ตอนที่ 1898 โกง?
ชั้นที่แปด
ลู่ตู๋ปู้ที่สวมชุดนักพรตแขนกว้างราวกับบัณฑิตอ่อนแอ ยามนี้เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แสงศักดิ์สิทธิ์ไหลบ่าไปทั้งตัว ไอพลังยิ่งใหญ่คงอยู่ตราบนิรันดร์
ยามลืมตาเหมือนสุริยันจันทราเคลื่อนคล้อยอยู่ภายใน ดูดจิตชิงวิญญาณ
“ล่องลอยดั่งฝัน!”
ผมยาวของเขาปลิวไสว เบื้องหน้าปรากฏเขตแดนมรรคที่งามตระการทั่วทิศราวกับห้วงฝัน ภายในนั้นเผยปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่แห่งโลกหล้า ทุกข์สุขของสรรพชีวิต
ตูม!
ตรงหน้า วิญญาณศึกหลอมมรรคในชุดดำผมดำราวกับเซียนกระบี่แห่งยุคติดอยู่ในนั้นโดยไม่ทันตั้งตัว
“เคลื่อนคล้อยในฝันชั่วดีดนิ้ว ท้องทะเลเปลี่ยนเป็นผืนนาในชั่วขณะ!”
ลู่ตู๋ปู้กล่าวเนิบช้าเหมือนนายเหนือหัวคนหนึ่ง เมื่อเสียงของเขาดังขึ้น เขตแดนมรรคประหนึ่งมีสายน้ำแห่งกาลเวลาพวยพุ่ง
วิญญาณศึกหลอมมรรคชุดดำผมดำถูกฝังกลบอยู่ในนั้นทันที
เสียงกัมปนาทที่ลุ่มลึกราวฟ้าร้องดังขึ้น เขตแดนมรรคที่งามตระการกว้างใหญ่ไพศาลราวกับฝันร้าย อาศัยพลังที่น่ากลัวหาใดเปรียบกัดกินวิญญาณศึกหลอมมรรคที่ดิ้นรนไม่หยุดนั่นทีละน้อย
ลู่ตู๋ปู้สองมือไพล่หลัง สง่างามไร้เทียมทาน
‘หลังจากสังหารวิญญาณศึกหลอมมรรคในชั้นเก้าและดูดซับพลังต้นกำเนิดวิถียุทธ์ได้แล้ว ก็สามารถทำให้ ‘ล่องลอยดั่งฝัน’ ของข้าบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์!’
‘ถึงตอนนั้น ต่อให้ไปประลองกับบุคคลแห่งยุคทั่วหล้าในงานชุมนุมถกมรรค ข้าก็ไม่กลัวแล้ว!’
ลู่ตู๋ปู้ฮึกเหิมในใจ
…
ภายในชั้นที่แปดเช่นกัน
“อสูรสิบทิศ!”
สีหน้าอู่หวงเย็นชา ยามก้าวเดินมีหมอกควันหนาทึบดุจสีหมึกแผ่ออกมาราวม่านแห่งราตรีนิรันดร์ วิวัฒน์เป็นเขตแดนมรรคแห่งหนึ่ง
ในเขตแดนทางแดงก่ำ กระดูกขาวแต้มแต่ง อสูรมากมายพ่นหมอกสีดำออกมาคลุมตัวราวกับผีร้ายที่พุ่งออกมาจากนรก แล่นโฉบไปทั่วอย่างมืดฟ้ามัวดิน เผยความหยิ่งทะนงน่ากลัวด้วยการส่งเสียงเล็กแหลม เหี้ยมเกรียม คลั่งเกรี้ยวกราด
ชุดคลุมดำของอู่หวงเกิดเสียงสะบัดโบก ยืนอยู่ในนั้นราวกับเจ้าแห่งอสูร ราชันแห่งผีร้าย ในดวงตาสีน้ำตาลอมเทาคู่นั้นเต็มไปด้วยความไร้ปรานี
ในฐานะที่เป็นทูตจักรพรรดิของสำนักโบราณจรัสเทพ รากฐาน พรสวรรค์ รวมถึงพลังต่อสู้ของเขา ล้วนเรียกได้ว่าเป็นยอดบนโลก
หากไม่ใช่ว่ามาจากโลกมืด ด้วยพลังต่อสู้ของเขาคงก้าวขึ้นไปอยู่บนกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์นานแล้ว!
