คนที่พูดคือเฮ่อเหลียนฉี

เขาสวมชุดนักพรตเขียวเข้ม บนอาภรณ์ปักลวดลายนกกระเรียนล้อเมฆ ทุกท่วงท่าแสงมรรคไหลเวียน กลายเป็นบ่อโบราณลึกล้ำฉายอยู่เบื้องหลังของเขา

เฮ่อเหลียนฉีเป็นอันดับหนึ่งของเมืองสมุทรคราม ครอบครองเขตแดนมรรค ‘บ่อโบราณสะท้อนจันทร์’ เลื่องลือว่ามหามรรคทั้งกายผสานสิ้นในหนึ่งบ่อ ถูกขังไว้ภายในนั้น เหมือนโคลนที่ติดอยู่ในก้นบ่อ เป็นตายไม่อาจกำหนด

พอเฮ่อเหลียนฉีเอ่ยปาก ผู้คนรอบด้านล้วนเงียบกริบโดยฉับพลัน บรรยากาศคึกคักของโถงใหญ่ก็พลอยเงียบลงไปด้วย

ผู้แข็งแกร่งที่กำลังชนจอกกับหลินสวิน ต่างก็ตระหนักถึงความไม่เข้าที ถอยหลังเก้ๆ กังๆ คนไม่น้อยล้วนฉายแววเคารพเกรงกลัว

‘พี่จิน เฮ่อเหลียนฉีคนนี้เป็นทายาทเผ่าดึกดำบรรพ์อย่าง ‘เผ่าสยบมายา’ ฝึกฝนไอมรรคสยบมายา ปราณทั้งร่างกร้าวแกร่งยิ่งยวด เทียบกับซูมู่หานก็ไม่ด้อยกว่ากันเท่าไหร่’

เกาหลิงเทียนรีบสื่อจิตอย่างรวดเร็ว

เผ่าสยบมายา แม้อิทธิพลเทียบเจ็ดสำนักใหญ่แคว้นเมฆาไม่ได้ แต่รากฐานพลังกลับเก่าแก่โบราณหาใดเปรียบ เป็นหนึ่งในเผ่าโบราณสายตรงในหมู่ผู้ฝึกปราณสายมารทั่วหล้า

เฮ่อเหลียนฉีเป็นบุคคลแห่งยุคของเผ่านี้ ยามนี้ยังเป็นหนึ่งในสิบอันดับหนึ่งอีกด้วย ผู้แข็งแกร่งมากมายในที่นี้ล้วนเจือความยำเกรงต่อเขา

“มีอะไรหรือ”

หลินสวินวางจอกสุราลง เอ่ยปากราบเรียบ

เฮ่อเหลียนฉีชี้ไปทางหญิงชุดดำข้างๆ คนนั้น กล่าวว่า “นางคือน้องสาวข้าเฮ่อเหลียนหรง ตอนเข้าร่วมการประลองถกมรรครอบแรกกลับถูกเจ้าโจมตีจนเจ็บหนัก หากเท่านี้ก็แล้วไป แต่เจ้าลงมือเหี้ยมเกินไป ทำเอารากฐานมหามรรคของน้องสาวข้าพลอยเสียหายหนักไปด้วย ไม่รู้สึกว่าเกินไปหน่อยหรือ”

นัยน์ตาเขาเย็นเยียบ บ่อมรรคด้านหลังไหลเวียน ประหนึ่งวิญญาณที่หมายจะกลืนกินผู้คน

ทั้งที่นั้นฮือฮาไปพักหนึ่ง สายตาวาววับ ใครๆ ต่างก็มองออก เฮ่อเหลียนฉีหมายจะคิดบัญชีกับจินตู๋อี!

“เหตุใดเจ้าไม่บอกทุกคน ว่าน้องสาวเจ้าใช้เข็มวิญญาณพิฆาตจิตลอบโจมตีข้าคนแซ่จิน ถึงได้ถูกข้าโจมตีกลับจนบาดเจ็บ”

หลินสวินสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม

เข็มวิญญาณพิฆาตจิต!

คนไม่น้อยสีหน้าผิดแปลกไป สมบัติที่ชั่วร้ายหาใดเปรียบนี้ ก็มีแต่โลกมืดเท่านั้นถึงสามารถหลอมออกมาได้

“การคัดเลือกถกมรรคไม่มีกฎห้ามใช้สมบัติ!”

