ตอนที่ 1889 อันดับหนึ่งเมืองหลิงเฟิง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

วู้ม…

ต้นแบบเขตแดนมรรคที่ประหนึ่งแดนแรกกำเนิดกำลังควบรวมอยู่เบื้องหน้าหลินสวิน บ้างกลายเป็นหุบเหวใหญ่ที่ลึกไร้ก้น บ้างกลายเป็นเตาหลอมจิตที่คงกระพันไม่เสื่อมสูญ…

กฎเกณฑ์มหามรรคไร้ที่เปรียบดุจดั่งสายโซ่เทพก็ไม่ปาน ไหวเคลื่อนพริบวาบอยู่ภายใน

ดับดารากลืนกิน เจินหลง น้ำไฟ ไร้มรณะ ยอดเอกอุ… ปรากฏลักษณ์ประหลาดต่างๆ นานาที่งดงามไร้ระเบียบ ความยิ่งใหญ่ของกลิ่นอายที่แผ่ออกมาถึงขั้นสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งรุ่นเดียวกันสิ้นหวัง!

ภายในห้อ ถูกหลินสวินวางกระบวนผนึกไว้ตั้งแต่ต้น ฉะนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกรบกวน และไม่อาจถูกสังเกตเห็นจากภายนอกด้วย

ยามนี้เมื่อหลินสวินโคจรพลังปราณ เขตแดนมรรคที่ดุจดั่งแดนแรกกำเนิดแถบหนึ่งเริ่มบังเกิดเสียงอึงอล

ก็เหมือนการหลอมโครงอาวุธอย่างหนึ่ง กำลังผ่านการหลอมและขึ้นรูป!

การหยั่งรู้ทั้งปวงภายในใจหลินสวิน ก็กำลังผสานเข้าสู่เขตแดนมรรคทีละอย่างระหว่างการหลอมนี้

ก็เห็นว่า…

เขตแดนมรรคของเขากลายเป็นเมืองเซียนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางเวิ้งฟ้าฉับพลัน ชโลมด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์ หอกำแพงสูงตระง่าน เรืองรองไม่เสื่อมสลาย

จากนั้นไม่นานก็กลายเป็นเงากระบี่มากมาย ทับซ้อนหนาแน่น แน่นขนัดราวกับไร้สิ้นสุด

จากนั้นที่ตามมาติดๆ คือกลายเป็นโลกบงกชสามสิบหกชั้น กลีบบัวแต่ละกลีบล้วนปรากฏสภาพประหนึ่งแดนพิสุทธิ์อริยเทพ…

สภาพแต่ละแบบถึงกับเป็น ‘เขตแดนกระบี่เมืองจักรพรรดิขาว’ ‘เงากระบี่มหาสหัส’ ‘โลกบงกชสามสิบหกชั้น’!

และต่อมา เขตแดนมรรคของหลินสวินก็ปรากฏรูปร่างต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่นม่านกระบี่ธุลีเพลิง ทางนรกไร้หวนเป็นต้น

สุดท้ายลักษณ์ประหลาดแต่ละแบบที่ปรากฏมานี้ ล้วนคืนสู่สภาพแรกกำเนิดอีกครั้ง

และก็ในเวลานี้เอง ต้นแบบเขตแดนมรรคที่ประหนึ่งแดนแรกกำเนิดพลันจมสู่ความเงียบสุดขั้วอย่างหนึ่ง ลอยอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง

‘โอม!’

และภายในใจหลินสวิน การหยั่งรู้ทั้งปวงราวกับระเบิดปะทุอย่างสิ้นเชิง แทบจะอยู่เหนือการควบคุมของสัญชาตญาณ เสียงสายหนึ่งดังก้องขึ้นในใจของเขา

ตูม!

ต้นแบบเขตแดนมรรคที่จมสู่ความเงียบงันยิ่งยวดเริ่มบังเกิดการเปลี่ยนแปลงน่าทึ่ง กลายเป็นหุบเหวใหญ่ลึกล้ำรางๆ

มีความยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต ลึกไร้สิ้นสุด คล้ายสามารถกลืนกินเวิ้งฟ้าหมื่นกาล!