“ฆ่า!”
อู่หวงสะบัดมือ
อสูรสิบทิศพุ่งไปราวประตูนรกเปิดออก ผีร้ายอสูรเหลือคณากลุ้มรุมไปยังวิญญาณศึกหลอมมรรคที่อยู่ตรงหน้า
…
ในสายตาของคนใหญ่คนโตที่อยู่ในโลกภายนอกเหล่านั้น ลู่ตู๋ปู้และอู่หวงในตอนนี้ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
มาดสง่างามไร้เทียมทานยามระเบิดพลังเต็มกำลังทำให้พวกเขาสั่นสะท้าน ถูกทำให้ตกตะลึงแล้ว
“ดี!”
ก้วนซวีเอ่ยชม สีหน้าตื่นเต้น
ลู่ตู๋ปู้ ผู้กล้าของสำนักยุทธ์ว่างเปล่า อัจฉริยะนิรันดร์ที่ผงาดเหนือแคว้นเมฆาคนหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วต้องฉายแววเจิดจรัสอัศจรรย์ในงานชุมนุมถกมรรคที่หกเรือนมรรคใหญ่จัดขึ้นแน่!
“ไม่เลวๆ…”
นักพรตหลันก็ผุดรอยยิ้มออกมา เพียงแต่ในใจกลับเสียดายอยู่บ้าง หากอู่หวงเป็นผู้สืบทอดของเกาะเทพเวหาทมิฬจริงก็คงดีมาก
สายตาของเขามองไปที่เหิงเซียว กำลังเตรียมจะเสียดสีกระทบกระเทียบสักหน่อย ก็พลันเห็นว่าเหิงเซียวถึงกับผุดลุกขึ้นปรบมือชื่นชม “ดี! ดี! ดี!”
ทุกคนต่างอึ้งไป
นักพรตหลันก็เคลือบแคลงอยู่ในใจ
ลู่ตู๋ปู้และอู่หวงล้วนไม่ใช่ผู้สืบทอดของสำนักยุทธ์เสวียนจี ทำไมเหิงเซียวนี่ถึงตื่นเต้นกว่าพวกเขา
เมื่อมองตามสายตาของเหิงเซียวไป คนใหญ่คนโตพวกนี้ก็เผยสีหน้าตื่นตะลึง เสียงสูดหายใจสะท้านดังตามมาติดๆ
ที่แท้ก่อนหน้านี้ยามที่พวกเขาถูกความสามารถที่แสดงออกมาของลู่ตู๋ปู้และอู่หวงดึงดูด ในชั้นที่เจ็ด หลินสวินได้สังหารวิญญาณศึกหลอมมรรคสามตัวอย่างง่ายดายประดุจผ่าลำไผ่แล้ว!
ส่วนพวกเซี่ยอวี่ฮวา หวังถูที่เดิมทีนำหน้าเขาอยู่ ก็ถูกแซงไปในคราเดียว!
“นี่…”
เจ้าสำนักของลัทธิเทพดาราเมฆจนคำพูด
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมจินตู๋อีนี่ถึงเปลี่ยนเป็นทรงพลังเช่นนี้ได้ในชั่วขณะเดียว”
เจ้าสำนักสำนักกระบี่จรดฟ้าก็อึ้งไป
คนใหญ่คนโตอื่นๆ ก็ราวกับเห็นผี คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้แค่ในชั่วขณะ!
