เย่เฉินแม้ว่าไม่ได้มีการตอบกลับใดๆต่อคำพูดของกู้ชิวอี๋ แต่หลังจากที่ความทรงจำในวัยเด็กปรากฏขึ้นในสมองไม่หยุด ก็ยังคงซึมซับเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ให้เขารู้สึกว่าระยะห่างกับกู้ชิวอี๋ใกล้ขึ้นเข้ามาอีกหน่อย

เขาถึงขั้นมีภาพสมมุติหนึ่งปรากฏขึ้นมาภายในสมองว่า หากพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ตนเองก็ไม่ได้พเนจรไปจินหลิง ตนเองในตอนนี้ ก็คงจะแต่งงานกับกู้ชิวอี๋แล้วใช่หรือเปล่า?

บางที ที่เฝ้าอยู่ข้างบ่อปลาคาร์ปในตอนนี้ ก็อาจจะไม่ใช่ตนเองในตอนนี้กับกู้ชิวอี๋อีกต่อไป ในแถวเดียวกัน บางทีอาจจะยังมีพ่อแม่ของตนเอง พ่อแม่ของกู้ชิวอี๋

ถึงขั้น ยังมีความเป็นไปได้จริงๆว่า ตามมาด้วยเด็กวัยเตาะแตะคนสองคน ล้อมอยู่ที่ข้างๆตนเองกับกู้ชิวอี๋เสียงดังจ๊อกแจ๊ก เรียกพวกเขาว่าพ่อแม่ จากนั้นก็ถามพวกเขาเกี่ยวกับรายละเอียดและความทรงจำมากมายของปลาคาร์ปด้วยเสียงเด็กที่น่ารัก

ที่จริงแล้ว ทุกอย่างนี้ก็ไม่ใช่การจินตนาการโดยไม่มีเหตุผลของเย่เฉิน

เขารู้นิสัยของคุณพ่อ คุณชายสองตระกูลเย่ เย่ฉางอิง พูดคำไหนคำนั้น หากท่านยังมีชีวิตอยู่ ตนเองกล้าพูดหนึ่งคำว่าไม่แต่งงานกับกู้ชิวอี๋ เกรงว่าท่านคงจะตีตนเองจนขาขาด

อีกทั้ง ลูกคนรวยระดับสูงสุดของเย่นจิง ส่วนใหญ่แต่งงานค่อนข้างเร็ว เพราะว่าที่บ้านจัดการคู่แต่งงานเอาไว้เรียบร้อยมาตั้งนานแล้ว ปกติถึงอายุที่สามารถแต่งงานได้ตามกฎหมาย ก็รีบจัดงานแต่งงานในทันที

หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ในปีนั้นที่ตนเองอายุยี่สิบสอง ก็คงจะแต่งกู้ชิวอี๋เข้ามาในบ้านแล้ว

นับมาจนถึงตอนนี้ ตนเองคงจะแต่งงานกับกู้ชิวอี๋มาแล้วสี่ปี หากประสิทธิภาพสูงหน่อย มีลูกสองคนก็เป็นปกติมาก

กู้ชิวอี๋เห็นเย่เฉินค่อนข้างที่จะเหม่อลอย ก็เอ่ยถามขึ้นที่ข้างกายของเขาเบาๆว่า “พี่เย่เฉิน พี่กำลังคิดอะไรคะ?”

เย่เฉินยิ้มขึ้นอย่างขมเฝื่อน เอ่ยว่า “คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ขึ้นมา”

กู้ชิวอี๋ถอนหายใจออกมาเบาๆ “เมื่อครู่นี้ฉันก็คิดถึงลุงเย่และป้าเย่ขึ้นมาเหมือนกันค่ะ เมื่อครู่นี้ฉันยังคิดอยู่เลยว่า หากในปีนั้นพวกท่านไม่เกิดเรื่อง พวกเราสองคนคงจะแต่งงานกันไปตั้งนานแล้ว ลูกก็คงจะมีแล้ว หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ ก็คงจะเป็นการรวมตัวกันครบของคนสามรุ่นแล้ว”