แต่เมื่อพินิจดูดีๆ หุบเหวใหญ่นี้กลับปรากฏรูปร่างเตาหลอมออกมา คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายเคร่งขรึมที่ไม่เสื่อมสลาย ประหนึ่งชั่วนิรันดร์

คล้ายเตาหลอมแต่ก็ไม่ใช่ เหมือนหุบเหวแต่ก็ไม่เชิง!

เสมือนว่าทุกอย่างล้วนคืนสู่จุดเริ่มต้น แต่ความรู้สึกที่มอบให้แก่ผู้คนกลับเป็นกลิ่นอายที่สมบูรณ์ คล้ายเป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์!

เมื่อความคิดหลินสวินโลดแล่น ในเขตแดนมรรคมหามรรคทั้งปวงผุดเผย สำแดงวิชามรรคไร้ขอบเขตออกมา มีเจินหลงแหงนหน้าคำราม มีน้ำไฟไหลหลั่งกลางจักรวาล มีลักษณ์หยินหยางใสขุ่นโปรยทั่วฟ้าดิน มีไร้มรณะไร้ดับสลาย ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่คงอยู่ไม่เสื่อคลายแผ่ซ่านออกมา…

กลิ่นอายน่าสะพรึงที่สามารถทำให้เทพผีหวาดผวาก็แผ่ออกมาด้วยเช่นกัน

ตูม!

พลังผนึกที่ปิดครอบรอบห้องล้วนถูกโจมตี เกิดการสั่นไหวรุนแรง คล้ายรับการกดดันของกลิ่นอายน่าสะพรึงนั่นไม่ไหว

และบนใบหน้าหลินสวินก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา

เขตแดนมรรคที่ตอนแรกเป็นสภาพต้นแบบ ยามนี้ได้ก็สำเร็จออกมาช่วงใหญ่แล้ว!

ความแข็งแกร่งในอานุภาพของมัน คุณลักษณะของมัน คนละเรื่องกับที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง

ฮูม…

พอความคิดของหลินสวินขยับไหว เขตแดนมรรคพลันอันตรธานหายไปทันที

‘น่าเสียดาย สุดท้ายยังขาดอีกก้าวหนึ่งถึงจะเสร็จสมบูรณ์…’

หลินสวินครุ่นคิด ‘แต่ก็เพียงพอแล้ว ตอนนั้นที่ฆ่ากึ่งจักรพรรดิชวีเหรา เขตแดนมรรคในสภาพต้นแบบก็สามารถระเบิดอานุภาพระดับนั้นออกมาได้ ยามนี้ควบรวมเขตแดนมรรคสำเร็จช่วงใหญ่ ก็น่าจะสามารถทำให้ไม่ต้องเกรงกลัวการแข่งขันของคนรุ่นเดียวกันแล้ว’

เขตแดนมรรคขั้นสมบูรณ์สูงสุด จนบัดนี้หลินสวินยังไม่เคยพบ และไม่รู้ชัดว่าบนโลกใบนี้ยังมีเขตแดนมรรคซึ่งคล้ายกับที่ตนเสาะแสวงหาหรือไม่

แต่ภายในใจหลินสวินมีลางสังหรณ์ว่า เมื่องานชุมนุมถกมรรคที่หกเรือนมรรคใหญ่จัดขึ้นเปิดม่าน บางทีอาจมีพวกโดดเด่นยิ่งยวดที่ครอบครองเขตแดนมรรคระดับนี้ก็เป็นได้

อย่างไรเสียรากฐานพลังของขุมอำนาจระดับหกเรือนมรรคใหญ่ จะให้ผู้คนประเมินค่าสูงเช่นนี้ก็ไม่เกินจริง

……

ขณะที่หลินสวินฝึกปราณเพียงลำพัง ภายในเมืองหลิงเฟิงก็เข้าสู่ยามราตรี

การคัดเลือกถกมรรคในวันแรกสิ้นสุดลงแล้ว

ในหมู่ผู้เข้าร่วมการต่อสู้นับพัน มีเพียงสามสิบสองคนเท่านั้นที่คว้าชัยชนะสิบครั้งรวด มีคุณสมบัติเข้าร่วมการคัดเลือกรอบที่สองอย่างราบรื่น

ด้วยเหตุนี้แค่คิดก็รู้ว่าการแข่งขันนั้นดุเดือดและโหดร้ายปานใด!

