เย่เฉินเห็นว่าต่งรั่งหลินเชื่อคำพูดของตนเองแล้ว ก็เลยเอ่ยปากว่า “รั่งหลิน นี่ก็สายมากแล้ว พวกผมก็ไปก่อนล่ะ พรุ่งนี้พวกเราเจอกันที่สนามบินก็แล้วกัน”

ต่งรั่งหลินพยักหน้าเบาๆ คิดอะไรขึ้นมาได้ รีบเอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้ว เมื่อครู่นี้คุณช่วยชีวิตฉันไว้อีกครั้งหนึ่งแล้ว!”

เย่เฉินหัวเราะพร้อมกับเอ่ย “ที่ช่วยไม่ใช่คุณ คือสาวน้อยคนนั้น ชนขึ้นมาจริงๆ คุณคงจะไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร แต่สาวน้อยคนนั้นอาจจะค่อนข้างอันตรายแล้ว”

ต่งรั่งหลินจงใจเบ้ปาก เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดื้อรั้นมาก “นั่นก็ต้องขอบคุณคุณ!”

เย่เฉินยิ้มขึ้นอย่างจนปัญญา “พอได้แล้ว พวกเราต้องไปก่อน ก็ไม่เกรงใจกับคุณอยู่ที่นี่แล้ว เรื่องนี้คุณจำไว้ อย่าเพิ่งบอกกับชูหรันก่อน”

ต่งรั่งหลินพยักหน้า “ค่ะ ฉันรู้แล้ว จะปิดปากให้สนิทอย่างแน่นอน สายมากแล้ว พวกเราสองคนก็ต้องไปแล้วเช่นเดียวกัน”

ต่งรั่งหลินและน้องสาวจอดรถไว้ที่ลานจอดรถบริเวณใกล้ๆ เย่เฉินกับกู้ชิวอี๋เมื่อครู่นี้ก็นำรถจอดไว้ที่เรือนสี่ประสานของตระกูลกู้ ดังนั้นทุกคนไม่ใช่ทางเดียวกัน ก็เลยบอกลาที่ริมลานน้ำแข็ง

หลังจากแยกกัน เย่เฉินในที่สุดก็โล่งอก ดูเหมือน เรื่องนี้ในวันนี้ถือว่าผ่านด่านไปได้แบบหวุดหวิด

หลังจากที่เย่เฉินและกู้ชิวอี๋หมุนตัวเดินออกมาหลายสิบเมตร กู้ชิวอี๋ถึงได้เอ่ยถามเขาเบาๆว่า “พี่เย่เฉิน ทำไมพี่ถึงต้องปิดบังสถานะของตัวเองอยู่ตลอดเวลาด้วยล่ะคะ? หากพี่เปิดเผยสถานะของตัวเอง คนเหล่านั้นที่จินหลิงจะกล้ารังแกพี่ได้ยังไงกัน!”

เย่เฉินยิ้มเล็กน้อย “ในตอนแรกพี่ตามพ่อแม่ออกจากตระกูลเย่ ย้ายถิ่นฐานมาที่จินหลิง พูดให้ชัดเจน ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเด็กกำพร้าธรรมดาทั่วไป ต่อให้เปิดเผยสถานะของตนเองแล้วจะยังไงได้? คนอื่นๆก็ไม่แน่ว่าจะเชื่อ”

กู้ชิวอี๋ถามอีก “งั้นพี่หลังจากที่ลุงเย่กับป้าเย่เสียชีวิต ก็สามารถติดต่อกับคนตระกูลเย่ ให้พวกเขารับพี่กลับไปก็ได้แท้ๆนี่คะ”

เย่เฉินส่ายศีรษะ เอ่ยอย่างสงบเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านว่า “สถานการณ์ตระกูลเย่ซับซ้อน ห่างไกลจากที่พี่ในตอนนั้นจะสามารถควบคุมได้ ยิ่งกว่านั้น พ่อแม่พี่ก็ไม่อยากก้มหัวให้ตระกูลเย่ ถึงได้มาไกลถึงจินหลิง ในปีนั้นแม้ว่าพี่จะอายุน้อย แต่ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายคือเลือดของพวกท่าน จะไปก้มหัวให้ตระกูลเย่ก่อนหลังจากที่พวกท่านเสียชีวิต ย้อนกลับไปเพลิดเพลินกับเงินทองและอำนาจของตระกูลเย่ได้ยังไงกัน?

