ตอนที่ 3526 : 4 ช่องทาง
ได้ยินคำพูดของฟงชิงหยางเส้นประสาทต้วนหลิงเทียนก็ขึงตึงทันที ขณะเดียวกันเขาก็กักเก็บสำนึกเทวะเอาไว้ในร่างไม่กล้าแผ่ออกไปสำรวจอะไรอีก
และครู่ต่อมาเขาก็ปล่อยตัวตามสบาย ให้อาจารย์พาเขาห้อเหยียดเข้าสู่หุบเขาที่เต็มไปด้วยม่านหมอกสีเลือดทันที
ทันทีที่ผ่านม่านหมอกเข้ามา ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนจมดิ่งลงในบ่อเลือด บรรยากาศมันเต็มไปด้วยความอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก ไม่ใช่เพราะใดอื่น แต่เป็นเพราะจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวที่ฟุ้งตลบไปทุกทั่วสารทิศ กระทั่งเขารู้สึกเสมือนมีต้นตอจิตสังหารหนึ่งเฉียดเข้าใกล้เขาจนห่างออกไปไม่กี่ก้าว…สิ่งนี้ทำให้ร่างเขาเสมือนถูกแช่แข็งทันที เพราะเสมือนความตายพึ่งผ่านหน้าเขาไปอย่างไรอย่างนั้น…
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็อดหันไปมองฟงชิงหยางไม่ได้ และเขาพบว่าบัดนี้หน้าผากของอาจารย์เองก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดซึม สีหน้าท่าทียังจริงจังเคร่งเครียดถึงขีดสุด!
ตั้งแต่พบเจออาจารย์ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นอาจารย์ตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดถึงขนาดนี้
ท่ามกลางหมอกเลือดอันหนาแน่นและกลิ่นอายกระหายเลือดรวมถึงจิตสังหารอันสยดสอง ต้วนหลิงเทียนที่เต็มไปด้วยความกดดัน ไม่อาจรู้ได้ว่าเวลาผ่านพ้นไปนานเท่าไหร่กันแน่ แต่ในที่สุดเขาก็ถูกอาจารย์พามาถึงปากถ้ำที่อยู่บริเวณผนังผาด้านหนึ่ง ก่อนจะเข้าใกล้ปากถ้ำดังกล่าวเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายอันหนาแน่นที่แผ่พุ่งเข้ามาขุ่นคลั่ก พึ่งจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งชีวิตเบาบางสายหนึ่งเท่านั้น
และดูเหมือนต้นตอของกลิ่นอายแห่งชีวิตบางเบาที่ว่า จะมาจากปากถ้ำที่เขาอยู่
“เข้าไปด้านในเถอะ”
หลังจากเข้ามาในถ้ำแล้ว ฟงชิงหยางก็ถอนรั้งพลังที่หอบหิ้วต้วนหลิงเทียน ปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนเป็นอิสระอีกครั้ง ด้านต้วนหลิงเทียนก็เริ่มหันมองสำรวจรอบๆ ตอนแรกผนังถ้ำโดยรอบก็ไม่คล้ายมีอะไร แต่พอดูให้ดีจะพบว่ามีลวดลายสลับซับซ้อนบางอย่างสลักเอาไว้
และหลังจากเดินตามอาจารย์เข้ามาสักพัก เขาก็พบว่าลวดลายบนผนังยิ่งมายิ่งซับซ้อนโบราณ ให้ความรู้สึกเสมือนมันผ่านพ้นวันเวลามาเนิ่นนาน
“ตอนนี้เจ้าสามารถใช้สำนึกเทวะได้แล้ว”
ด้วยมีคำเตือนก่อนหน้าของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าแผ่สำนึกเทวะออกมาอยู่นาน พอสามารถแผ่สำนึกเทวะได้แล้วเขาก็เริ่มสำรวจโดยรอบด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที จากนั้นพอสำนึกเทวะแผ่ไปตรวจสอบลวดลายบริเวณผนังถ้ำ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเก่าแก่โบราณ ทำให้เขารู้สึกเสมือนพวกมันถูกแกะสลักขึ้นมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล กระทั่งยังมีกลิ่นอายสังหารอันน่ากลัว รวมได้ยินเสียงคำรามดุร้ายปานจะบุกตะลุยเข่นฆ่าเข้ามาอยู่ในใจ ทำให้เขาตกใจสะดุ้งไม่น้อย