“คงไม่ใช่ว่า… เจ้าหมอนี่เพิ่งเริ่มเอาจริงเข้าตอนนี้กระมัง”
มีคนสันนิษฐาน ประโยคเดียวทำให้คนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สั่นสะเทือนอยู่ในใจ
ก่อนหน้านี้ความเร็วของจินตู๋อีก็มั่นคงจนน่ากลัวแล้ว หลายคนต่างสงสัยว่าเขาลอบใช้พลังเต็มกำลังอยู่ก่อนแล้ว
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะประเมินพลังของเจ้าหนุ่มนี่ต่ำไป!
ยามนี้เมื่อเห็นความเร็วในการฆ่าฟันที่รวดเร็วรุนแรงหาใดเปรียบนั้นของเขา ก็พาให้คนรู้สึกยากจะเชื่อ
นั่นเป็นถึงวิญญาณศึกหลอมมรรคของชั้นที่เจ็ด แข็งแกร่งระดับใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขากลับถูกฆ่าทีละตัวเหมือนทำจากกระดาษ!
พวกเขาเพิ่งเข้าใจในตอนนี้ว่าเหตุใดเหิงเซียวถึงตื่นเต้นจนเป็นเช่นนั้น
ความสามารถที่เผยออกมาของจินตู๋อีในยามนี้ไม่ธรรมดาเกินไปจริงๆ ไม่ได้ด้อยไปกว่าลู่ตู๋ปู้และอู่หวงเลยแม้แต่น้อย!
“ความเร็วในการทะลวงด่านต่างจากการต่อสู้จริงอย่างสิ้นเชิง ถึงอย่างไรวิญญาณศึกหลอมมรรคนั่นก็ตายอยู่แล้ว แต่การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง สิ่งที่ทดสอบยังมีสภาวะจิตและพลังเจตจำนงด้วย!”
นักพรตหลันเอ่ยปากแล้ว “จากที่ข้าดู จินตู๋อีนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่หากพูดว่าเขาเทียบกับลู่ตู๋ปู้และอู่หวงได้ ข้าก็ไม่อาจเห็นด้วย”
บางทีจำนวนครั้งที่ถูกตบหน้าอาจมากเกินไป ทำให้ยามที่เขาเอ่ยปากในครั้งนี้ แม้จะยังมุ่งเป้าไปที่หลินสวิน แต่คำพูดกลับดูคลุมเครือไม่น้อย
เหิงเซียวแค่นเสียงเย็นชา “คิดแบ่งว่าใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอจะยากอะไร รอเมื่อการต่อสู้รอบที่สามเริ่มต้น ก็ย่อมได้เห็นความสูงต่ำ”
นักพรตหลันยิ้มกล่าว “เจ้าพูดไม่ผิด เพียงแต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ลู่ตู๋ปู้และอู่หวงต่างบุกเข้าไปในชั้นที่เก้าแล้ว จินตู๋อีเพิ่งมาถึงชั้นที่แปด ถ้าอยากไล่ตามให้ทัน… เกรงว่าคงจะล้มเหลว”
อู่หวงเป็นตัวแทนของเกาะเทพเวหาทมิฬ
ขอแค่ข้ามหัวหลินสวินได้ นักพรตหลันก็พอใจมากแล้ว
แต่ขณะที่เสียงของเขาเพิ่งแผ่วลง ในที่นั้นพลันมีเสียงร้องอุทานดังขึ้น!
ก็เห็นว่าในชั้นแปด หลินสวินยังคงมีท่าทีกร้าวแกร่งเหมือนเดิม แค่เพียงครู่เดียวก็สังหารศัตรูไปหนึ่งตัว!
ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นลู่ตู๋ปู้หรืออู่หวง ยามสังหารวิญญาณศึกหลอมมรรคในชั้นแปดล้วนต้องใช้เวลาถึงครึ่งเค่อ!
เปรียบเทียบเช่นนี้ก็ตัดสินความเหนือชั้นได้แล้ว
กระทั่งหลินสวินสังหารวิญญาณศึกหลอมมรรคตัวที่สองแล้วทะลวงไปถึงชั้นที่เก้า คนใหญ่คนโตมากมายที่รวมถึงก้วนซวีก็ตะลึงจนแน่นิ่งไปหมด
สถานการณ์อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง และเกินจินตนาการของพวกเขาไปด้วย!