ผู้แพ้ นอกจากได้รับเสียงทอดถอนใจเสียดายนิดหน่อยแล้วก็ไม่มีใครถามไถ่ถึงอีก

ผู้ชนะ ก็กลายเป็นพวกสะดุดตาที่ได้รับการจับตามองที่สุดของเมืองหลิงเฟิงในค่ำคืนนี้

หลินสวิน ฉู่ชิว จั๋วเฟิ่งอิ่ง กู่เจี้ยนสิง เกาหลิงเทียน… แต่ละชื่อเรียกเสียงฮือฮาไม่รู้เท่าไหร่ในเมืองหลิงเฟิงแห่งนี้

หนึ่งในนั้น ชื่อที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดย่อมเป็น ‘จินตู๋อี’ ที่หลินสวินสวมรอยอยู่!

“คนเดียวชนะเก้าสิบเก้าครั้งรวด สู้จนถึงตอนท้ายก็ไม่มีใครกล้าท้าสู้แล้ว! นี่เป็นบารมีที่ไร้ศัตรูอย่างแท้จริง!”

“ฉู่ชิวแข็งแกร่งปานใด กู่เจี้ยนสิงสะดุดตาแค่ไหน แต่ผ่านการต่อสู้ในวันนี้ ก็ได้แต่อับแสงลงเบื้องหน้าจินตู๋อีนั่นเท่านั้น ผลลัพธ์นี้ใครเลยจะคาดคิด”

“ควรบรรยายถึงจินตู๋อีผู้นี้อย่างไรน่ะหรือ คำเดียว มั่นคง! ไม่อาจสั่นคลอน ไร้ศัตรูทัดเทียม มั่นคงจนน่ากลัว!”

“แม่งเอ๊ย รู้แต่แรกก็คงให้ความสำคัญกับจินตู๋อีผู้นี้ไปแล้ว!”

เสียงฮือฮาวิพากษ์วิจารณ์คล้ายๆ แบบนี้พบเห็นได้ทุกแห่งหนในเมืองหลิงเฟิงนี้ ทุกครั้งที่เอ่ยถึงผู้แข็งแกร่งในการคัดเลือกถกมรรควันนี้ ย่อมหนีไม่พ้นชื่อ ‘จินตู๋อี’ นี้อย่างแน่นอน

สรุปแล้วค่ำคืนนี้ จินตู๋อีเลื่องชื่ออย่างที่สุด ไม่เอ่ยถึงก็แล้วไป พอเอ่ยถึงก็ชวนตกใจ ประหนึ่งอาทิตย์ดวงใหญ่ที่เจิดจรัส ส่องแสงเหนือเมืองหลิงเฟิงอยู่เพียงลำพัง

เมื่อเทียบกันเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมการคัดเลือกถกมรรคในครั้งนี้ล้วนพากันหม่นแสงไร้รัศมี!

……

เวลาเคลื่อนคล้อย วันที่สองมาเยือน การคัดเลือกถกมรรคดำเนินบนลานแสดงมรรคต่อไป

เพียงแต่เมื่อเทียบกับวันแรก การต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนสังเวียนสิบแปดแห่งในวันที่สอง เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรน่าให้กล่าวถึง

อันที่จริงนี่ก็ปกติ บุคคลสะดุดตาที่ได้รับการจับจ้องมากที่สุดเหล่านั้น ล้วนผ่านการทดสอบอย่างราบรื่นในวันแรกเกือบทั้งหมด ทำเอาการคัดเลือกถกมรรคในวันต่อมาไม่เหลือสีสันอย่างเห็นได้ชัด

อีกอย่าง ม้ามืดเช่นหลินสวินแม้จะมีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่หลังจากคว้าชัยสิบครารวดก็เลือกหยุดต่อสู้

อย่าว่าแต่ทำลายสถิติการต่อสู้ของหลินสวินเลย ต่อให้เทียบกับพวกฉู่ชิว จั๋วเฟิ่งอิ่งก็เห็นได้ชัดว่าด้อยกว่ากันไม่น้อย

