ตอนที่ 1899 เนตรผลาญเผา
คำพูดของเหิงเซียวแผ่วลง ทุกคนต่างอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

โกงรึ

จะเป็นไปได้อย่างไร!

บนแท่นเมฆานี้ หากไม่ใช่เจ้าสำนักก็เป็นผู้นำตระกูลเก่าแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถ้ามีคนโกงก็ย่อมถูกพวกเขามองทะลุได้ในปราดเดียวไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นการคัดเลือกรอบที่สองยังเกิดขึ้นในเจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่า นี่เป็นถึงยอดสมบัติพิทักษ์สำนักของสำนักยุทธ์ว่างเปล่า!

ในสถานการณ์เช่นนี้นักพรตหลันกลับบอกว่าจินตู๋อีโกง นี่เป็นการตบหน้าสำนักยุทธ์ว่างเปล่าซึ่งหน้าจริงๆ!

ดังคาด ก้วนซวีในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักสำนักยุทธ์ว่างเปล่าสีหน้าอึมครึมลงทันที จ้องมองอย่างเย็นชาพลางกล่าว “สหายยุทธ์ นี่เจ้ากำลังสงสัยว่าสำนักยุทธ์ว่างเปล่าของข้าเล่นเล่ห์เพทุบายรึ”

นักพรตหลันหน้าเปลี่ยนสี รีบร้อนกล่าว “ไม่กล้าๆ ความจริงคือ… จินตู๋อีนี่ประพฤติตนผิดปกติเกินไป กระทั่งทำให้ข้าเสียอาการอย่างอดไม่ได้อยู่บ้าง”

คำพูดนี้กลับมีผู้ยิ่งใหญ่เห็นด้วยไม่น้อย

ก่อนหน้านี้ใครเล่าจะคาดคิดว่าในช่วงที่ลู่ตู๋ปู้และอู่หวงต่อสู้กันอย่างดุเดือด ใกล้จะประชันจนได้อันดับหนึ่ง จะเกิดการพลิกผันเช่นนี้ขึ้น

จินตู๋อีใช้ท่าทางที่ไม่อาจทัดเทียม ชิงเป็นผู้แข็งแกร่งคนแรกที่ผ่านการคัดเลือกรอบที่สองก่อนที่พวกลู่ตู๋ปู้และอู่หวงจะทะลวงผ่านชั้นที่เก้า!

ผลลัพธ์เช่นนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าใครก็คงคาดไม่ถึง

เหนือความคาดหมายเกินไป!

เจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่าชั้นที่เก้า

หลินสวินยืนโดดเดี่ยวลำพัง นัยน์ตาทั้งสองปิดสนิท สีหน้าสุขุมยากจับต้อง

ภายในร่างเขา หลังจากพลังต้นกำเนิดวิถียุทธ์ที่พลุ่งพล่านทรงอานุภาพพุ่งเข้าไป ครรภ์เทพเพลิงแดงในหัวใจก็ดังเป็นจังหวะอย่างเด่นชัดราวกับฟ้าคำราม การขับเคลื่อนพลังชีวิตที่ยิ่งใหญ่ดุจห้วงสมุทรแผ่กระจายออกมา ปะทุพล่านอย่างบ้าคลั่ง

ตูม!

เพียงครู่เดียวเสียงที่ดังขึ้นในหัวใจประหนึ่งจักรวาลแรกกำเนิด บนแท่นบูชาเหนือศีรษะหลินสวินก็ปรากฏละอองแสงงามตระการที่แดงดุจเพลิงผลาญแถบหนึ่ง

เกือบจะเวลาเดียวกัน ชุดนักพรตสมประสงค์ที่คลุมตัวหลินสวินมีกลิ่นอายอัศจรรย์ไหลวนออกมา บดบังปรากฏการณ์ประหลาดทุกอย่างนี้ไว้

เมื่อมองจากภายนอกจะเห็นแค่หมอกเพลิงแถบหนึ่ง แต่ไม่อาจล่วงรู้ถึงลักษณ์ประหลาดอัศจรรย์ที่กำลังเกิดขึ้นบนตัวหลินสวินได้

สุดท้ายละอองแสงที่แดงดุจเพลิงผลาญนั้นก็ควบรวมเป็นเงาร่างสูงตระหง่านสวมชุดคลุมเพลิงร่างหนึ่ง ทั่วร่างอบอวลด้วยเปลวไฟเปล่งประกายเจิดจรัส ประดุจเทพที่ควบคุมเพลิงสวรรค์ ถือกำเนิดจากเปลวไฟ!

