ตอนที่ 3525 : นรกอสุรา
นรกอสุรา เป็น 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลก
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากฟงชิงหยางถูกไล่ล่าจนต้องหนีตายเข้าสู่นรกอสุราในปีนั้นจนเรียกว่า 9 ตาย 1 รอดต้วนหลิงเทียนก็เคยได้ยินเรื่องของนรกอสุรามาตั้งแต่ก่อนขึ้นมาระนาบเทวโลกด้วย
“ท่านอาจารย์ นรกอสุรา ถือว่าเป็นสถานที่อันตรายติด 3 อันดับแรกของ 7 สถานที่ต้อ งห้ามในระนาบเทวโลกลือกันว่าหากด่านพลังยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเทพ เมื่อเข้าไปแล้วก็ยากจะรอดกลับออกมาได้เช่นนั้นนอกจากสถานที่ต้องห้ามที่ว่ากันว่าอันตรายที่สุดสถานที่ต้องห้ามอีก แห่งมันอันตรายพอๆกับนรกอสุราหรือไม่?”
ระหว่างเดินทาง ตัวนหลิงเทียนก็เอ่ยถามเพิ่ม
“ก็ใช่”
ฟงชิงหยางพยักหน้า “อีก 2 สถานที่ต้องห้ามนั่น ที่หนึ่งคล้ายๆกับนรกอสุราแต่อีกที่นั้นแปลกประหลาดยิ่งกว่านรกอสุราอีก…ในนั้นยังเต็มไปด้วยขอบเขตเทพมากมาย”
“ด้วยเหตุนี้ที่นั่นจึงเรียกว่า สุสานแห่งทวยเทพ”
ฟงชิงหยางกล่าว
ในบรรดา 7 สถานที่ต้องห้ามอันตรายของระนาบเทวโลกนั้นต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินมาแล้ วว่า สุสานแห่งทวยเทพเป็นสถานที่ๆอันตรายที่สุด และรู้ว่ามีตัวตนที่ทรงพลังขอบเขตเทพมากมายกระทั่งเทพทั่วไปยังอาจตายเอาได้ง่ายๆ เช่นนั้นจึงถูกเรียกว่าสุสานแห่งทวยเทพ
“ท่านอาจารย์ตอนท่านเข้าสู่นรกอสุรา…สถานการณ์ของท่านคง 9 ตาย 1 รอดเลยกระมัง?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“เป็น 9 ตาย 1 รอดจริงๆ”
ขณะที่ฟงชิงหยางพยักหน้ารับ ลึกลงไปในแววตาของมันก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวที่ ตัวนหลิงเทียนยากจะมองเห็นวาบหนึ่ง “พูดไปแล้วข้าเสมือนใช้โชคชั่วชีวิตไปหมดสิ้นกับตอนนั้นจริงๆ…การที่ข้ารอดมาได้ต้องบอกเลยว่าเป็นเพราะโชคล้วนๆ”
“สถานที่ในนั้นลึกลับซับซ้อนทั้งเอาแน่เอานอนไม่ได้มีทั้งประตูเป็นและประตูตาย เพียงแค่ประตูตายมันมีมากกว่าประตูเป็นมากการที่ข้าสามารถเลือกถูกประตูเป็นได้ ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญครั้งยิ่งใหญ่
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อาจล่วงรู้สถานการณ์จําเพาะเจาะจงในนรกอสุราที่ฟงชิงหยางเคยเผชิญ
อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่าอีกไม่นานเขาก็จะได้รู้เรื่องนี้เอง
“ท่านอาจารย์ท่านเคยบอกว่า…ร่างจริงของท่านติดอยู่ในนั้นตอนนี้ยังออกมาไม่ได้หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอีกรอบ
เขาเคยถามผู้เฒ่าหัวแล้ว จึงได้รับทราบว่าร่างจริงของฟงชิงหยางนั้นติดอยู่ในนรกอสุราและเรื่องจะออกมายังเป็นปัญหาไม่น้อย
“เคยมีปัญหาจนยากจะออกมาได้นั่นล่ะแต่ตั้งแต่ตอนที่ข้าย้อนกลับมาพาเพิ่งหลัวไปครั้งก่อนข้าก็สามารถกลับออกมาได้แล้ว”
ฟงชิงหยางกล่าว “อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ร่างจริงของข้าหลุดจากปัญหาข้าก็เลือกที่จะปล่อยให้ร่างจริงอยู่ที่นั่น อันดับแรกเลยข้าคิดสํารวจที่นั่นต่อ ส่วนรองลงมาเพราะข้าคิดให้ร่างจริง ทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพให้เร็วที่สุด”
ราชาเทพ!