เมื่อวันที่สองปิดม่าน รวมทั้งสิ้นมียี่สิบสามคนที่คว้าชัยสิบครั้งติด มีคุณสมบัติเข้าร่วมการคัดเลือกรอบที่สอง

และค่ำคืนนี้ ชื่อที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดยังคงเป็น ‘จินตู๋อี’

ต่อให้วันนี้เขาไม่ได้ปรากฏตัวบนลานแสดงมรรคหลิงเฟิงเลย แต่ยามนี้เขาก็เหมือนบุคคลต้นแบบโดยปริยาย ไม่ว่าจะพูดถึงผู้แข็งแกร่งคนไหน ล้วนจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับเขา

และด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้คนยิ่งตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่า พลังของการ ‘ชนะเก้าสิบเก้าครั้งรวด’ ของหลินสวินนั้นหนักหน่วงปานใด

วันที่สาม การคัดเลือกถกมรรคเปิดม่านต่อ

และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการคัดเลือกรอบแรก ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดที่เข้าร่วมการถกมรรค ไม่ว่าจะเข้าร่วมการต่อสู้หรือไม่ พ่ายแพ้หรือไม่ ล้วนงัดพลังและฝีมือออกมากันเต็มที่

ทำเอาการคัดเลือกถกมรรคในวันนี้กลับมีสีสันขึ้นมาไม่น้อย และดุเดือดขึ้นมากโข

สุดท้ายมีสิบเจ็ดคนผ่านการชนะสิบรอบติด เมื่อรวมกับจำนวนคนที่ผ่านการทดสอบในสองวันก่อน จึงมีทั้งสิ้นเจ็ดสิบสองคนที่มีคุณสมบัติเข้าสู่การคัดเลือกถกมรรครอบที่สอง

เจ็ดสิบสองคนดูเหมือนไม่น้อย แต่ควรรู้ว่าเป็นการคัดเลือกจากผู้เข้าร่วมมากกว่าพันคน เท่ากับคัดผู้เข้าร่วมการแข่งขันออกไปราวๆ เก้าส่วน!

และในวันสุดท้ายนี้ ภายในลานแสดงมรรคเมืองหลิงเฟิง พวกระดับกึ่งจักรพรรดิเจ็ดคนอย่างเถาซงถิง อวี๋ฮูหยิน ร่วมกันประกาศรายชื่ออันดับหนึ่งของการคัดเลือกถกมรรครอบแรกในเมืองหลิงเฟิง…

จินตู๋อี!

อันดับหนึ่งก็คือที่หนึ่ง ครองชัยเพียงหนึ่งเดียว บารมีโดดเด่น เป็นหนึ่งไม่มีสอง

เพียงแต่ว่า อันดับหนึ่งนี้สุดท้ายก็เป็นแค่อันดับหนึ่งของเมืองหลิงเฟิง

จากที่หลินสวินรู้มา ภายในแคว้นเมฆามีอันดับหนึ่งเช่นนี้สิบคน!

อีกอย่าง อันดับหนึ่งนี้ก็แค่คนหนึ่งในการคัดเลือกรอบแรกของศึกถกมรรคแคว้นเมฆาเท่านั้น

ฉะนั้นหลินสวินไม่ถึงขั้นตื่นเต้นมากมายนัก

ยามเข้าร่วมการคัดเลือกถกมรรค เขาก็ไม่ได้สนใจแพ้ชนะสักนิด สามารถไขว่คว้าอันดับหนึ่งมาได้ นอกจากจะอยู่ในความคาดหมายแล้วก็อยู่ในเหตุในผลเช่นเดียวกัน

แต่หลินสวินไม่ตื่นเต้น ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆ จะไม่ตื่นเต้น

ยามประกาศเรื่องนี้ ในลานแสดงมรรคอันกว้างใหญ่ล้วนเต็มไปด้วยเสียงฮือฮา เสียงอุทาน ทอดถอนใจ เลื่อมใส ดังกระหึ่มราวกับฟ้าคำราม…

หลากหลายมากมาย

แม้แต่พวกเถาซงถิงก็ยังถอนใจไม่หยุด

ก่อนหน้านี้ใครเลยจะคาดคิด ว่าอันดับหนึ่งของการคัดเลือกถกมรรคเมืองหลิงเฟิงนี้ ถึงกับมีม้ามืดทะลวงออกมา

ชนะเก้าสิบเก้าครั้งรวด!