กายมรรคเพลิงแดง!

ไฟ หนึ่งในห้าธาตุ ยอดหยางฟ้าประทาน ทักษิณแห่งแปดทิศ

นี่คือร่างแยกมหามรรคที่เกิดจากครรภ์เทพเพลิงแดงตนหนึ่ง กลิ่นอายของมันดั่งดวงตะวันเจิดจ้า ยิ่งใหญ่ไพศาล โชติช่วงดุดันยิ่งยวด หยิ่งผยองกำแหง

นี่ก็คือร่างแยกมหามรรคตัวที่สี่ซึ่งควบรวมออกมานับแต่หลินสวินฝึกปราณมาถึงตอนนี้

ตูม!

เมื่อสารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณของหลินสวินผสานเข้าไปในกายมรรคเพลิงแดงนั่น การหยั่งรู้ที่น่าอัศจรรย์นับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นในใจราวกับกระแสน้ำ

ครู่ใหญ่หลินสวินที่สวมชุดคลุมแดงใจเต้น ดวงตาที่หรี่อยู่พลันลืมขึ้น

พริบตานี้ภาพที่น่ากลัวภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในดวงตาคู่นั้นของเขา…

กลางฟ้าดินสรรพสิ่งดับสูญ มีเพียงเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ หลักการฟ้าดิน สุริยันจันทราดาราล้วนถูกหลอมจนสิ้น

ร่องรอยแห่งกาลเวลา หนทางแห่งห้วงอากาศว่างเปล่าล้วนเผาไหม้ไร้ตัวตน

ดวงไฟนั้นกลายเป็นสิ่งเดียวที่คงอยู่และไม่เสื่อมสูญ!

ลักษณ์ประหลาดสะเทือนใต้หล้านี้วิวัฒน์อยู่ในดวงตาหลินสวิน สุดท้ายก็กลายเป็นแสงเพลิงสองกลุ่มวาดกวาดออกมา

ตูม!

ชั้นที่เก้ามีนามว่าแดนลับว่างเปล่า เป็นแดนมืดสลัวที่ประหนึ่งว่างเปล่า แต่ยามนี้เมื่อหลินสวินลืมตา แสงเพลิงคู่หนึ่งก็ปรากฏ สาดส่องทั่วฟ้าดิน!

เหมือนว่าทั้งโลกกำลังถูกแผดเผา!

นี่ก็คือพลังพรสวรรค์ของกายมรรคเพลิงแดง…

‘เนตรผลาญเผา!’

นัยเร้นลับสำคัญของมันอยู่ที่คำว่าผลาญ!

เผาฟ้าผลาญดิน แปลงสรรพสิ่งเป็นเถ้าถ่าน

อภินิหารพรสวรรค์เช่นนี้ เด็ดขาดและดุดันเป็นที่สุด!

ผ่านไปครู่ใหญ่เมื่อหลินสวินในชุดคลุมแดงเก็บพลังกลับไป พลังแผดเผากลางฟ้าดินแถบนี้ก็หายไปด้วย ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ

แต่ในดวงตาของหลินสวินกลับฉายแววประหลาดเสี้ยวหนึ่ง

ด้วยยามสำแดงเนตรผลาญเผา กลับปลุกพลังที่มาจาก ‘เพลิงมรรคอัศจรรย์’ โดยไม่ตั้งใจ ทำให้กลิ่นอายของเพลิงมรรคอัศจรรย์ซึมซาบเข้าไปในอภินิหารพรสวรรค์นี้ด้วย ทำให้อานุภาพของเนตรผลาญเผาพุ่งพรวดถึงขั้นไม่อาจจินตนาการได้ในครู่เดียว!