รอบดวงตาของกู้ชิวอี๋แดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอกอดแขนของเย่เฉินเอาไว้แน่น เอ่ยด้วยเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ฉันก็แค่ปวดใจที่หลายปีมานี้พี่ได้รับความลำบาก ได้รับความไม่เป็นธรรมมากมายขนาดนี้ ปวดใจที่หลายปีนั้นใครก็ตามต่างก็สามารถดูถูกพี่ ต่างก็สามารถรังแกพี่…”

เย่เฉินตบหลังฝ่ามือของเธอเบาๆ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “คนก็เป็นแบบนี้ ต้องทนต่อการเปลี่ยนแปลงขึ้นๆลงๆได้ ทั้งชีวิตถูกคนยกย่องชมเชยอยู่ตลอด บางทีทั้งชีวิตก็ยังไม่รู้จักความโหดร้าย ความทุกข์ทรมานภายในโลก แบบนี้อนาคตมีความเป็นไปได้มากว่าจะเสียเปรียบหนัก ไม่เหมือนพี่ เริ่มตั้งแต่แปดขวบ ก็มองเห็นชีวิตในโลกอย่างทะลุปรุโปร่ง ประสบการณ์เหล่านี้สำหรับชีวิตต่อไปในภายหลังของพี่แล้ว คือสมบัติที่ล้ำค่า”

กู้ชิวอี๋พยักหน้าเบาๆ น้ำตาเม็ดโตไหลลงมาตามมุมหางตา

เธอสงสารชีวิตสิบกว่าปีที่ผ่านมาของเย่เฉินจริงๆ ถึงแม้เย่เฉินพูดอย่างผ่านๆหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญเช่นนี้ แต่ทุกครั้งที่ส่วนลึกภายในจิตใจของเธอคิดถึงขึ้นมา ล้วนรู้สึกจุกอยู่ที่คอ

เขาเป็นถึงคุณชายแห่งตระกูลเย่ กลับพเนจรอยู่ที่จินหลิงอิ่มเอมกับความทุกข์ยากระดับล่างสุดของสังคม กู้ชิวอี๋ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า หลายปีมานี้เขาผ่านพ้นมาได้ยังไงกันแน่

แม้จะบอกว่าอายุของเธอน้อยกว่าเย่เฉิน แต่ทุกครั้งที่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ เธอต่างหวังว่าจะสามารถรั้งเย่เฉินให้อยู่ที่เย่นจิงไปได้ตลอด ตนเองไม่ทำอะไร ทุกวันอยู่ที่ข้างกายของเขาคิดหาทุกวิถีทางทำดีกับเขา ชดเชยความทุกข์ที่เขาได้รับตลอดหลายปีมานี้

ในเวลานี้ เย่เฉินยังคงทอดถอนหายใจออกมาอย่างกะทันหัน “พรุ่งนี้ก็ไปแล้ว วันนี้เจอถังซื่อไห่สักหน่อยก็แล้วกัน!”

กู้ชิวอี๋เอ่ยถามขึ้นด้วยความตกใจ “พี่เย่เฉิน พี่จะไปพบลุงถัง?”

เย่เฉินพยักหน้า เอ่ยว่า “เรื่องพ่อแม่พี่ในปีนั้น พี่ยังต้องไปถามเขาให้ชัดเจนต่อหน้า”

กู้ชิวอี๋พูดโพล่งออกมา “งั้นฉันไปด้วยกันกับพี่!”