เร็วเกินไปแล้ว!
เร็วจนทำให้ผู้คนไม่ทันตั้งตัว
กระทั่งได้สติกลับมา หลินสวินก็พุ่งเข้าไปในชั้นที่เก้าด้วยท่วงท่าสง่างามแล้ว!
“เป็นไปได้อย่างไร…”
นักพรตหลันไม่อาจรักษาความสุขุมเยือกเย็นได้อีก สีหน้าแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่ ร้องเสียงหลงออกมา
ในใจคนใหญ่คนโตอื่นๆ ก็ไม่อาจนิ่งสงบ จินตู๋อีนี่ทำให้พวกเขาตกตะลึงและผิดคาดมากเกินไปจริงๆ
ในหกชั้นแรก เขาไล่ตามคู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่าอย่างไม่ช้าไม่เร็ว มั่นคงดุจหินผาตลอดทาง เผยให้เห็นพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
ภาพจำของเขาในตอนนั้นมีแค่คำเดียว…
มั่นคง!
แต่เริ่มตั้งแต่ชั้นที่เจ็ด เขาก็เหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคน ราวกับปลายกระบี่ไร้เทียมทานที่ซ่อนอยู่ในฝักเผยขึ้นในยามนี้ ไม่อาจหยุดยั้งได้ ฉับไวดุจสายลม!
เซี่ยอวี่ฮวาชวนตะลึงเพียงใด หวังถูเจิดจรัสระดับไหน แต่ก็ยังถูกเขาสลัดทิ้งไว้เบื้องหลัง
และตอนนี้เขาก็พุ่งเข้าไปในชั้นเก้าด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ!
บรรยากาศเงียบสงัด คนใหญ่คนโตทุกคนมากด้วยประสบการณ์ระดับใด แต่ก็ถูกภาพตรงหน้านี้ทำให้แปลกใจ เกิดความคิดนานัปการในชั่วขณะ
“จินตู๋อีนี่ซ่อนพลังได้ลึกล้ำยิ่ง!”
“ไหนเลยจะเป็นรากฐานที่ผู้ฝึกปราณอิสระพึงมี หากเป็นไปดังคาด เจ้าหมอนี่ต้องเป็นปีศาจแห่งยุคคนหนึ่งที่มาจากโลกอื่นบนฟ้าดาราแน่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสคนไหนกัน…”
“คิดไม่ถึงจริงๆ”
แม้แต่เหิงเซียวยังตื่นตาเป็นอย่างยิ่ง เขารู้ดีว่าหลินสวินแข็งแกร่งมาก ภูมิหลังก็ยิ่งใหญ่อย่างคาดไม่ถึง
แต่ก็คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่เก็บงำตนเองเหมือนหยกหมองมัวคนนี้ ยามเผยประกายจะเจิดจรัสเช่นนี้!
เนิ่นนานกว่านักพรตหลันจะได้สติกลับมา เขาควบคุมความรู้สึกอย่างเต็มที่ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ตอนนี้จินตู๋อีมาถึงชั้นที่เก้าเหมือนลู่ตู๋ปู้และอู่หวงแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาจะ…”
เสียงพลันหยุดชะงักลง
ลูกตาเขาเกือบหลุดออกมา สีหน้าค้างอยู่อย่างนั้น
เพียงแต่ตอนนี้กลับไม่มีใครมองเขาเป็นตัวตลก ด้วยจิตใจของคนใหญ่คนโตทั้งหมดในตอนนี้ก็มึนงง ถูกทำให้ตกตะลึงจนเหมือนจะเสียการควบคุม
ชั้นที่เก้า แดนลับว่างเปล่า มีวิญญาณศึกหลอมมรรคแค่ตัวเดียว ทั้งเป็นตัวที่แข็งแกร่งและน่ากลัวที่สุด ไม่ต้องกล่าวถึงมกุฎราชันอริยะทั่วไป ต่อให้เป็นยอดบุคคลผู้เป็นเลิศในหมู่มกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์ ถ้าคิดจะสังหารมันก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนัก!