จากการคาดเดาของหลินสวิน เดิมทีอานุภาพของเนตรผลาญเผาสามารถสังหารยอดบุคคลรุ่นเดียวกันได้อย่างง่ายดาย

เมื่อรวมกับกลิ่นอายของเพลิงมรรคอัศจรรย์ ยามสำแดงอภินิหารนี้จะฆ่าบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว

เมื่อคาดเดาได้ตามนี้ หลินสวินก็ใจสั่นไปพักหนึ่ง รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของคัมภีร์มหามรรคหวงถิงยิ่งกว่าเดิม

‘กายมรรคไม้เขียว ครองพลังแห่งความเป็นตายรุ่งโรจน์โรยร่วง…’

‘กายมรรคดินเหลือง ครองประทับแห่งสรรพชีวิต…’

‘กายมรรควารีดำ เผยความอัศจรรย์แห่งสามพันลี้วารียาว…’

‘ส่วนกายมรรคเพลิงแดงนี้ก็มีเนตรผลาญเผา ดำเนินตามมรรคแห่งความเผด็จการรุนแรงทำลายล้าง!’

หลินสวินใคร่ครวญเงียบๆ สัมผัสนัยเร้นลับของกายมรรคเพลิงแดง ไม่รู้เลยว่าหลังจากทะลวงผ่านชั้นที่เก้า เขาก็ได้เป็นอันดับหนึ่งของการคัดเลือกรอบที่สองแล้ว

หรือพูดได้ว่าตั้งแต่เริ่มเข้ามาในเจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่าจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องอันดับของการแข่งขันเลย

เค่อที่ห้าของการคัดเลือกรอบที่สอง

ลู่ตู๋ปู้ในชุดนักพรตแขนกว้างราวกับบัณฑิตอ่อนแอ ก้าวออกมาจากเจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่า

มุมปากของเขาแฝงรอยยิ้ม ราศีจับเปล่งประกาย

หลังจากผ่านชั้นที่เก้า พลังต้นกำเนิดวิถียุทธ์ที่สั่งสมอยู่ภายในร่าง ทำให้เขาบรรลุการควบคุมเขตแดนมรรค ‘ล่องลอยดั่งฝัน’ ถึงขั้นสมบูรณ์!

พูดได้ว่าเป็นเรื่องยินดีที่คาดไม่ถึง

เมื่อเดินออกมาจากเจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่า ลู่ตู๋ปู้ก็เตรียมพร้อมรับสายตาที่จะจับจ้องมาของธารกำนัลแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดคาดคือ ไม่มีเสียงชื่นชม ฮือฮา ตกตะลึง และโห่ร้องยินดีตามที่คาดไว้

สีหน้าของทุกคนล้วนดูประหลาดอย่างบอกไม่ถูก คล้ายตกตะลึงและเหมือนมึนงง

บรรยากาศก็ดูเงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง

‘หรือด้วยคิดไม่ถึงว่าข้าจะผ่านการคัดเลือกรอบที่สองได้เร็วเช่นนี้ กระทั่งไม่อาจตอบสนองได้ในทันที?’

ลู่ตู๋ปู้ฉงนใจ

สำหรับการทะลวงด่านในครั้งนี้ พูดได้ว่าเขามั่นใจเต็มเปี่ยม ว่าชื่อของเขาต้องโดดเด่นเหนือเหล่าผู้กล้า ทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น!