สําหรับการแบ่งระดับพลังของเหล่าเทพบนระนาบเทพนั้นต้วนหลิงเทียนได้ฟังจาก หวงเอ้อที่กลายเป็นจิตวิญญาณของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนมาเรียบร้อยแล้ว และต่อให้หวงเอ้อจะไม่รู้เขาก็ยังถามเทพเบญจธาตุจนรู้รายละเอียดได้ง่ายๆ
บนระนาบเทพนั้น เหล่าเทพจะถูกแบ่งระดับออกเป็น 5 ด่านพลังใหญ่ๆ
เทพ ราชาเทพ จอมราชันเทพ จักรพรรดิเทพ และอริยะเทพ
และแต่ละด่านพลังก็มีขั้นพลังย่อยอยู่ 3 ขั้น
อย่างเช่น เทพขั้นต่ํา เทพขั้นกลาง และเทพขั้นสูงในบรรดาทั้ง 3 ขั้นเทพขั้นต่ําถือว่าอ่อนแอที่สุด และผู้ที่พึ่งทะลวงด่านพลังมาถึงขอบเขตเทพได้ก็จะอยู่ในระดับนี้ และในด่านพลังเทพผู้ที่บรรลุถึงเทพขั้นสูงคือผู้ที่ทรงพลังที่สุด
ถัดจากเทพขั้นสูงก็จะเป็นราชาเทพขั้นต่ํา จากนั้นก็ราชาเทพขั้นกลาง และราชาเทพขั้นสูง
ด่านพลังหลังๆก็เช่นกัน
“คราวนี้ ร่างจริงของข้าได้ค้นพบสถานที่ประเสริฐแห่งหนึ่งอย่างไรก็ตามแม้ข้าจะพบสถานที่ประเสริฐดังกล่าวและมีพลังไม่ต่างอะไรจากห้องลับแห่งกฎเลย แต่ข้ายังไม่แน่ใจนักว่าเจ้าจะสามารถอยู่ในนั้นได้รึเปล่า”
ฟงชิงหยางกล่าว “คราวก่อน ข้าเคยพาเมิงหลัวมา แต่มันกลับอยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายก็ทนรับแรงกดดันจากอาคมลี้ลับที่นั่นไม่ใหว ข้าก็ทําได้แค่ส่งมันกลับออกมาเท่านั้น”
“ราวกับว่าการที่เจ้าจะอยู่ที่นั่นได้ จําต้องได้รับการยอมรับจากสถานที่แห่งนั้นเสียก่อน”
ฟงชิงหยางกล่าวออกมารวดเดียวจบ
“การยอมรับ?”
ต้วนหลิงเทียนแปลกใจ
“ใช่”
ฟงชิงหยางพยักหน้า “ข้าสงสัยว่าสถานที่ๆข้าพบเจอ เป็นสถานที่ๆมีใครเคยอาศัยอยู่มาก่อนและที่ไฉนข้าเข้าไปได้ไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับมรรคากระบี่ทําลายล้างของข้า ก็เลยได้รับการยอมรับจากที่นั่น”
“กล่าวง่ายๆ เสมือนข้ามีคุณสมบัติถึง จึงได้รับอนุญาตจากเจ้าของเดิมที่นั่น”
“และข้าเชื่อว่าผู้ที่สร้างสถานที่แห่งนั้นเอาไว้ ไม่น่าจะใช่ตัวตนธรรมดาแน่นอน ต่อให้อาจจะยังไม่บรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็สมควรเป็นตัวตนที่ยืนอยู่เหนือเหล่าทวยเทพทั้งมวล!”