เฮ่อเหลียนฉีแค่นเสียงเย็น สีหน้ายิ่งเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ

หลินสวินกล่าวสบายๆ “การคัดเลือกถกมรรคก็ไม่มีกฎห้ามทำร้ายรากฐานมหามรรคของคู่ต่อสู้เหมือนกัน แค่เพราะน้องสาวเจ้าได้รับบาดเจ็บ เลยจะมาหาความกับข้าคนแซ่จินหรือ”

สีหน้าเฮ่อเหลียนฉีแข็งทื่อ กลางนัยน์ตาไอสังหารพวยพุ่ง

สาเหตุที่เขาลุกออกมา หนึ่งเพราะอยากแก้แค้นแทนน้องสาว อีกหนึ่งก็เพราะอยากหยั่งเชิงหลินสวินดูเสียหน่อย

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าท่าทีของหลินสวินจะถึงกับแข็งกร้าวเช่นนี้!

ฉู่ชิวที่อยู่ด้านข้างเห็นหลินสวินขัดแย้งกับเฮ่อเหลียนฉีก็ขมวดคิ้วลุกขึ้นทันที กล่าวว่า “เฮ่อเหลียนฉี งานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ได้จัดขึ้นเพื่อให้เจ้ามาแก้แค้นส่วนตัว”

“ฉู่ชิว เจ้ายืนอยู่ข้างๆ อย่างว่าง่ายซะ ขนาดอันดับหนึ่งยังถูกคนอื่นแย่งไป มีคุณสมบัติอะไรมาพูดกับข้า”

เฮ่อเหลียนฉีเหยียดหยาม

ฉู่ชิวสีหน้าไม่น่าดูในบัดดล

กลางโถงใหญ่ บุคคลแห่งยุคอย่างพวกหลันอวิ๋นเคอ โหยวเทียนซิงล้วนมีสีหน้านึกสนุก เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้

หรืออาจกล่าวว่า พวกเขาก็อยากยืมมือเฮ่อเหลียนฉีมาทดสอบฝีมือหลินสวินเช่นเดียวกัน

หนำซ้ำพวกเขายังนิ่งนอนใจไร้กังวล อย่างไรเสียที่นี่ก็คือแคว้นเมฆา เป็นถิ่นของพวกเขา ส่วนจินตู๋อี… ว่ากันว่าเป็นแค่ผู้ฝึกปราณอิสระคนหนึ่งเท่านั้น

ซูมู่หานถอนใจเบาๆ “พี่เฮ่อเหลียน ไว้หน้าข้าคนแซ่ซูหน่อยจะได้หรือไม่”

เฮ่อเหลียนฉีกล่าว “ได้ แต่ต้องทำให้จินตู๋อีคนนี้ก้มหัวขอโทษเสียก่อน เช่นนั้นข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เขาที่นี่อีกเป็นการชั่วคราว!”

คำพูดบีบคั้นผู้คน

ซูมู่หานส่ายหน้าพักหนึ่ง ไม่เอ่ยเตือนอีก

งานเลี้ยงครั้งนี้ถึงจะบอกว่าจัดขึ้นโดยเขา แต่เขาก็ไม่อยากไปล่วงเกินเฮ่อเหลียนฉีเพื่อจินตู๋อีเพียงคนเดียว

เมื่อเทียบกันแล้ว สำหรับพวกเขาในที่นี้ จินตู๋อีก็เป็นแค่ผู้มาเยือนแปลกหน้าที่มาจากต่างแดนคนหนึ่ง แต่เฮ่อเหลียนฉีเป็นถึงบุคคลแห่งยุคในเผ่าสยบมายาของแคว้นเมฆา

ใครจะไปก้าวก่ายเรื่องของเฮ่อเหลียนฉีเพียงเพราะคนนอกคนหนึ่งกันเล่า

สายตาหลินสวินกวาดมองทั้งที่นั้น ไม่มองแค่เฮ่อเหลียนฉีคนเดียว จากนั้นกล่าวเรียบๆ “ทุกท่านไม่สอดมือในเรื่องนี้ยิ่งดี อีกเดี๋ยวหากเกิดอะไรขึ้น ใครกล้าขัดขวาง ผู้นั้นก็คือศัตรูของข้าจินตู๋อี”

