ตอนที่ 1953 : การเยี่ยมเยียนของเฮายู่

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1953 : การเยี่ยมเยียนของเฮายู่

เจี้ยนเฉินได้เอาวัตถุเซียนระดับสูงและระดับสูงสุดออกมาให้ทุกคนได้เลือก

เขาได้ซื้อมันมาจากเมืองหลวงของจักรวรรดิเสิ่นเตา มันมีทั้งประเภทป้องกันและโจมตี

“หินปีศาจชั้นฟ้าใช้ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน มันเพียงพอสำหรับข้าแล้ว” ฮุสตันเอ่ยขึ้นมา เขาเอาแค่ยาฟื้นฟูไปเท่านั้น

“ของพวกนี้ไม่ได้เหมาะสำหรับข้า” พยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์บอก

สุดท้ายก็มีแค่ รุยจิน, หงเหลียน และเฮยยู่ที่เอาวัตถุเซียนระดับสูงไปแทนที่วัตถุเซียนที่ตนเองมี

เพราะความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมา วัตถุเซียนที่พวกเขามีจึงไม่มีประโยชน์อีกต่อไปนอกจากการใช้ป้องกันการโจมตีทางวิญญาณเท่านั้น

“เจี้ยนเฉิน มีข่าวลือว่าผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดนั้นเอาตัวเจ้าไป แต่หย่าซีเหลียนกลับตกเป็นเชลยของเจ้าแทน มันเกิดอะไรขึ้นกัน ? ” ฮุสตันถามขึ้น

“มันเป็นนางฟ้าเฮายู่ที่ช่วยข้าไว้ นางฟื้นฟูพลังกลับไปยังขอบเขตตั้งต้นแล้ว” เจี้ยนเฉินบอกทุกอย่างที่เกิดขึ้น

ทุกคนต่างก็พากันอึ้งเมื่อได้ยินว่านางฟ้าเฮายู่อยู่ในขอบเขตตั้งต้นแล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันยากจะเชื่อได้

ย้อนกลับไปที่ทวีปเทียนหยวน นางฟ้าเฮายู่เป็นแค่เพียงวิญญาณ นางอ่อนแอในสายตาพวกเขา แต่ตอนนี้นางกลับอยู่ขอบเขตตั้งต้นในเวลาอันสั้นได้ ทุกคนต่างก็พบกว่าการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงเช่นนี้ยากที่จะเชื่อได้ ขอบเขตตั้งต้นคือระดับการบ่มเพาะที่พวกเขาได้แค่คาดหวัง !

“ข้าได้ซื้อของอย่างอื่นกลับมาจากการไปยังจักรวรรดิเสิ่นเตา พวกมันเพียงพอที่จะเพิ่มความแข็งแก่งของตระกูลเราไปอีกระดับ เมื่อพวกเจ้าฟื้นฟูตัวเองแล้วก็ไปยังตระกูลเทียนหยวนกับข้า ข้าต้องการปรับปรุงตระกูลระหว่างครึ่งเดือนนี้เพื่อที่เราจะได้รับมือได้โดยไม่ต้องกังวลที่แนวหน้า” เจี้ยนเฉินพูดขึ้น

เขาคิดย้อนกลับไปตอนที่มีคนฆ่าสมาชิกของตระกูลเทียนหยวนตอนที่พวกเขารวบรวมวัสดุเพื่อสร้างจุดเคลื่อนย้าย

ก่อนที่พวกเขาจะรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ก่อนที่พวกเขาจะกำจัดปัญหานี้ได้ อันตรายนี้ก็จะอยู่กับตระกูลเทียนหยวนต่อไป

ผลก็คือเจี้ยนเฉินมักจะกังวล เขากลัวว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับตระกูลตอนที่เขาไม่อยู่

อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียนนั้นไม่ได้สงบสุขตลอดเวลาที่หยุดรบนี้ ราชาศักดิ์สิทธิ์ได้สั่งการให้ทหารทุกคนในอาณาจักรเคลื่อนย้ายไปยังแนวหน้า ในเวลาเดียวกันเขาก็รับสมัครทหารมากมายในอาณาจักรด้วยเช่นกัน