“นี่มัน…อะไรกันแน่”
ต้วนหลิงเทียนที่ตกใจจนสะดุ้งอดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็น เพราะสถานที่แห่งนี้มันแปลกประหลาดเกินไป ลวดลายสลับซับซ้อนบนผนังถ้ำนั่น แต่ละลวดลายเต็มไปด้วยอำนาจลี้ลับน่ากลัวบางอย่าง มันครอบงำจิตใจคล้ายจะทำให้เขาสูญเสียสติสัมปชัญญะอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านอาจารย์…ตอนมาครั้งแรก ท่านรอดมาได้เพราะค้นพบสถานที่แห่งนี้หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนอดถามฟงชิงหยางไม่ได้
“ใช่”
ฟงชิงหยางพยักหน้า
“แต่จากจิตสังหารอันตรายตลอดทางที่ผ่านมาขณะฝ่าหมอกเลือดนั่น…ข้าเกรงว่าหากเป็นตัวตนที่อยู่ใต้ขอบเขตเทพคงยากจะมีใครผ่านเข้ามาได้อย่างราบรื่น…แล้วท่านผ่านมาได้อย่างไรโดยไม่ไปปะทะเข้ากับอะไรบางอย่างที่แผ่จิตสังหารน่ากลัวนั่น?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
ในความคิดของเขา ถึงแม้ฟงชิงหยางอาจารย์เขาจะหลบหนีมาถึงหุบเขาแห่งนี้ได้เพราะอาศัยมรรคากระบี่ทำลายล้าง แต่จิตสังหารที่ตลบไปทั่วหมอกเลือดในหุบเขาด้านนอกนั่น ตอนที่ฟงชิงหยางเข้ามาครั้งแรกเกรงว่าคงไม่ได้ผ่านเข้ามาอย่างง่ายดายเหมือนวันนี้แน่
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ฟงชิงหยางก็เงียบไปพักหนึ่ง คอยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าเต็มไปด้วยความทอดถอนใจ “ทั้งหมดเป็นเพราะกวงหลิง”
“กระบี่คู่กายข้าเมื่อก่อน ‘กระบี่ผลาญฟ้าอาสัญ’ นั้น เป็นอุปกรณ์เทพที่กำเนิดจิตวิญญาณแล้ว จิตวิญญาณที่กำเนิดขึ้นเรียกว่ากวงหลิง…หลังจากตัวกระบี่ถูกคนผู้นั้นทำลาย กวงหลิงก็ได้มาอาศัยอยู่ในร่างข้าเป็นการชั่วคราว ในตอนที่เข้าสู่นรกอสุราครั้งแรก ข้าเองก็แทบต้องตายระหว่างทางมาหุบเขาก่อนหน้า แต่เป็นกวงหลิงเลือกจะเผาผลาญวิญญาณจนดับสูญ จนสามารถเผยทางรอดให้ข้า…”
“ทางรอดดังกล่าว ก็ทำให้ข้าสามารถเดินทางมาถึง ด้านนอกหุบเขาได้สำเร็จ”
เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของฟงชิงหยางตอนนี้แลดูไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
“ท่านอาจารย์ข้า…ข้าไม่รู้ ขออภัยด้วย”
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง ที่คำถามเขาดันไปเปิดแผลเก่ายากทานทนของฟงชิงหยาง
กวงหลิง จิตวิญญาณกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญของอาจารย์ ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เขาก็เคยได้ยินมาจากผู้เฒ่าหั่วแล้ว เพราะในอดีตก็เป็นกวงหลิงที่พาตัวผู้เฒ่าหั่วกับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปจากเขานั่นเอง
และถึงแม้เขาจะไม่เคยพบเจอจิตวิญญาณกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญ กวงหลิง ที่ว่าเลยสักครั้ง แต่ผู้เฒ่าหั่วก็บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายภักดีกับอาจารย์เขามาก