ผลงานการต่อสู้เช่นนี้ เรียกได้ว่าองอาจสะท้านโลกหล้า!

และในวันนี้เอง ข่าวเกี่ยวกับ ‘จินตู๋อี’ ซึ่งหลินสวินสวมรอยอยู่กลายเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลิงเฟิงก็ประหนึ่งลมมรสุม หอบม้วนกลางเมือง แพร่กระจายไปทั่วสี่ทิศแปดทาง…

ในเวลาต่อมา ชื่อ ‘จินตู๋อี’ นี้ก็แพร่เข้าสู่เมืองมากมายในแคว้นเมฆา เป็นที่รู้จักของผู้ฝึกปราณมากขึ้นทุกที

ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวินแต่อย่างใด

เขาในยามนี้ตามพวกเถาซงถิงออกจากเมืองหลิงเฟิงไป พร้อมกับคนอีกเจ็ดสิบเอ็ดคนอย่างพวกฉู่ชิว กู่เจี้ยนสิง จั๋วเฟิ่งอิ่ง

การคัดเลือกถกมรรครอบที่สองจะเปิดม่านในอีกครึ่งเดือนให้หลัง

สถานที่คือเขาเทพว่างเปล่าอันเป็นที่ตั้งของสำนักยุทธ์ว่างเปล่า สำนักอันดับหนึ่งในแคว้นเมฆา

ถึงตอนนั้นผู้แข็งแกร่งที่ผ่านการคัดเลือกจากสิบพื้นที่ของแคว้นเมฆาจะมารวมตัวกัน เริ่มเปิดฉากศึกถกมรรครอบที่สองพร้อมกับผู้สืบทอดของเจ็ดสำนักใหญ่!

“สหายน้อย ขอเพียงเจ้าเต็มใจ ข้ารับรองว่าหลังจากเจ้าเข้าลัทธิเทพดาราเมฆ ก็จะเป็นผู้สืบทอดแกนหลักคนหนึ่งทันที หนำซ้ำยังมีแดนมงคลฝึกปราณเป็นของตัวเอง ทุกๆ ปีจะได้รับแปดล้านผลึกมรรค รวมถึงทรัพยากรฝึกปราณนานาชนิด”

“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้ามีเรื่องร้องขอใดๆ ไม่ว่าข้าจะตอบรับเองได้หรือไม่ ล้วนจะพยายามช่วยเจ้าอย่างเต็มที่!”

ระหว่างทางมุ่งหน้าสู่เขาเทพว่างเปล่า อวี๋ฮูหยินมาหาหลินสวิน ใช้สารพัดวิธี ทั้งความรู้สึกทั้งผลประโยชน์มาดึงตัว หมายให้หลินสวินเข้าสู่ลัทธิเทพดาราเมฆ

ท่าทีเช่นนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าจริงใจและกุลีกุจอปานใด พวกฉู่ชิว จั๋วเฟิ่งอิ่ง กู่เจี้ยนสิงที่ร่วมขบวนมาด้วยกันเห็นแล้วในใจยังอดรู้สึกอิจฉาริษยาไม่ได้

นี่ก็คือสิ่งที่อันดับหนึ่งจะได้รับสินะ!

ทำให้ผู้คนอิจฉา และทำให้คนจนปัญญาด้วยเช่นกัน

แต่สุดท้ายหลินสวินยังคงปฏิเสธ เขาย่อมรู้ว่าอวี๋ฮูหยินชื่นชมเขาจากใจจริง เพียงแต่สถานะของเขาถูกกำหนดตั้งแต่ต้น ไม่สามารถกราบเข้าสำนักอื่นได้อีก

สำหรับเรื่องนี้อวี๋ฮูหยินผิดหวังยิ่ง แต่ยังคงฝืนทำเข้มแข็ง กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะต้องแย่งชิงต่อไปอย่างแน่นอน!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้หลินสวินก็อดยิ้มขื่นไปพักหนึ่งไม่ได้ บางครั้งถูกคนให้ความสำคัญเกินไป ดูเหมือนจะเป็นเรื่องน่ากลัดกลุ้มอย่างหนึ่งอยู่เหมือนกัน…