แต่การตอบสนองของทุกคนตอนนี้กลับทำให้เขาไม่อาจเข้าใจอยู่บ้าง ต่อให้ตกตะลึงแค่ไหน… ก็ไม่ควรออกอาการเช่นนี้กระมัง

ขณะที่ลู่ตู๋ปู้กำลังจะพูดอะไร ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นสายตาที่มองมาจากด้านหลัง

เขาหันกลับไปก็เห็นร่างผึ่งผายกำยำนั่นของอู่หวงก้าวออกมาจากเจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่า ชุดคลุมดำเกิดเสียงสะบัดโบก ทั่วร่างแผ่อานุภาพน่าพรั่นพรึง

ชั่วพริบตาที่สังเกตเห็นสายตาของลู่ตู๋ปู้ มุมปากของอู่หวงก็โค้งเป็นรอยยิ้มหยัน ทำหน้านึกสนุก

ลู่ตู๋ปู้ขมวดคิ้ว ในใจผุดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาวูบหนึ่ง

“ตู๋ปู้ มานี่เถิด”

ในตอนนี้เองก้วนซวีที่อยู่ห่างออกไปถอนใจเฮือกใหญ่ ทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดในที่นั้น

ร่างกายของลู่ตู๋ปู้พลันแข็งทื่อ หันหน้าไปอย่างยากลำบาก สายตามองไปทางก้วนซวีพลางกล่าว “เจ้าสำนัก หรืออันดับหนึ่งของการคัดเลือกรอบที่สองนี้…”

ก้วนซวีพยักหน้า

ลู่ตู๋ปู้รู้สึกแค่ในสมองเหมือนมีเสียงดังหึ่ง ราวกับถูกฟ้าผ่า!

อันดับหนึ่งนี้ไม่ใช่ตนหรือ

นี่ก็เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ กะทันหันเกินไป ทำให้ลู่ตู๋ปู้ที่มั่นใจเต็มประดา เฝ้ารอคำชมของธารกำนัลอย่างอิ่มเอมยินดี จิตใจเกือบจะเสียการควบคุม

เป็นไปได้อย่างไร

หากตนไม่ใช่ที่หนึ่ง แล้วใครเป็นที่หนึ่ง

ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะนิรันดร์คนหนึ่งที่เจิดจรัสที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ของแคว้นเมฆา ลู่ตู๋ปู้ที่ภายนอกดูเหมือนถ่อมตัว ความจริงแล้วก็มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี

แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าแค่การคัดเลือกรอบที่สอง อันดับหนึ่งที่เดิมทีตนตั้งมั่นว่าต้องเอามาให้ได้จะหายไปเช่นนี้!

“ฮ่าๆๆๆ… ลู่ตู๋ปู้ ผิดคาดมากใช่ไหม อึดอัดจนลนลานมากหรือ”

เสียงหัวเราะกำแหงดังก้องขึ้น ฟังแล้วเสียดหูยิ่งนัก

ลู่ตู๋ปู้หันกลับไปมอง ก็เห็นผมยาวของอู่หวงปลิวไสว แหงนมองฟ้าหัวเราะร่า ในรอยยิ้มไม่อำพรางแววเยาะเย้ยตนแม้แต่น้อย

ลู่ตู๋ปู้สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด ที่แท้ก็เป็นเจ้าหมอนี่!

ความไม่พอใจและคับแค้นเข้มข้นผุดขึ้นในใจ ทำให้ลู่ตู๋ปู้ลอบกำหมัดทั้งสองที่อยู่ในแขนเสื้อแน่นอย่างห้ามไม่อยู่

“อู่หวง นี่เป็นแค่การคัดเลือกรอบที่สอง ยามคัดเลือกรอบที่สาม ข้าจะทำให้เจ้าหัวเราะไม่ออก!” ลู่ตู๋ปู้กล่าวชัดทีละคำ น้ำเสียงราวเล็ดลอดจากไรฟัน

“อ้อ ข้าก็พร้อมสู้ด้วยถึงที่สุด”

อู่หวงแสยะยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวดุจหิมะ พอใจอย่างมาก พูดจบเขาก็อดหัวเราะลั่นขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้