เป็นธรรมดาว่าในฐานะผู้ครอบครองอุปกรณ์เทพที่มีจิตวิญญาณ เขาย่อมรู้ดีว่าจิตวิญญาณดังกล่าวจงรักภักดีต่อเจ้าของมากขนาดไหน
หากหวงเอ้อต้องดับสูญเหมือนกวงหลิงเพราะช่วยเขา ก็คงเป็นเรื่องยากที่เขาจะทำใจยอมรับได้
เมื่อลองคิดในมุมของอาจารย์แล้ว เขาก็เข้าใจความรู้สึกของอาจารย์ดี
“ไม่เป็นไร มันผ่านไปแล้ว”
ฟงชิงหยางส่ายหัวไปมาพลางทอดถอนใจ และไม่คิดจะพูดถึงเรื่องนี้อีก กล่าวเปลี่ยนเรื่องออกมาว่า…
“ตอนแรกที่ข้ามาถึงด้านนอกหุบเขา พอข้าแผ่สำนึกเทวะออกมา เขาก็โดนต้นตอที่แผ่จิตสังหารในหมอกเลือดที่อยู่ใกล้ทางออกหุบเขาเข่นฆ่าเข้ามาทันที…ตอนนั้นข้าก็ได้ใช้ทุกสิ่งที่มีไม่เว้นมรรคากระบี่ทำลายล้างเพื่อต่อกรกับมัน สุดท้ายหลังจากสังหารสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งมุ่งเข่นฆ่าถ่ายเดียวนับพันๆ ข้าก็สัมผัสได้ถึงเจตจำนงสายหนึ่งจากถ้ำแห่งนี้เพรียกหาข้า…”
“ด้านนอกปากถ้ำ เจ้าเองก็คงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายมากมาย และท่ามกลางกลิ่นอายแห่งความตายมากมายก็มีกลิ่นอายแห่งชีวิตเบาบางสายหนึ่งแล้วกระมัง?”
เล่าถึงจุดนี้ ฟงชิงหยางก็เอ่ยถามต้ววนหลิงเทียนออกมา
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ใช่ ข้าเองก็สัมผัสได้ และข้ารู้สึกว่ากลิ่นอายแห่งชีวิตเบาบางดังกล่าวสมควรออกมาจากถ้ำแห่งนี้ แต่ตอนแรกที่ยังมาไม่ถึงปากถ้ำข้าก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งชีวิตที่ว่าเลย”
“มิผิด หากไม่ใช่เพราะมีเจตจำนงบางอย่างคอยชี้นำ เจ้าเองคงไม่ทราบว่ากลิ่นอายแห่งชีวิตมาจากไหน”
ฟงชิงหยางกล่าว “ตอนนั้นเป็นเพราะข้าสัมผัสได้ถึงการเพรียกหาจากสถานที่แห่งนี้ ข้าก็เลยฝ่าหมอกเลือดที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตอันตรายกระทั่งต่อให้เป็นเทพก็คงไม่อาจรอดมาได้ในที่สุด”
“เอาล่ะข้าจะพาเจ้าไปดูด้านใน”
จากนั้นภายใต้การนำทางของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็เดินลึกเข้ามาในถ้ำ จนในที่สุดก็มาถึงโถงถ้ำอันกว้างขวาง
โถงถ้ำแห่งนี้กว้างขวางมาก ลักษณะก็แลดูโล่งว่าง ผนังโดยรอบคล้ายถูกบางสิ่งตัดจนเรียบ และภายในโถงถ้ำก็มีโต๊ะเก้าอี้ และเตียงที่แลดูเรียบงายหลังหนึ่ง
จากนั้นพอสังเกตให้ดี ก็มีช่องทางอื่นอยู่รอบโถงถ้ำ นอกจากช่องทางที่มาแล้วก็มีด้วยกันทั้งสิ้น 4 ช่องทาง
“ช่องทางเหล่านั้นนำไปสู่สถานที่อันแตกต่างกันไป…ตอนแรกที่ข้ามาถึงที่นี้ขาก็เลือกพักฟื้นพลังในโถงถ้ำแห่งนี้อยู่ระยะหนึ่ง หลังจากที่ข้าฟื้นฟูพลังกลับมาสมบูรณ์แล้ว ข้าก็เริ่มออกสำรวจช่องทางต่างๆทีละช่องทาง”
“ตอนแรกข้าก็ไม่รู้หรอกว่าช่องทางไหนนำไปสู่อะไรบ้าง กระทั่งช่องทางแรกที่เลือกก็ทำให้ข้าบาดเจ็บหนักจนต้องหนีซมซานกลับมาที่โถงแทบไม่ทัน…”
“ต่อมาข้าก็ฝ่าช่องทางแรกไปได้ในที่สุด และปลายทางข้าก็พบเจอห้องลับสำหรับบ่มเพาะ ที่นั่นเปี่ยมล้นไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินมหาศาล ไร้ซึ่งสิ่งรบกวนใดๆจากภายนอก แม้พลังวิญญาณฟ้าดินจะปนเปื้อนไม่บริสุทธิ์เช่นกัน แต่ก็สามารถขจัดสิ่งปนเปื้อนออกได้ง่ายกว่าด้านนอกมาก”