ยิ่งกว่านั้นราชาศักดิ์สิทธิ์ก็ยังติดต่อกับนักสู้ขอบเขตตั้งต้นของจักรวรรดิจันทราสวรรค์ผ่านทางวิญญาณเพื่อขอให้ส่งกำลังเสริมมาเพิ่มเพราะอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจจะหยุดกองทัพของลัทธิปิศาจชั้นฟ้าได้ด้วยตัวเอง

ในเวลาเดียวกันราชาศักดิ์สิทธิ์จากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ใกล้เคียงก็ตอบกลับการขอกำลังเสริมนี้ พวกเขาได้ส่งทหารมายังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียนเพิ่ม

กำแพงที่แนวหน้าถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ราชาเทพหลายคนร่วมมือกันในการสร้างกำแพงที่ยาวและแข็งแกร่งด้วยวัตถุเซียนแบบป้องกัน

ลัทธิปิศาจชั้นฟ้าได้ทำการฟื้นฟูทหารของตัวเองเช่นกัน แม้ว่าพวกนั้นจะตายในสงครามแต่พวกเขาก็มีทหารมากถึง 9 กองทัพ

ด้านหลังเก้ากองทัพนี้ยังมีกองทัพสำรอง เมื่อกองทัพทั้งเก้าได้เสียทหารไป กองทัพสำรองก็จะส่งคนมาแทนที่ แต่เพราะบางเหตุผลเก้ากองทัพพวกนั้นยังคงรักษาคนไว้ไม่ให้เกินแสนคน มันไม่เคยเกินไปมากกว่านั้นเลย

ไม่กี่วันต่อมา รุยจิน และคนอื่น ๆ ก็ฟื้นฟูบาดแผลตัวเองกันเสร็จ เจี้ยนเฉินได้กลับไปยังแคว้นตงอันพร้อมกับพวกนั้น

บรรพชนของตระกูลที่แข็งแกร่งในแคว้นตงอันก็ไปด้วย พวกเขาได้กลับไปยังแคว้นตงอันพร้อมกันกับ เจี้ยนเฉิน

แต่นอกจากกลุ่มของเจี้ยนเฉินแล้ว มีแค่บรรพชน 2 คนที่มาจากตระกูลอื่น

เจี้ยนเฉินมองไปยังบรรพชนทั้งสองบนพาหนะบินและถอนหายใจกับตัวเอง เขาควบคุมเส้นทางของพาหนะตัวเองมุ่งหน้าตรงกลับไปยังแคว้นตงอัน

มีข่าวลือกว่าหัวหน้าตระกูลเทียนหยวนควรที่จะถูกผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดจับตัวไป แต่อยู่ ๆ ก็ได้กลับมา ข่าวนี้แพร่ไปทั่วทั้งแคว้นอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่พาหนะไปถึงเมืองหลัก ประตูเมืองก็เต็มไปด้วยผู้คน มีหลายคนได้มารวมตัวกันเพื่อต้อนรับพวกเขา

“ หัวหน้าตระกูลเทียนหยวนเป็นขั้นเหนือเทพที่ซึ่งก้าวเข้าไปยังป้านทำเนียบขั้นเหนือเทพได้ แม้แต่ด้วยมุมมองของโลกเซียน ขั้นเหนือเทพก็ถือว่ามีชื่อเสียง ข้าไม่คิดว่าข้าจะได้ยืนอยู่ใกล้ชิดกับขั้นเหนือเทพที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ได้ เขาคือคนในตำนาน”

“ว่ากันว่าขั้นเหนือเทพผู้นี้ฆ่าราชาเทพได้ ผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดผู้นี้โชคร้ายที่ต้องมาเจอกับขั้นเหนือเทพคนที่ว่า”

“ จริงรึ ? ข้าได้ยินมาว่าผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดโดนหัวหน้าตระกูลเทียนหยวนจับตัวไว้อย่างประมาท เพราะว่าเขายังเป็นแค่ขั้นเหนือเทพ แม้แต่การจับกุมตัวราชาเทพก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา”