ประโยคเดียวทำเอาคนไม่น้อยล้วนเผยสีหน้าพิกล เจ้าหมอนี่ดูเหมือนเรียบๆ ไม่มีจุดเด่น แต่ฝีปากกลับแข็งกล้านัก

ส่วนเฮ่อเหลียนฉีก็อดหัวเราะลั่นออกมาไม่ได้ “จินตู๋อี อันดับหนึ่งที่ชนะเก้าสิบเก้าครั้งรวด กล้าสู้กับข้าสักยกหรือไม่”

ท่าทางหยิ่งยโสโอหัง

บรรยากาศในโถงใหญ่ล้วนเปลี่ยนเคร่งขรึมขึ้นมา

หลินสวินกระดกสุราบนตั่งวางรวดเดียวหมดถึงค่อยหยัดกายขึ้น พูดกับพวกฉู่ชิวว่า “งานเลี้ยงเช่นนี้น่าเบื่อเกินไป ข้าคนแซ่จินจะขอตัวลาไปก่อนแล้ว”

พวกฉู่ชิว เกาหลิงเทียนต่างลุกขึ้นกล่าวเป็นพัลวัน “พี่จิน หากอยากจากไปพวกเราไปพร้อมกันเลยเถอะ”

ในใจพวกเขาก็ไม่เบิกบานยิ่งเช่นกัน

“คิดหนีหรือ ผ่านการเห็นชอบจากข้าหรือยัง!”

เฮ่อเหลียนฉีสีหน้าขรึมลง

“อ้อ?”

จู่ๆ หลินสวินยิ้ม “คนที่พูดโดยไม่รู้จักเป็นตายก็คือคนแบบเจ้ากระมัง”

ไม่รู้จักเป็นตาย!

ดวงตาเฮ่อเหลียนฉีถลึงโต เพลิงโทสะพุ่งทะยาน เขาเป็นบุคคลแห่งยุครุ่นปัจจุบันของเผ่าสยบมายา ยามนี้ยิ่งเป็นหนึ่งในสิบอันดับหนึ่ง ทอดสายตาทั่วทั้งแคว้นเมฆา ใครจะกล้าว่าเขาเช่นนี้บ้าง

คำพูดนี้ของหลินสวิน กระตุ้นไอสังหารภายในใจของเขาขึ้นอย่างสิ้นเชิง

ไอสังหารที่เดือดปะทุดุจภูเขาไฟแผ่พุ่งจากในร่างเฮ่อเหลียนฉี ก็เห็นบ่อมรรคด้านหลังเขาควบรวมเสมือนจริง ลึกล้ำลุ่มลึก คล้ายจะเลือกคนกลืนกิน

“ระวัง!” พวกฉู่ชิวหัวใจบีบรัด

พวกเขาต่างรู้ดี นิสัยใจคอของเฮ่อเหลียนฉีเดิมก็เลือดร้อนถึงขีดสุด ขอเพียงลงมือ ใครก็ห้ามไม่อยู่

หลินสวินไม่พูดมากความอีก แค่ยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง กดจากกลางห้วงอากาศ

ตูม!

พลังฝ่ามือคลุมเครือไร้รูปสายหนึ่งตกลู่ลงมาพลัน ดุจดั่งภูเขาเทพดึกดำบรรพ์หล่นมาจากฟากฟ้า กดทับบนตัวเฮ่อเหลียนฉี

เฮ่อเหลียนฉีแค่นหัวเราะ ส่งเสียงตะโกนลั่น ชุดนัดพรตสีเขียวเข้มสะบัดรัว แสงมรรคอึงอลรวมตัว บ่อมรรคด้านหลังเปล่งแสงพุ่งทะยาน

“บ่อมารกักนภา!”

มรรควิถีทั้งตัวเฮ่อเหลียนฉีล้วนกำลังโคจร หมายจะใช้การโจมตีนี้กำราบหลินสวินในคราวเดียว

แต่เหนือความคาดหมายของเขา

ปากบ่อที่ลึกล้ำนั่นีระเบิดกระจุยในพริบตา จากนั้นพลังน่าสะพรึงไร้ขอบเขตก็กดทับลงมา บดขยี้พลังพิทักษ์ร่างบนร่างเขาอย่างง่ายดาย เสียงปึงดังขึ้นสนั่นหู กดทั้งร่างของเขาหมอบลงบนพื้นตรงๆ

ห้าจุดสัมผัสพื้น!