“หลังจากเข้าไปที่นั่น ข้าก็ได้รับอะไรมามากมาย”
“และข้าที่อาศัยมรรคากระบี่ทําลายล้างจนได้รับการยอมรับจากที่นั้น ก็ล่วงลึกเข้าไปเรื่อยๆและโชคดีที่ข้าเลือกถูกประตูเป็น…ทําให้ตอนนี้คิดเข้าไปอีกครั้งข้าก็รู้แล้วว่าสมควรไปทางไหนแน่นอนว่าข้าพาเจ้าไปถึงที่นั่นได้ก็จริง แต่เจ้าจะได้รับการยอมรับหรือไม่ช้าก็ไม่แน่ใจ”
“อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเจ้าเองก็เข้าใจมรรคากระบี่มิ ติของตัวเองแล้ว”
กล่าวถึงประโยคท้าย สายตาที่ฟงชิงหยางใช้มองต้วนหลิงเทียนก็เต็มไปด้วยความโล่งใจ
“หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”
ต้วนหลิงเทียนก็ขานรับด้วยความคาดหวัง
จากนั้นฟังชิงหยางที่ปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนเหาะเองมาสักพักขณะคุย ก็เลือกจะหอบหิ้วต้วนหลิงเทียนไปด้วยความเร็วของขอบเขตเทพสืบต่อ ทําให้ไม่นานนักก็มาถึงสุดขอบฟ้าทิศตะวันออก
ยังเป็นสถานที่ๆใกล้กับแนวกั้นระนาบทิศตะวันออกของหยวนสื่อเทียน
“ที่นี่จุดเคลื่อนย้ายไปยังนรกอสุรานั้นตั้งอยู่ในตําแหน่งไม่ตายตัว แต่ก็ง่ายที่จะระบุว่ามันอยู่ตรงไหนเพียงแค่เจ้าแผ่สํานึกเทวะออกไป ก็จะพบเจอจุดเคลื่อนย้ายเอง”
“เจ้าลองดูสิ”
ฟังชิงหยางกล่าวบอกตัวนหลิงเทียน
บัดนี้ตัวนหลิงเทียนกําลังเห็นร่างหยุดลอยกลางอากาศ เขาก้มลงมองไปยังทะเลทรายอันไร้ขอบเขตเบื้องล่าง ไม่มีใครอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้ และมันไร้ซึ่งกลิ่นอายชีวิตใดๆ เห็นก็แต่เพียงพายุทรายม้วนวนถึงฟ้า และสายลมวิปริตที่กวาดซัดสาดไปทั่วอย่างไร้ปราณีเท่านั้น
พอได้ยินคําพูดของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลังเลรอช้า เร่งแผ่สํานึกเทวะออกไปตรวจสอบอาณาบริเวณโดยรอบทันที สํานึกเทวะไร้รูปแผ่กําจายกวาดฟ้าผ่านดินไปกว้างไกลในชั่วพริบตา…
หลังแผ่สํานึกเทวะออกไปแล้ว ตัวนหลิงเทียนก็เข้าใจสภาพการณ์ของสถานที่แห่งนี้ทันทีและไม่นานก็พบว่ามีห้วงมิติลึกลับหนึ่งกําลังเคลื่อนไหวไปทั่วอย่างไร้รูปแบบ มันสมควรเป็นจุดเคลื่อนย้ายที่ว่าและดูหมือนจะเคลื่อนไหวไปทั่ว เพราะได้รับอิทธิพลจากพายุทรายไม่ต่างอะไรกับกระดาษผืนน้อยปลิดปลิว
“พบแล้วหรือไม่?”
ฟงชิงหยางกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
และในขณะที่ฟงชิงหยางกล่าวถาม สํานึกเทวะตัวนหลิงเทียนก็ค้นพบจุดเคลื่อนย้ายอีก 2 จุดหนึ่งในนั้นยังคงปลิวว่อนอยู่บริเวณขอบพายุทรายลูกหนึ่ง
ส่วนอีกจุดนั้นอยู่ในตาพายุทรายพอดี
“พบแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
จากนั้นฟังชิงหยางก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงหอบหิ้วต้วนหลิงเทียนเข้าไปยังจุดเคลื่อนย้ายที่ปลิวอยู่บริเวณขอบพายุทรายที่ใกล้ที่สุดทันที
“ท่านอาจารย์จุดเคลื่อนย้ายนี่มันเกิดขึ้นได้ยังไงกันแน่ จะเป็นค่ายกลก็ไม่เชิง เพราะมันเหมีอนห้วงมิติเคลื่อนย้ายมากกว่า แถมราวกับมันจะเกิดขึ้นมาเอง”
ก่อนจะเข้าสูจุดเคลื่อนย้าย ต้วนหลิงเทียนก็อดถามเรื่องที่สงสัยยออกมาไม่ได้
“มันไม่ได้เกิดขึ้นเองหรอก เพียงแค่ในอาณาบริเวณแถบนี้มันเป็นมหาค่ายกลของมันเองและจุดเคลื่อนย้ายที่ว่าก็เป็นแค่ส่วนเล็กๆของมหาค่ายกลที่ว่า”
ฟงชิงหยางกล่าวอธิบายขณะพาตัวนหลิงเทียนเข้าสู่จุดเคลื่อนย้าย
หลังเข้าสู่จุดเคลื่อนย้ายแล้ว ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเพียงเบื้องหน้าสองตามืดลงวูบหนึ่งก่อนจะหวนคืนสู่ความสว่างอีกครั้ง และสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาเขาตอนนี้ก็คือโลกสีแดงฉานที่เต็มไปด้วย สัตว์อสูรร้ายกําลังต่อสู้กัน
“กรรรร!!”