มีคำชมมากมายในหมู่ผู้คนที่มาต้อนรับเขา หลายคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจเมื่อมีคนพูดถึงเจี้ยนเฉิน พาหนะของพวกเขาเข้าไปยังตระกูลเทียนหยวน ผู้อาวุโสทุกคนในตระกูลต่างก็มารออยู่สักพักแล้ว ตอนที่พวกเขาเห็นเจี้ยนเฉินและคนอื่น ๆ กลับมาอย่างปลอดภัย สีหน้าของพวกเขาก็แสดงความตื่นเต้นและยินดีออกมา

เจี้ยนเฉินได้กระโดดออกมาจากพาหนะ ตอนที่เขาจะพูดบางอย่างนั้น ตาเขาก็เป็นประกายและมองไปยังที่พักของตนเอง

“มีคนอยู่ด้านใน ! ” ใจของเจี้ยนเฉินเต้นรัว เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างขยับอยู่ในห้องของเขา แต่เขาบอกไม่ได้ว่ามันเป็นใครกันจากการรับรู้ทางวิญญาณของเขา

“ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้สูงกว่าข้า ข้าไม่อาจจะรับรู้ถึงพวกเขาได้เลย” ใจของเจี้ยนเฉินหล่นวูบ เขารู้สึกกังวลและรีบมุ่งหน้ากลับไปยังที่พักทันที

คนอื่น ๆ ที่กลับมาด้วยต่างก็รู้ได้ถึงท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของเจี้ยนเฉิน พวกเขามองหน้ากันและตามหลังเจี้ยนเฉินไป

เจี้ยนเฉินเปิดประตูและเข้าไปยังห้องพัก เขารู้อีกฝ่ายนั้นรับรู้ถึงเขาได้ การเคลื่อนไหวของเขาทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกนี้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่อาจจะหลบหลีกการรับรู้ของพวกนั้นได้

ผลก็คือเขาไม่ได้เตรียมการใด ๆ เขาแค่เดินเข้าไปโดยไม่ได้ซ่อนตัวแต่อย่างใด

“ข้าสงสัยว่าใครกันที่มาหาข้าที่ตระกูลเทียนหยวน จากท่าทีของ โม่หลิง, อันโดฟู และคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีท่าทีอะไรเป็นพิเศษ ชัดแล้วว่าพวกนั้นไม่รู้การมาถึงของแขกที่ไม่ได้รับเชิญนี้” เจี้ยนเฉินเริ่มกังวล

แต่หลังจากที่เขาเดินเข้ามา เขาก็เห็นผู้หญิงชุดขาวนั่งอยู่ที่โต๊ะกำลังกินผลไม้อยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ “ นางฟ้าเฮายู่ ! ” เจี้ยนเฉินร้องออกมาด้วยสีหน้าแปลกใจ

เฮายู่นั่งกินผลไม้อยู่ นางมองไปที่เจี้ยนเฉินและยิ้มออกมา” เจ้าต้องระวังตัวแม้ว่าจะอยู่ในตระกูลของตน ดูเหมือนว่าหัวหน้าตระกูลเทียนหยวนที่โด่งดังจะไม่ห่วงชีวิตเลย”

เจี้ยนเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาไม่ได้สนใจคำพูดถากถางของนางและพูดขึ้นว่า “นางฟ้าเฮายู่ เจ้ากลับมาอยู่ในภาคใต้ได้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะจัดการกับเรื่องของจักรวรรดิเสิ่นเตาเสร็จสิ้นแล้ว “

เฮายู่ลุกขึ้นยืนและโบกมือทำให้ประตูปิดลง นางปิดไม่ให้คนอื่น ๆ ตามเจี้ยนเฉินเข้ามา นางได้อธิบายด้วยท่าทีเฉยเมย “เรื่องนี้มันเป็นเรื่องยากที่จักรวรรดิเสิ่นเตาจะแก้ไขได้ แต่มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับข้า ข้ามาที่นี่เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของเจ้าและมาบอกลาเจ้า” นางได้พูดต่อ “ก่อนที่ข้าจะไป มีอะไรที่เจ้าจัดการไม่ได้หรือไม่ ? แค่บอกข้ามา อย่างสำนักจิตวิญญาณปฐพีรึอะไรพวกนั้น”