พื้นโถงใหญ่ล้วนสั่นสะเทือนรุนแรง

“นี่…”

กลุ่มคนในที่นี้ต่างเผยสีหน้ากังขา ตกใจยกใหญ่ ความแข็งแกร่งของเฮ่อเหลียนฉีพวกเขาต่างรู้ดี พลังสยบมายาของเจ้าตัวกร้าวแกร่งยิ่งยวด สามารถเป็นอันดับหนึ่งในการคัดเลือกรอบแรก เดิมก็เป็นข้อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเขาแล้ว

แต่ยามนี้กลับถูกกำราบในการโจมตีเดียว!

ต่อให้ถูกโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว ต่อให้ในใจจะประมาทเลินเล่อ แต่ถูกกำราบเช่นนี้ก็ยังทำให้ผู้คนแปลกใจอยู่ดี

“อ๊าก!”

เฮ่อเหลียนฉีอับอายจนพานโกรธ ส่งเสียงคำรามเดือดออกมา

ไอมารสยบมายาซัดสาดราวกับมังกรใหญ่ตัวแล้วตัวเล่า ไหลพรูจากรอบกายเขา กลายเป็นบ่อมรรคหนึ่งบ่อ แผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงออกมา น่าเสียดาย เขาไม่เพียงสลัดไม่หลุด ตรงข้ามกลับถูกกดทับจนทั้งร่างหนักอึ้ง จมไปกับพื้นดิน ประทับเป็นรอยคน

เสียงสูดหายใจเฮือกดังขึ้น อันดับหนึ่งอย่างพวกซูมู่หาน หลันอวิ๋นเคอ โหยวเทียนซิงต่างตกใจไปตามๆ กัน

จินตู๋อีคนนี้ แข็งแกร่งนัก!

เทียบกันแล้วพวกฉู่ชิวดูนิ่งกว่ามาก แต่มีแค่พวกเขาที่รู้ดีว่าถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นไม่มีใครกล้าท้าสู้หลินสวินต่อ อย่าว่าแต่ชนะเก้าสิบเก้าครั้งรวดเลย ต่อให้ชนะมากกว่านี้ก็อาจเกิดขึ้นได้!

บุคคลพลิกฟ้าเช่นนี้ มีหรือคนอย่างเฮ่อเหลียนฉีจะสามารถท้าทายส่งเดชได้

ทั้งที่นั้นเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง

หลินสวินมองเฮ่อเหลียนฉีอย่างเหยียดหยัน กล่าวว่า “หากข้าอยากจากไป เจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่ต่างกันตรงกันตรงไหน”

น้ำเสียงราบเรียบ

เพียงแต่สายตาที่ทุกคนมองไปทางเขาล้วนเปลี่ยนไป

เป็นอันดับหนึ่งเหมือนกัน แต่หลินสวินกลับใช้มือเดียวกำราบเฮ่อเหลียนฉีได้ สิ่งนี้ทำให้ในใจพวกเขาต่างก็พลิกตลบ ถูกทำให้ตกใจ

“แล้วก็ น้องสาวเจ้าใช้เข็มวิญญาณพิฆาตจิต ข้าสงสัยยิ่งว่าเผ่าสยบมายาของพวกจ้าคบค้ากับพวกโลกมืดหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น… ในแคว้นเมฆาเกรงว่าคงปล่อยพวกเจ้าไปไม่ได้”

กล่าวจบหลินสวินก็หันตัวจากไป

ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนคร้านจะใส่ใจเหล่าบุคคลแห่งยุคที่เรียกกันในที่นั้นอีก

พวกฉู่ชิวก็รีบร้อนตามออกไป จากไปพร้อมกัน

ในโถงใหญ่เงียบกริบ จนกระทั่งครู่ใหญ่ผู้คนจึงเหมือนดึงสติกลับมาได้ เผยสีหน้าซับซ้อน

จินตู๋อีที่ชนะเก้าสิบเก้าครั้งติดแข็งแกร่งเช่นนี้นี่เอง!

พวกเขาในยามนี้ ในที่สุดก็ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของหลินสวินอย่างลึกซึ้ง

เพียงแต่กลับน่าเห็นใจเฮ่อเหลียนฉี การพ่ายแพ้ในวันนี้ของเขาไม่เพียงเสียหน้าต่อหน้าธารกำนัล เกรงว่าอีกไม่นานทั่วทั้งเมืองว่างเปล่าก็คงรู้เรื่องที่เขาถูกกำราบกันหมดแน่!