เหมือนลู่ตู๋ปู้และอู่หวงที่ต่อให้ใช้พลังเต็มกำลังแล้ว ก็ได้แต่ต่อสู้กับอีกฝ่ายจนยากจะแยกจากกัน ติดขัดไม่อาจไปต่อ ไม่มีทางตัดสินผลแพ้ชนะได้ในเวลาอันสั้น
แต่หลินสวินแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
หลังจากเขามาถึงชั้นที่เก้า ก็ยังสังหารวิญญาณศึกหลอมมรรคนั่นได้ในช่วงสั้นๆ ไม่กี่อึดใจเหมือนก่อนหน้านี้!
ท่าทางเผด็จการแข็งกร้าว บุคลิกที่ไม่อาจทัดเทียมนั้น ทำให้เหล่าคนใหญ่คนโต ณ ที่นั้นตะลึงงันอยู่ตรงนั้น ทั้งหมดล้วนร้องเสียงหลง สั่นสะท้านพูดไม่ออก
“ปีศาจชัดๆ!”
มีคนอึดอัดอยู่นานกว่าจะพูดออกมาสามคำ
“น่าเหลือเชื่อ…”
มีคนทำหน้าไม่ถูก
“หากบอกว่าเจ้าหมอนี่เป็นศิษย์แกนหลักที่มาจากหกเรือนมรรคใหญ่ ข้าคงไม่มีทางคลางแคลงใดๆ แน่ บางทีอาจมีเพียงขุมอำนาจใหญ่โตมหึมาอย่างหกเรือนมรรคใหญ่ที่ฟูมฟักบุคคลเช่นนี้ออกมาได้”
มีคนทอดถอนใจอย่างยิ่ง
“ไม่ นี่ไม่ใช่เรื่องจริง จินตู๋อีนี่ต้องโกงแน่!”
ตอนนี้นักพรตหลันเสียอาการถึงที่สุด ร้องตะโกนลั่น
ตั้งแต่การคัดเลือกรอบที่สองเริ่มต้น เขาก็หมายหัวหลินสวินมาตลอด แต่ทุกครั้งจะถูกความสามารถที่แสดงออกมาของหลินสวินตบหน้า ทำให้ความคับข้องที่สะสมในใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ
มาถึงตอนนี้ เมื่อหลินสวินใช้ท่าทีที่ไม่อาจทัดเทียมแซงหน้าลู่ตู๋ปู้และอู่หวงอีกครั้ง เหตุการณ์นี้ก็เหมือนฝ่ามือที่ทั้งดังทั้งกังวานหวดใส่หน้าของนักพรตหลันอย่างหนักหน่วง ทำให้เขากรุ่นโกรธ ไม่อาจยอมรับ
ความจริงถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง คนใหญ่คนโตอื่นๆ ในที่นั้นก็ไม่กล้าเชื่อว่าในช่วงสำคัญที่สุดจะเกิดการพลิกผันเช่นนี้
ลู่ตู๋ปู้และอู่หวงที่เดิมถูกมองเป็นตัวเต็งในการคัดเลือกรอบที่สอง ถึงกับถูกม้ามืดอย่างจินตู๋อีข้ามหัวไปในตอนท้าย!
ก่อนหน้านี้ใครจะกล้าจินตนาการ
“นักพรตหลัน เจ้านี่น่าขันสิ้นดี การคัดเลือกครั้งนี้เกิดขึ้นในเจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่า เจ้าคิดว่าสหายยุทธ์ก้วนซวีจะยอมทนให้เกิดเรื่องขี้โกงขึ้นหรือ”
เหิงเซียวกล่าวอย่างเย็นชา
………………………