ตอนที่ 1947 : การจากไปของมู่เอ๋อ

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1947 : การจากไปของมู่เอ๋อ

“เด็กน้อย เจ้าไม่อาจจะยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของลัทธิปิศาจชั้นฟ้าได้ แม้ว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า เจ้าก็คงพลิกสถานการณ์ไม่ได้ แน่นอนว่าเจ้าอาจจะพอควบคุมได้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของลัทธิปิศาจชั้นฟ้าแล้ว การจะผ่านเรื่องนี้ไม่ได้ยากลำบากเลย มากับเราเถอะ” ผู้หญิงคนหนึ่งบอกกับซ่างกวนมู่เอ๋อ

“ขอบคุณที่เป็นห่วง ผู้อาวุโส แต่ข้าไม่ต้องการจะออกไปตอนนี้ สามีข้าโดนจับไปโดยแม่ทัพกองทัพที่เจ็ดและตอนนี้เป็นยังไงก็ไม่รู้ ถ้าข้าหาตัวสามีข้าไม่พบ ข้าก็จะไม่ออกจากที่นี่” ซ่างกวนมู่เอ๋อตอบอย่างเด็ดเดี่ยว

“ เด็กโง่ เจ้าได้รับสมบัติของบรรพชนสามมา เมื่อเจ้าเข้าร่วมกับลัทธิเต๋าเสียงศักดิ์สิทธิ์ ฐานะของเจ้าจะต้องโดดเด่น มันไม่เหมือนกับการรับศิษย์ทั่วไป หากเจ้ามีแวว นิกายของเราต้องใช้ทรัพยากรเพื่อบ่มเพาะเจ้าซึ่งมอบโอกาสในการเติบโตกับเจ้า สำหรับสามีของเจ้าแล้ว เขาไม่อาจจะจัดการแม่ทัพของลัทธิปิศาจชั้นฟ้าได้ด้วยซ้ำ ศิษย์ของลัทธิเต๋าเสียงศักดิ์สิทธิ์จะไปเป็นภรรยาของคนแบบนั้นได้ยังไง ? ”

“เด็กน้อย ลืมสามีเจ้าเสีย เจ้าต้องเติบโตขึ้น ในอนาคตเจ้าจะยิ่งใหญ่ซะจนสามีของเจ้าได้แต่แหงนหน้ามอง เขาไม่เหมาะกับเจ้า” หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นมาอย่างจริงใจ

ด้วยระดับการบ่มเพาะของทั้งคู่ที่อยู่ขอบเขตตั้งต้นแล้ว มันไม่จำเป็นที่พวกเขาต้องมาพูดอย่างสุภาพกับขั้นเหนือเทพ แต่ด้วยฐานะของบรรพชนสามในอดีตแล้วจึงทำให้ไม่อาจจะมองข้ามเรื่องนี้ได้ นางเคยเป็นคนที่ทั้งสองเคารพอย่างมาก

เนื่องจากซ่างกวนมู่เอ๋อได้รับพิณปิศาจร่ำไห้มา ท่าทีที่ทั้งสองมีต่อนางจึงเปลี่ยนไป

“ลัทธิเต๋าเสียงศักดิ์สิทธิ์ของเราตั้งอยู่ที่ภาคกลางของที่ราบอัคคีฟ้า ในอนาคตหากมีคนจากตระกูลเจ้าต้องการไปหาเจ้า ก็ให้ไปหาเราที่นั่น เด็กน้อย ได้เวลาแล้ว เมื่อเจ้าเข้าร่วมกับลัทธิเต๋าเสียงศักดิ์สิทธิ์และรับรู้ถึงการสนับสนุนจากลัทธิใหญ่ เจ้าจะพบว่าสามีที่เจ้าคิดถึงหนักหนานั้นไม่ได้มีค่าอันใดเลย” เมื่อพูดจบทั้งสองก็โบกมือและเอาตัวซ่างกวนมู่เอ๋อไปกับพวกนางด้วย

“พี่มู่เอ๋อ ! ”

จักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ร้องออกมา สายตาเขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและเขาก็ได้ไล่ตามไปทันทีแต่ด้วยความแข็งแกร่งที่เขามีนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตามผู้ที่อยู่ขอบเขตตั้งต้นทั้งสองได้ ในพริบตาทั้งสองก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ฮุสตัน, รุยจิน และคนอื่น ๆ ในป้อมต่างก็มีสีหน้าบิดเบี้ยวไป ซ่างกวนมู่เอ๋อโดนพาตัวไปต่อหน้าพวกเขา แต่พวกเขากลับทำอะไรไม่ได้เลย มันทำให้พวกเขารู้สึกเศร้าใจและหมดหนทาง

ตอนแรกเจี้ยนเฉินโดนแม่ทัพที่เจ็ดพาตัวไปและตอนนี้เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ ตอนนี้ซ่างกวนมู่เอ๋อก็โดนพาตัวไปด้วย คนจากตระกูลเทียนหยวนต่างก็รู้สึกสลดในเรื่องนี้

การจากไปของซ่างกวนมู่เอ๋อย่อมจะส่งผลต่อสนามรบ เมื่อไม่มีดนตรีของนาง ทหารของลัทธิปิศาจชั้นฟ้าก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้น พวกนั้นสามารถใช้พลังได้เต็มที่อีกครั้ง

ในอีกด้านกองทัพของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์กลับไม่สามารถรักษาสมดุลเอาไว้ได้เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพที่โหดร้ายเช่นนี้ พวกเขาต้องเสียเปรียบในทันที

แม้ว่าจะได้เปรียบเรื่องจำนวน แต่ความแข็งแกร่งนั้นกลับต่างกันคนละระดับ

“ตาย ! ”

รุยจินตะโกนออกมาและพุ่งเข้าไปในสนามรบด้วยความหนักใจ

ฮุสตันและคนอื่น ๆ เองก็พุ่งเข้าไปหาทหารของสามกองทัพโดยไม่พูดอะไรออกมา

สำหรับราชาศักดิ์สิทธิ์ เขายืนอยู่บนกำแพงและมองไปยังรองหัวหน้าของลัทธิปิศาจชั้นฟ้า ห้วยอัน

ทั้งสองคนไม่ได้ทำการโจมตีออกไปเพราะเมื่อพวกเขาลงมือแล้ว การต่อสู้ระหว่างขอบเขตตั้งต้นคงเริ่มต้นขึ้น

ในพระราชวังของจักรวรรดิเสิ่นเตา เจี้ยนเฉินได้ร่ำลาองค์ชายและตัวแทนจากจักรวรรดิอื่น ๆ เขาได้กลับไปยังที่พักตัวเองพร้อมกับความเหนื่อยล้าที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า

ตลอดหลายวันมานี้การต่อสู้ของเขากับเฟยฮีจากสำนักฟ้าพยับเมฆได้แผ่ไปทั่วทั้งภาคเหนือโดยบทสรุปของข่าวคือชัยชนะของเขา มันทำให้หลายกลุ่มในภาคเหนือสนใจขึ้นมา ผลก็คือคนจากที่ต่าง ๆ ได้แห่กันมาหาเขาตลอดหลายวันมานี้ พวกนั้นมีทั้งองค์ชายจากหลายจักรวรรดิ, นายน้อยจากตระกูลใหญ่และศิษย์จากสำนักใหญ่ ด้วยการที่มีคนมากมายแห่กันมา มันเป็นธรรมดาที่จะต้องมีเรื่องขัดแย้งกัน ในเวลาเดียวกันพวกนั้นต่างก็พากันสงสัยในความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉิน

ผลก็คือเจี้ยนเฉินต้องรับการท้าประลองจากคนมากมายตลอดหลายวันมานี้

ตอแรกเขาปฏิเสธพวกนั้น แต่ยิ่งเขาปฏิเสธเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีคนที่อยากท้าประลองมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายแล้วคนที่เข้ามาท้าทายเขาก็มีแต่เพิ่มขึ้น

แต่เพราะเรื่องนี้จึงทำให้เจี้ยนเฉินผูกมิตรกับตัวแทนสำนักใหญ่และองค์ชายจากอาณาจักรอื่น เขาได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ในภาคเหนือจากพวกนั้น

ตอนนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งอายุพอ ๆ กับ เจี้ยนเฉินได้พุ่งเข้ามาด้วยความเร่งรีบและพูดขึ้นว่า “ น้องเจี้ยนเฉิน องค์หญิงไทอันและองค์ชายห้าของจักรวรรดิซีมาหา พวกเขาต้องการพบเจ้า “

ชายหนุ่มคนนี้มายืนอยู่ตรงหน้าเจี้ยนเฉิน เขาทั้งดีใจและตื่นเต้น เขาได้พูดขึ้นด้วยความยินดี “น้องเจี้ยนเฉิน พวกเขาคือองค์หญิงไทอันและองค์ชายห้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขามีสถานะที่สูงส่งเพียงใดในจักรวรรดิซี ? ”

“บอกข้าที พี่หยานชุน” เจี้ยนเฉินตาเป็นประกายขึ้นมาเมื่อได้ยินว่าพูดถึงจักรวรรดิซี

ชายหนุ่มคนนี้มีชื่อว่าหยานชุน และเขาคือองค์ชายของจักรวรรดิเสิ่นเตา

ตลอดหลายวันมานี้องค์ชายทุกคนจากจักรวรรดิเสิ่นเตาได้แสดงท่าทีเป็นมิตรกับเจี้ยนเฉิน พวกเขาพยายามที่จะผูกมิตรกับเจี้ยนเฉินเอาไว้

ผลก็คือเจี้ยนเฉินรู้จักกับองค์ชายทุกคนในจักรวรรดิเสิ่นเตา

องค์ชายหยานชุนกระแอมและรีบอธิบายออกมา “องค์หญิงไทอันถูกแต่งตั้งขึ้นมาโดยจักรพรรดิซีเอง บอกกันว่านางมีสายเลือดของจักรพรรดินี ไม่ใช่แค่นางเป็นหลานของจักรพรรดินี แต่นางก็ยังเป็นหนึ่งในคนที่จักรพรรดินีรักที่สุด บอกกันว่าในจักรวรรดิซีนั้น นอกจากจักรพรรดิซี แล้ว นางคือคนที่ใกล้ชิดกับจักรพรรดินีนี้มากที่สุด”

“ราชวงศ์ในจักรวรรดิซีนั้นกว้างขวาง ลูกหลานทุกคนของจักรพรรดิจะกลายเป็นองค์หญิงหรือไม่ก็องค์ชาย ส่วนหลานของจักรพรรดิเองก็จะเป็นองค์หญิงและองค์ชายด้วย ผลก็คือพวกเขามีองค์ชายและองค์หญิงอยู่เต็มไปทั่วอาณาจักร แต่อันที่จริงแล้วพวกนั้นได้ไปแค่ตำแหน่ง พวกเขาห่างเหินกับจักรพรรดิ มันมีองค์ชายและองค์หญิงหลายคนที่ไม่เคยพูดกับจักรพรรดิมาก่อน แต่องค์หญิงไทอันคือคนที่ไปเยี่ยมจักรพรรดินีได้ตามใจและ จักรพรรดิซี ก็แต่งตั้งตำแหน่งนี้ให้นางเอง ผลก็คือสถานะของนางในจักรวรรดิซีจึงยิ่งใหญ่ขึ้นจนไม่มีใครทัดเทียมได้ สำหรับองค์ชายห้าแล้ว เขาคือคนที่จักรพรรดิซีโปรดปรานมากที่สุด พ่อขององค์ชายห้านั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจักรพรรดิตอนที่จักรพรรดิยังเป็นองค์ชายอยู่ เท่าที่เรารู้มา จักรพรรดิซีนั้นไม่มีลูก แม้แต่องค์ชายห้าก็ไม่ใช่ลูกหลานโดยตรงของเขา มีหลายคนเชื่อว่าจักรพรรดิซีเลี้ยงดูองค์ชายเพื่อเป็นผู้สืบทอดของตนจากท่าทีที่ชื่นชมองค์ชาย “

หยานชุนบอกเจี้ยนเฉินทุกอย่างเกี่ยวกับองค์ชายห้าและองค์หญิงไทอัน เขาไม่ได้ถือตัวในฐานะองค์ชายต่อหน้า เจี้ยนเฉินเลยสักนิด