“อูมมม!”
สัตว์อสูรดุร้ายที่กําลังสู้กันอยู่ ต่างคํารามขู่ข่มศัตรูไม่หยุด เสียงของมันยังแฝงไว้ด้วยพลังอันน่ากลัวนัก
ปง! ตูม! ตูม!
ทุกการโจมตีของสัตว์อสูรร้ายเหล่านี้ ความว่างเปล่าถึงกับสนั่นหวั่นไหว ทําให้ตัวนหลิงเทียนบอกได้ทันทีวว่าสัตว์อสูรร้ายที่กําลังเข่นฆ่ากันทั้งหลายนั่น ไม่ว่าตัวไหนก็มีพลังระดับจักรพรรดิอม ตะทั้งสิ้น เพียงแต่ดูเหมือนพวกมันจะไม่มีสติปัญญาสองตายังแดงฉานปานโลหิตคล้าคุ้มคลั่งและเข่นฆ่ากันตามสัญชาตญาณเท่านั้น
“สัตว์ประหลาดพวกนี้เกิดจากพลังปราณโลหิตที่เอ่อล้นออกมาจากนรกอสุราและคุณ ภาพของพลังวิญญาณฟ้าดินในนรกอสุราก็ไม่น่าจะแตกต่างจากพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทพมากนักแต่มันไม่บริสุทธิ์เหมือนพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทพ และเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งกระหายเลือดหากคิดจะมาบ่มเพาะพลังที่นั่น จําต้องขัดเกลามันให้สงบเสียก่อนถึงจะดูดซับได้ซึ่งนั่นก็ต้องใช้ความพยายามอยู่บ้าง”
“หากไม่ใช่เพราะสาเหตุดังกล่าว ร่างจริงของข้าคงทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพไปนานแล้ว”
ฟงชิงหยางกล่าว ขณะนําต้วนหลิงเทียนเข้าสู่นรกอสุรา
“กรรร!!”
ระหว่างเดินทางอยู่ๆก็อุบัติสัตว์อสูรตัวเขื่องหนึ่งโจนทะยานเข่นฆ่าเข้ามาอย่างดุร้าย เป็นสัตว์ประหลาดที่ตัวใหญ่ปานขุนเขาลักษณะคล้ายพยัคฆ์ 6-7 ส่วน เพียงแค่มันมีปีกกระดูกที่หลังและมีเขางอลุ้มอยู่บนหัว เป้าหมายการเข่นฆ่าของมันก็คือต้วนหลิงเทียน
ราวกับต้วนหลิงเทียนและฟงชิงหยางเป็นอันธพาลกลุ่มอื่นที่กําลังจะมายึดอาณาเขตของมันอย่างไรอย่างนั้น
ฟัฟฟ!