สิ่งที่ทำให้ผู้คนใจสะท้านมากที่สุดคือ ประโยคเหล่านั้นก่อนที่หลินสวินจะจากไป เป็นการมองว่าพวกเฮ่อเหลียนฉีสมรู้ร่วมคิดกับพวกโลกมืดชัดๆ คำพูดเช่นนี้หากแพร่งพรายออกไป…

ผู้ฝึกปราณทั่วทั้งแคว้นเมฆาจะมองพวกเขาเผ่าสยบมายากันอย่างไรเล่า

……

ดังคาด ในวันนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหอประชันภูมิก็แพร่ออกมา ก่อให้เกิดความฮือฮาในเมืองว่างเปล่า

ควรรู้ว่าการคัดเลือกรอบสองใกล้เริ่มขึ้นแล้ว ภายในเมืองว่างเปล่าแห่งนี้มีผู้ฝึกปราณในแคว้นเมฆาไม่รู้เท่าไหร่

ตอนนี้เฮ่อเหลียนฉีซึ่งเป็นหนึ่งในสิบอันดับหนึ่ง ถึงกับถูกจินตู๋อีซึ่งเป็นอันดับหนึ่งเช่นกันกำราบด้วยมือเดียว สิ่งนี้จะไม่ให้ผู้คนตกใจได้อย่างไร

“จินตู๋อี พวกชั้นยอดที่ชนะเก้าสิบเก้าครั้งรวด ผู้ฝึกปราณอิสระที่เหมือนปริศนาคนหนึ่ง การปรากฏตัวของเขาย่อมก่อให้เกิดตัวแปรมากมายในการคัดเลือกถกมรรคอย่างแน่นอน!”

“น่าสงสารเฮ่อเหลียนฉีนั่น ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้รับชื่อเสียงบารมีของอันดับหนึ่ง ไม่ทันไรก็ถูกทำลายด้วยน้ำมือจินตู๋อีเสียแล้ว”

“เร็วเข้า รวบรวมข้อมูลทั้งหมดของจินตู๋อีคนนี้ ข้าจะต้องให้ความสนใจในทุกเรื่องของเขา!”

……

เมืองว่างเปล่าต่างฮือฮา ล้วนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้

ที่สำนักยุทธ์ว่างเปล่า

บนยอดเขาที่จัดเตรียมให้แขกพิเศษโดยเฉพาะลูกหนึ่ง

“เฮ่อเหลียนฉี เจ้าหมอนี่ถึงกับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา…”

เซี่ยอวี่ฮวาผู้สืบทอดแกนหลักของลัทธิเทพดาราเมฆอ่านข่าวที่เพิ่งได้รับมาในมืออย่างเงียบๆ ฉายแววประหลาดใจออกมา

“นางหนู เห็นแล้วกระมัง จินตู๋อีคนนี้เป็นพวกน่าทึ่งคนหนึ่ง”

อวี๋ฮูหยินนั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงเบา “อย่างน้อยความแข็งแกร่งที่เขามี ย่อมไม่ด้อยไปกว่าเจ้าอย่างแน่นอน”

เซี่ยอวี่ฮวาหัวเราะ กล่าวว่า “เช่นนั้นไม่ยิ่งดีหรือ หากอีกฝ่ายอ่อนแอเกินไป ศึกถกมรรคนี่ก็จะน่าเบื่อเกินไป”

นางสวมอาภรณ์ขนนกสีฟ้า ผมดำม้วนเป็นมวย เผยให้เห็นดวงหน้าขาวเนียนงดงาม นัยน์ตาทอประกายดุจดวงดาว แสงมรรคสีฟ้าอ่อนสายแล้วสายเล่ารายล้อมอยู่รอบๆ เงาร่างอรชรของนาง ขับให้บุคลิกของนางดุจดั่งกล้วยไม้ป่ากลางหุบเขา ดั่งฝันดุจมายา

“เจ้าน่ะยังไม่เข้าใจ”

อวี๋ฮูหยินถอนใจเบาๆ “รอให้ถึงยามคัดเลือกรอบสอง เจ้าได้เห็นฝีมือของเขาเองกับตาก็จะเข้าใจเอง จะประเมินเจ้าหนุ่มนี่สูงปานใดล้วนไม่เกินจริงทั้งสิ้น”

…………………