“ในห้องลับบ่มเพาะที่ว่า ข้าก็เก็บตัวจนสามารถบรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นต่ำได้อย่างราบรื่น”
“พอบรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นต่ำแล้ว ข้าก็เริ่มควบรวมพลังสร้างร่างอวตารกฏทันที จนในที่สุดก็สร้างร่างอวตารกฏออกมา 2 ร่างได้แก่ร่างอวตารกฏแห่งดินและร่างอวตารกฏทำลายล้าง เป็นธรรมดาว่าข้าเลือกจะให้ร่างอวตารกฏทายล้างอยู่กับร่างจริงของข้า”
“หลังจากที่ข้าบรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นต่ำ ข้าก็กลับมาที่นี่และคิดสำรวจช่องทางที่ 2…”
ขณะที่ฟงชิงหยางกล่าวเล่าเรื่องราวให้ต้วนหลิงเทียนฟัง ก็ชี้ไปยังช่องทางที่พบเจอห้องลับบ่มเพาะ จนสามารถบรรลุถึงขอบเขตเทพได้สำเร็จ จากนั้นก็ชี้ไปอีกช่องทาง “ช่องทางแรกที่ 2 ถึงแม้ข้าจะฝ่าเข้าไปด้านในได้สำเร็จ แต่สุดท้ายข้าก็ดันติดอยู่ในนั้น…”
“แถมยังติดแหง็กอยู่ด้านในหลายปี เพราะไม่มีปัญญาหนีออกมา…”
“ยังดีที่พอมีจุดปลอดภัยให้ข้าหลบซ่อนพักฟื้น และพลังวิญญาณฟ้าดินด้านในแม้จะปนเปื้อนแต่ก็ถือว่าก้าวหน้าได้เร็วกว่าพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทพมาก…ในที่สุดพอบรรลุถึงเทพขั้นสูง ข้าก็สะสางปัญหาฝ่าอันตรายในช่องทางนั้นจนหลบหนีออกมาได้สำเร็จ…”
“แน่นอนว่าก่อนที่ข้าจะไปติดแหง็กอยู่ด้านใน ข้าก็ได้ส่งร่างแยกอวตารกฏแห่งดินออกจากนรกอสุราเพื่อกลับไปยังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ และชิงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์กลับคืนมา”
“ในที่สุดร่างจริงข้าก็รู้ว่าต้องอาศัยการร่วมมือจากร่างงอวตารกฏแห่งดินถึงจะจัดการปัญหาได้ ข้าก็เลยกลับมาที่นี่”
“และนั่นก็เป็นตอนที่ข้าพาเมิ่งหลัวมาที่นี่ด้วย”
“หลังจากนั้นในที่สุดร่างจริงของข้าก็หนีออกมาได้สำเร็จ และสามารถกลับจี้เมี่ยเทียนได้แล้ว แต่พอดีข้าอยากรู้ว่าอีก 2 ช่องทางจะนำข้าไปสู่ที่ไหน…เช่นนั้นข้าก็เลยให้ร่างจริงรั้งอยู่เพื่อสำรวจมัน”
“จะอย่างไร 2 ช่องทางแรกก็ทำให้ข้าพบความก้าวหน้าไม่น้อย…ถึงแม้หนึ่งในนั้นจะทำให้ข้าติดแหง็กอยู่นานปี แต่ด้วยสถานการณ์เสี่ยงตายก็ไม่ต่างอะไรกับการขัดเกลาและทำให้ข้ารู้สึกกดดันจนต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด กล่าวได้ว่าหากไม่ใช่เพราะการเคี่ยวกรำจากอันตรายของที่นั่น ข้าคงไม่มีทางบรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นสูงได้รวดเร็วขนาดนี้”
“และหลังจากเริ่มสำรวจ 2 ช่องทางที่เหลือได้ไม่ทันไร ในช่องทางที่ 3 ข้าก็พบเจอเข้ากับห้องลับแห่งกฏ…และภายในก็เต็มไปด้วยแก่นแท้พลังของกฏแห่งเวลา”
“เรื่องนี้ข้าก็บอกเจ้าไปก่อนหน้า”
ฟงชิงหยางกล่าวออกมารวดเดียวจบ
ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็รู้เหตุผลว่าไฉนร่างจริงของอาจารย์ถึงไม่ออกจากที่นี่ ที่แท้เพราะมันยังมีความลับที่ควรค่าให้ค้นหาอยู่นั่นเอง “ท่านอาจารย์เช่นนั้นท่านคิดให้ร่างจริงของท่านรั้งอยู่ที่นี่จนกว่าจะสำรวจช่องทางสุดท้ายแล้วเสร็จงั้นหรือ?”