ฟงชิงหยางเมินเฉยต่อสัตว์ร้ายที่เข่นฆ่าเข้ามา เพราะรู้ดีว่าลูกศิษย์สามารถจัดการได้ และต้วนหลิงเทียนก็เพียงสะบัดมือต่างกระบี่ ชัดคลื่นพลังสะบั้นไร้สภาพขุมหนึ่งผ่าร่างของมันออกเป็น 2 เสียงได้อย่างง่ายดาย
“ข้างหน้าก็คือนรกอสุราแล้ว”
ไม่นานนักตัวนหลิงเทียนก็ถูกฟงชิงหยางพามาถึงประตูทางเข้านรกอสุราเป็นหมอกโลหิตหนาแน่นกลุ่มหนึ่งอันมีอัสนี้สีดําแล่นวาบแปลบปลาบปกคลุมอยู่
“หลังจากเข้าสู่นรกอสุราแล้ว บริเวณใกล้ๆทางเข้าออกยังไม่นับเป็นอะไรอาศัยจักรพรรดิอมตะสมญานามที่แข็งแกร่งใกล้เคียงกับครึ่งก้าวเทพก็สามารถเอาตัวรอดได้ไม่ยาก….ขอเพียงไม่เข้าไปลึกมากเกินไป ก็สามารถถอยกลับออกมาได้ทุกเมื่อ
“อย่างไรก็ตามหากถลําลึกเข้าไปล่ะก็ จะอยู่หรือตายก็ไม่อาจบอกได้”
“สถานการณ์เป็นตายที่ว่า ต่อให้เป็นเทพทั่วไปยังอนาถเรียกว่าถึงไม่ตายก็ต้องสาหัส..แต่เมื่อมีข้า พวกเราก็สามารถเข้าไปยังสถานที่ลี้ลับที่ข้าพบได้โดยไม่ต้องเสี่ยงตายอะไรมากมาย”
ในขณะที่ตัวนหลิงเทียนกําลังชักสีหน้าจริงจัง ฟังชิงหยางก็กล่าวปลอบออกมา
“ไปกันเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนถูกฟงชิงหยางหอบหิ้วเดินทางอีกครั้งพุ่งผ่านม่านหมอกโลหิตที่เต็มไปด้วยอัสนี้สีดําแปลบปลาบปกคลุม ล่วงล้ําเข้าสู่นรกอสุราอย่างเป็นทางการ
หลังจากเข้าสู่นรกอสุราแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ทันทีว่าพลังวิญญาณฟ้าดินมันต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง และมันก็คล้ายๆกับพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทพจริงๆ คุณภาพสูงกว่าพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทวโลกมาก
ยิ่งไปกว่านั้นต้วนหลิงเทียนยังมั่นใจอีกด้วย
ว่าพลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่ เหมือนกับพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทพ!
แต่ก็เป็นอย่างที่อาจารย์เขาฟงชิงหยางกล่าวไว้ พลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่มันไม่บริสุทธิ์ มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความบ้าคลั่งและกระหายเลือด และในขณะเดินทางไม่ว่าผ่านพ้นไปที่ใดเขาก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันน่าพรั่นพรึงที่สาดโถมเข้ามาจากทั่วสารทิศ
ไม่ว่าจะต้นไม้ใบหญ้าเล็กๆ หรือนกตัวกระจิดริดรวมถึงสัตว์ที่แลดูไม่มีพิษมีภัย ล้วนทําให้เขาบังเกิดสังหรณ์อันตรายราวกับพวกมันสามารถฆ่าเขาได้ในพริบตา!
ความรู้สึกดังกล่าวทําให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับหายใจไม่ออก
อย่างไรก็ตามด้วยมีฟงชิงหยางนําพา ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตที่จู่โจมเข่นฆ่าเข้ามามีมากแค่ไหนฟงชิงหยางก็พาเขาหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย ที่ขวางทางก็โดนฟงชิงหยางฆ่าทิ้งในพริบตา
เรียกว่าตลอดการเดินทางไม่คล้ายกําลังอยู่ในสถานที่อันตราย แต่เป็นการเดินเที่ยวชมสวนหลังบ้าน
“หลังจากจุดนี้ เจ้าอย่าได้แผ่สํานึกเทวะออกไปรอบๆเด็ดขาด”
ตอนนี้เองเสียงของฟงชิงหยางพลันดังขึ้น อีกทั้งน้ําเสียงยังดูจริงจังเป็นอย่างมาก
และตอนนี้ร่างของฟงชิงหยางก็หยุดลงคล้ายพินิจอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เริ่มพาต้วนหลิงเทียนเดินทางต่อ ทิศทางยังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างมีรูปแบบ จนในที่สุดก็มาปรากฏตัว ด้านนอกหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง
ภายในหุบเขาเต็มไปด้วยหมอกสีเลือดปกคลุม และหมอกสีเลือดดังกล่าวก็คล้ายมีชีวิตมันไหลเวียนม้วนวนอยู่ตลอดเวลา กลิ่นอายฆ่าฟันยังหนาแน่นทั้งน่าสะพรึงกลัวนัก