ในหมู่คู่ต่อสู้ของการทะลวงด่านครั้งนี้ มีเพียงลู่ตู๋ปู้ที่เขาให้ความสำคัญยิ่งนัก

แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับถูกตนปาดหน้า นี่จะไม่ให้อู่หวงสะใจได้อย่างไร

นิสัยของเขาเป็นเช่นนี้มาตลอด กำแหงตรงไปตรงมาไม่เคยปกปิด

“เหอะ เจ้าหนุ่ม ดีใจเร็วเกินไปไหม ข้าว่าเจ้ามองสถานการณ์ให้ชัดก่อนค่อยดีใจก็ไม่สาย”

ก้วนซวีไม่อาจทนดูต่อไปอยู่บ้าง อดกล่าวอย่างเย็นชาไม่ได้

อู่หวงชะงัก มองทุกคนที่อยู่ตรงนั้น แต่กลับพบว่าทุกสายตาที่มองมาทางตนต่างเจือแววพิกล

ไม่มีความยกย่อง ชื่นชม และตกตะลึงดังคาด กลับเป็นว่าเจือความเวทนาที่คล้ายมีคล้ายไม่มี…

เวลานี้นักพรตหลันของเกาะเทพเวหาทมิฬอดกล่าวขึ้นไม่ได้ว่า “อู่หวง คนแรกที่ผ่านด่านคือคนอื่น…”

ไม่รอให้พูดจบ หน้าอู่หวงพลันเปลี่ยนสี กล่าวอย่างหนักแน่น “ไม่มีทาง!”

ทั้งสามคำเจือความขุ่นเคืองและยากจะเชื่อ

ทีแรกลู่ตู๋ปู้ก็อึ้งไป จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด ที่แท้อันดับหนึ่งก็ไม่ใช่เจ้าอู่หวงนี่!

เวลานี้ลู่ตู๋ปู้อยากถามสักประโยคจริงๆ อู่หวงหนออู่หวง เจ้าช่างน่าขันนัก!

ขณะเดียวกันสายตาที่ทุกคนมองไปยังอู่หวงก็ดูเวทนายิ่งกว่าเดิมแล้ว นี่ทำให้อู่หวงอึดอัดไปทั้งตัวทันที ความโอหังและสะใจภายในใจ ล้วนถูกความแปลกใจสงสัยเข้ามาแทน

“ใครเป็นอันดับหนึ่งกันแน่”

เขาอดกล่าวไม่ได้

ในใจลู่ตู๋ปู้ก็ใคร่รู้

“เป็นจินตู๋อี”

นักพรตหลันถอนใจยาว หน้าคล้ำเขียว เขาปฏิเสธและต่อต้านหลินสวินที่สุด แต่ยามนี้กลับไม่อาจไม่พูดความจริงที่ว่าหลินสวินเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงว่าในใจเขาอึดอัดแค่ไหน

“เป็นไปไม่ได้!”

อู่หวงและลู่ตู๋ปู้แทบจะตะโกนออกมาพร้อมกัน ต่างทำท่าราวกับเห็นผี

จินตู๋อี?

ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ให้ความสำคัญกับคนผู้นี้จริงๆ แต่ก็ไม่ได้มองว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ที่จะชิงอันดับหนึ่งเลย!

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้”

เหิงเซียวยิ้มเล็กน้อย กล่าวเรียบๆ “ทุกคนในที่นี้ต่างเห็นอยู่ในสายตาอย่างชัดเจน คนหนุ่มอย่างพวกเจ้า… ใจเย็นลงหน่อยจะดีที่สุด จะได้ไม่เป็นตัวตลกอีก”

คำพูดพวกนี้ดูผ่อนคลายสบายใจ แต่กลับทำให้ลู่ตู๋ปู้และอู่หวงหน้าค้างแข็งอยู่บ้าง สายตาของพวกเขามองคนอื่นๆ ในที่นั้น แต่กลับพบว่าไม่มีใครค้านคำพูดของเหิงเซียวสักคน

ความจริงนี้ทำให้พวกเขาใจหล่นวูบพร้อมกัน!

…………………..