“ช่องทางสุดท้าย…มันไม่ง่ายขนาดนั้น”
ฟงชิงหยางส่ายหัวไปมา คอยกล่าวว่า “ข้าคิดว่ารอให้ร่างจริงบรรรลุถึงราชาเทพเมื่อไหร่ค่อยลองสำรวจช่องทางสุดท้ายจะดีกว่า…แต่ลึกๆแล้วข้ารู้สึกว่าต่อให้ร่างจริงของข้าบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพ ก็ยังไม่น่าจะจัดการช่องทางสุดท้ายได้”
“ช่องทางสุดท้ายมันแข็งแกร่งเกินไป ต่อให้อาศัยร่างอวตารกฏทำลายล้างกับร่างอวตารกฏแห่งดินร่วมมือกัน ก็ไม่อาจจัดการได้ไหว…”
“กระทั่งตอนนี้ข้ายังไม่อาจสั่นคลอนมันได้ด้วยซ้ำ…”
“รอให้ร่างจริงข้าบรรลุถึงราชาเทพเมื่อไหร่ ข้าก็จะออกจากที่นี่แล้ว…และในอนาคตตอนที่ข้าบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพ ข้าค่อยลองย้อนกลับมาดูอีกครั้งว่า จะบุกฝ่าช่องทางสุดท้ายได้สำเร็จหรือไม่”
คำพูดของฟงชิงหยางย่อมทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตกใจอยู่บ้าง
“เป็นช่องทางไหนหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมอง ช่องทางทั้ง 2 พลางถาม
“ทางที่อยู่ด้านซ้ายเจ้า”
ฟงชิงหยางก็ชี้บอกให้ต้วนหลิงเทียนรู้
ฟุ่บ!
ทันใดนั้นเอง คล้ายมีสายลมกรรโชกมาหอบหนึ่ง จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีร่างหนึ่งวูบมาปรากฏตัวเบื้องหน้าเขาในฉับพลัน
แต่ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่การเคลื่อนย้ายข้ามมิติ แต่เป็นความเร็วที่สูงล้ำเกินกว่าเขาจะมองตามได้ทัน
และร่างที่ปรากฏตัวเองหน้าต้วนหลิงเทียนก็คือร่างฟงชิงหยางนั่นเอง เพียงแค่ร่างนี้ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามกว่าเดิม “ท่านอาจารย์นี่คือร่างจริงของท่านหรือ?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม เขาก็พบว่าร่างฟงชิงหยางที่อยู่กับเขามาตลอดได้เดินเข้าไปหลอมรวมเข้ากับร่างฟงชิงหยางที่มาใหม่ “ไม่ผิด ตอนนี้ในร่างจริงข้าก็มีร่างอวตารกฏ 3 ร่างรวมอยู่”
“มาเถอะ ตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปห้องลับกฏเวลา เพื่อให้เจ้าทำความเข้าใจกฏเวลา”
“แน่นอนว่าญาติกับสหายของเจ้าก็สามารถนำออกมา เพื่อแบ่งปันให้ทุกคนได้ลองใช้ห้องลับกฏเวลาดูได้เช่นกัน แต่ถ้าคนของเจ้าไม่อาจทนได้ไหว ก็รีบพากลับเข้าไปยังโลกใบเล็กของเจ้าเสีย”
“ตอนนั้นเมิ่งหลัวไม่ได้เข้าไปยังห้องลับกฏเวลา แต่ไปห้องลับบ่มเพาะที่ข้าเข้าไปในช่องทางแรก…แต่ถึงจะเป็นที่นั่นเมิ่งหลัวก็ถูกปฏิเสธ”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าห้องลับกฏเวลาจะปฏิเสธญาติกับสหายของเจ้า…หรือแม้แต่ตัวเจ้าหรือไม่”