เย่เฉินตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด

คิดไม่ถึง ว่ากู้ชิวอี๋จะคิดมาถึงจุดเดียวกันกับตนเอง

ในใจของเขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา กู้ชิวอี๋ตั้งแต่เด็กก็ได้รับสถานะว่าที่ภรรยาของตนเอง หลายปีมานี้ก็พยายามหาตนเองให้เจอมาโดยตลอด แต่งงานกับคนที่ตนเองถือว่าเป็นเป้าหมายของชีวิต หากอนาคตตนเองทำให้เธอผิดหวังขึ้นมาจริงๆ จะเผชิญหน้ากับกู้เหยียนจงและหลินหว่านชิวสองสามีภรรยายังไง? อนาคตภายใต้แหล่งน้ำบาดาลทั้งเก้า ทั้งจะเผชิญหน้ากับพ่อแม่ที่พูดคำไหนคำนั้นยังไง?

กู้ชิวอี๋ที่อยู่ด้านข้างไม่รู้ว่าเย่เฉินกำลังต่อสู้วุ่นวายภายในสมอง ดึงมือของเขาเบาๆ เอ่ยปากว่า “ขอโทษนะคะพี่เย่เฉิน ฉันไม่ควรเอ่ยถึงลุงเย่ป้าเย่ ทำให้พี่เสียใจแล้ว…”

เย่เฉินยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ก็ไม่ได้เศร้าเสียใจขนาดนั้นแล้ว ที่มากกว่าก็คือความเสียใจในสิ่งที่ไม่ได้ทำล่ะมั้ง…”

กู้ชิวอี๋ถือโอกาสประสานนิ้วมือกับเย่เฉิน ดึงเขาลุกขึ้นมา เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เย่เฉิน พวกเราออกไปเที่ยวเล่นกันเถอะค่ะ!”

เย่เฉินพยักหน้า สลัดความคิดที่ซึมเศร้าเหล่านั้นในหัวสมองทิ้ง เดินเล่นภายในเรือนสี่ประสานกับกู้ชิวอี๋ จากนั้นก็ไปที่ทะเลสาบโห้วไห่ด้วยกัน

ตลอดเส้นทางนี้ กู้ชิวอี๋ต่างก็ไม่ยอมแยกห่างมือของเขา เย่เฉินเห็นเธอสดใสเต็มเปี่ยมขนาดนี้ ก็เลยไม่ได้ฝืนบังคับอะไร

อากาศในตอนนี้แม้ว่าจะหนาวเย็นมาก แต่สำหรับคนเย่นจิงท้องถิ่นแล้ว เวลานี้ก็คือเวลาที่ดีที่สุดในการมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งที่ทะเลสาบโห้วไห่

ดังนั้น ทั้งทะเลสาบโห้วไห่ครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง บนพื้นน้ำแข็งก็เต็มไปด้วยหนุ่มสาวทุกเพศทุกวัยกำลังเล่นกันอย่างรื่นเริงสนุกสนาน

เย่เฉินกับกู้ชิวอี๋จูงมือกันมาถึงบนพื้นน้ำแข็ง เช่ารถสเก็ตน้ำแข็งสำหรับนั่งสองคนจากคุณปู่ที่อยู่ชายฝั่งตรงนั้น จากนั้นเย่เฉินก็พากู้ชิวอี๋ เริ่มเล่นกันอย่างสบายใจไร้กังวลบนพื้นน้ำแข็ง

ในเวลานี้ ในกลุ่มคนมีสายตาที่ตกใจถึงขีดสุด จ้องมาที่เย่เฉินไม่ยอมหยุดตลอดเวลา!

เจ้าของสายตานี้ ก็คือต่งรั่งหลิน

ต่งรั่งหลินก็เป็นสาวท้องถิ่นของเมืองเย่นจิง เพราะว่าพรุ่งนี้ก็ต้องออกจากเมืองเย่นจิงกลับไปยังจินหลิงแล้ว ดังนั้นเธอจึงคิดถึงประสบการณ์การเล่นสเก็ตน้ำแข็งที่ทะเลสาบโห้วไห่เป็นพิเศษ ลากน้องสาวลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งภายในบ้าน มาเล่นที่ทะเลสาบโห้วไห่ด้วยกัน