างแน่นอน ต่อให้เสาะแสวงโอกาสแห่งการแจ้งมรรคเป็นจักรพรรดิ ก็มีความเป็นไปได้สูงยิ่ง”

หลังจากจักรพรรดิกระบี่วายุกลับไป ก็ไปพบจินเทียนเสวียนเยวี่ยทันที และพูดคุยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

จินเทียนเสวียนเยวี่ยอึ้งงัน นัยน์ตาที่ดุจดั่งดวงดาราบนฟากฟ้าปกคลุมด้วยความกังขาดุจหมอก “ผู้อาวุโส เหตุใดท่านถึงฝากความหวังไว้กับคนผู้นี้”

นัยน์ตาของจักรพรรดิกระบี่วายุมีประกายวาบผ่าน “รอภายภาคหน้าเจ้าก็จะรู้เอง หากเจ้าเชื่อผู้อาวุโส ก็จงติดตามคนผู้นั้นไป”

จินเทียนเสวียนเยวี่ยนิ่งเงียบเนิ่นนาน สุดท้ายก็ร้องอืมคราหนึ่ง

ในใจจักรพรรดิกระบี่วายุเจือแววสงสารเห็นใจ “นางหนู หากเจ้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ผู้อาวุโสอย่างข้า… ก็จะไม่บังคับ”

จินเทียนเสวียนเยวี่ยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เชิดหน้างามล้ำดุจเทพเซียนขึ้น นัยน์ตาดุจดาราเจือแววหนักแน่น “ผู้อาวุโส ข้ารู้ว่าท่านหวังดีกับข้า”

จักรพรรดิกระบี่วายุรู้สึกชื่นชมนัก

เผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนดำรงอยู่ตราบเท่าปัจจุบัน ถูกเรียกว่าเป็นเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ บารมีสะเทือนทั่วหล้า แต่มีเพียงจักรพรรดิกระบี่วายุเท่านั้นที่รู้ว่า สถานการณ์ของตระกูลในยามนี้เริ่มถดถอยลงเป็นรุ่นๆ แล้ว

เคราะห์ดี จินเทียนเสวียนเยวี่ยยังทำให้จักรพรรดิกระบี่วายุมองเห็นความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ความเป็นไปได้ที่จะเรืองอำนาจเช่นจักรพรรดิขาวดึกดำบรรพ์อีกครั้ง!

‘หมายจะทะลวงระดับจักรพรรดิ ย่อมต้องเดินบนเส้นทางที่แตกต่างจากคนทั่วหล้า ระยะห่างจากการเปลี่ยนแปลงในรอบแสนปีของยุคปัจจุบัน… อยู่ไม่ไกลแล้ว…’

แววตาจักรพรรดิกระบี่วายุลุ่มลึก จากการคาดการณ์ที่เรือนมรรคโลกาสวรรค์ทำนายไว้เมื่อนานมาแล้ว ไม่พ้นพันปี ทางเดินโบราณฟ้าดาราทั้งบนล่างนี้จะต้องเกิดการเปลี่ยนครั้งใหญ่อย่างแน่นอน!

การเปลี่ยนแปลง หมายความว่าเก่าไปใหม่มา หากใครสามารถคว้าโอกาสได้ บาทีก็อาจสามารถเป็นเจ้าเหนือหัวคนถัดไปในหนึ่งแสนปีให้หลัง!

ดึกดำบรรพ์ปิดม่าน บรรพกาลผงาด

บรรพกาลปิดม่าน ยุคปัจจุบันรุ่งเรือง

หากยุคปัจจุบันปิดม่าน…

ใครจะเป็นเจ้าเหนือหัวคนถัดไปในมหายุคไม่เที่ยงหนึ่งแสนปี?

“ท่านยาย จักรพรรดิกระบี่วายุนี่คิดจะทำอะไรกันแน่”

เรือนพักอีกหลังหนึ่ง เด็กหนุ่มชุดป่านไม่เข้าใจยิ่ง

“เขาน่าจะมองอะไรบางอย่างจากสถานะของอวี่เสวียนนั่นออก”

หญิงชรากล่าวง่ายๆ

“เฮ้อ เดิมทีข้าเองก็ตั้งใจจะพายเรือตามน้ำ มอบน้ำใจให้พี่ชายคนนั้นสักหน่อย ใครจะไปคิดว่ากลับถูกจักรพรรดิกระบี่วายุนั่นชิงตัดหน้าไปก่อนหนึ่งก้าวเสียได้”

เด็กหนุ่มชุดป่านทอดถอนใจเบาๆ

หญิงชรากล่าวว่า “นายน้อย ท่านไม่เห็นต้องทำเช่นนี้เลย สถานะของอวี่เสวียนนี่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ผูกมิตรกับเขา เป็นพรหรือเป็นภัยยังยากจะคาดเดายิ่ง จากที่ข้าดู จักรพรรดิกระบี่วายุกำลังเดิมพันอยู่ หมายจะเอาศุภโชคบางอย่างจากตัวอวี่เสวียนนี่ให้กับแม่นางน้อยที่ชื่อจินเทียนเสวียนเยวี่ยคนนั้น”

“เดิมพัน?”

เด็กหนุ่มชุดป่านคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง “ท่านยาย พวกเราก็ลองเดิมพันสักตั้งด้วยหรือไม่ อย่างเช่น… ให้ข้าไปทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของพี่ชายคนนั้น ไม่แน่ ‘เส้นทางสงบใจ’ ของข้าอาจจะคลี่คลายยามอยู่ข้างกายเขาก็เป็นได้”

หญิงชราขนลุกชูชัน เริ่มตึงเครียดขึ้นมาในทันที

……………………..