นักยุทธ์ก็เป็นมนุษย์ และการเป็นมนุษย์นั้นต้องไม่ลืมกำพืดตน ต่อให้วันหนึ่งเขาเดินขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของวิถียุทธ์ ไร้คู่ต่อสู้ในเก้าสวรรค์สิบปฐพี โลกแสงดาวก็เป็นสถานที่ที่กำเนิดความทรงจำหลัก ๆ ของเขาที่เขาไม่มีวันลืมเลือน

พื้นที่ส่วนมากล้วนถูกทำลายจนพังย่อยยับ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเทพมารของสมาคมเฟยหยางได้ทำการกวาดล้างโลกแสงดาวอย่างยิ่งใหญ่ ทรัพยากรสมบัติจำนวนมากล้วนถูกค้นและรีดไถไป สามารถมองเห็นคูเมืองที่ถูกทำลาย และสำนักเขาที่ถูกกวาดล้างได้ทุกที่เลย

ในฐานะที่เป็นผู้ปล้นชิง พวกคนในสมาคมเฟยหยางไม่มีทางคำนึงถึงลูกหลานรุ่นหลังในโลกแสงดาวเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แก่งแย่งทรัพยากรสมบัติอย่างอุกอาจและไม่พะวงใด ๆ ทำให้ทั่วทุกมุมโลกแสงดาวเปี่ยมล้นไปด้วยความคับแค้นใจของฝูงชน

จากผลการฝึกตน ณ ปัจจุบันของหลัวซิว แม้ตัวสำนึกจะไม่สามารถแผ่คลุมทั้งโลกแสงดาว แต่ก็สามารถครอบคลุมครึ่งโลกแสงดาวอยู่

เขามาถึงอาณาจักรใต้ก่อนเป็นลำดับแรก ทว่ากลับไม่ได้มุ่งหน้าไปยังไท่เสวียน แต่เป็นการมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ในเขตภูเขาหนึ่ง

หมู่บ้านดังกล่าวมีนามว่าหมู่บ้านชิงเมี่ยว เขาเติบโตอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็ก กระทั่งอายุสิบขวบ พ่อแม่ขายทรัพย์สินทุกอย่างในบ้าน ให้เขากราบไหว้เข้าไปในสำนักยุทธ์ของเมืองชิงหยุน กลายเป็นเด็กฝึกยุทธ์คนหนึ่งในสำนักยุทธ์

ที่นี่มีความทรงจำในวัยเด็กของเขา อายุสองร้อยกว่าปีสำหรับผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์นั้นผ่านไปเร็วมาก ทว่าสำหรับชาวบ้านธรรมดาแล้ว มันกลับเป็นกาลเวลาที่ยาวนาน

ทั้งหมู่บ้านชิงเมี่ยว ผู้คนที่เขารู้จักล้วนเสียชีวิตหมดแล้ว อายุไขของชาวบ้านธรรมดามีไม่ถึงร้อยปี มาตรแม้นว่าเป็นเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา ก็ล้วนกลายเป็นโครงกระดูกที่แห้งกรัง ฝังอยู่ในสุสานที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านสิบกว่าไมล์

เทพมารของสมาคมเฟยหยางเคยทำการค้นและรีดไถสมบัติทรัพยากรอย่างกําเริบเสิบสาน โชคดีที่หมู่บ้านชิงเมี่ยวไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เป็นเพียงเพราะที่นี่ไม่ใช่พื้นที่ล้ำค่าที่ใช้สำหรับการฝึกฝน เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ของชาวบ้านธรรมดาที่ตั้งอยู่กลางภูเขา

ยืนอยู่ในหมู่บ้านแล้วเบิ่งมองออกไปไกล ๆ สามารถมองเห็นภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง อดีตอาชีพของทั้งครอบครัวเขา ล้วนพึ่งพาการขึ้นไปเก็บสมุนไพรยาบนภูเขาของพ่อ และเป็นพ่อเช่นกันที่เก็บลูกแก้วความเป็นตายได้จากภูเขา นี่ถึงได้ทำให้ชีวิตของเขาได้รับการแปรเปลี่ยน

ยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่ง พ่อแม่และพี่สาวหลัวซิ่วเอ๋อร์ก็ถูกหลัวซิวเคลื่อนย้ายออกมาจากโลกาจุดลมปราณ

“ที่นี่คือ……”

เมื่อเห็นสภาพแวดล้อมที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าตรงหน้านี้ คู่สามีภรรยาหลัวซงหลินและหลัวซิ่วเอ๋อร์ต่างก็ตะลึงงันไปเลย

“นึกไม่ถึงเลยว่าบั้นปลายชีวิตจะยังได้กลับมาอีก…..”น้ำตาท่วมใบหน้าที่แก่ชราของหลัวซงหลิน เขาที่อยู่ในร่างมนุษย์ธรรมดาใช้ชีวิตมาเกือบสามร้อยปีแล้ว เขา ณ ปัจจุบันก็เป็นคนมีอายุ ไม่ใช่วัยหนุ่มแน่นที่ร่างกายแข็งแรงคนนั้นอีกต่อไปแล้ว

ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปล้วนมีความคิดที่อยากกลับคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอนเมื่อเฒ่าชรา ซึ่งหลัวซิวก็ทราบนี้จุดนี้อยู่ เดิมทีการลงมายังโลกามนุษย์ เขาก็วางแผนที่จะพาพ่อแม่และคนทั้งครอบครัวย้อนกลับมาโลกแสงดาวเช่นกัน ให้พ่อแม่ดูแลตนเองอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

ฉียู่หรง หนิงหานยู่และจีเสี่ยวจื่อสตรีทั้งสามต่างรู้สึกตะลึงงันไปแล้ว เวลานี้พวกนางถึงจะทราบตัวตนที่แท้จริงของหลัวซิว

เป็นคนรุ่นหลังของมนุษย์ธรรมดาในโลกาเทพฟ้าพิภพต่ำ!

ตัวตนเช่นนี้ อย่าว่าแต่ในมหาโลกาพันสามเลย มาตรแม้นว่าอยู่ในพิภพต่ำอย่างโลกาเทพฟ้า ก็เป็นตัวตนที่อยู่ในระดับชนชั้นที่ต่ำที่สุด

อย่างไรก็ตามอาศัยตัวตนเช่นนี้ เขากลับเป็นผู้ที่สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพช่วงปลายได้แล้ว และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือระยะเวลาในการฝึกตนของเขา เพิ่งจะสองร้อยกว่าปีเท่านั้น!

ฝึกตนมาสองร้อยกว่าปีเหมือนกัน การที่จีเสี่ยวจื่อมีพรสวรรค์อย่างทุกวันนี้ได้นั้น เป็นเพราะท่านปู่นางคือผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพคนหนึ่ง และยิ่งเป็นปรมาจารย์ยาเซียนคนหนึ่งด้วย

เมื่อเปรียบเทียบตัวตนฐานะของฉียู่หรงและหนิงหานยู่กับหลัวซิวแล้ว ก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นกัน

เสี้ยววินาทีนี้ เหมือนกับว่าพวกนางจะเข้าใจได้เล็กน้อยแล้ว ถึงแม้หลัวซิวจะเคยได้รับโชคและโอกาสที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ การที่เขาสามารถค่อย ๆ ก้าวเดินขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ได้นั้น ก็ต้องผ่านพ้นความทุกข์ยากลำบากมามากอย่างนับไม่ถ้วนแน่นอน