ตอนที่ 1917 จื่อเชวี่ยกับชายหนุ่มชุดม่วง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 1917 จื่อเชวี่ยกับชายหนุ่มชุดม่วง
หน้ากากสีเงิน เสื้อผ้าสีขาว เงาร่างสูงเพรียว…

ยามเงาร่างสายนี้เดินเข้ามา นัยน์ตาหลินสวินหรี่ลงอย่างไม่เป็นที่จับสังเกต รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายกร้าวแกร่งที่เหนือกว่าปกติทั่วไป

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายผ่านการปลอมตัวมา แม้แต่กลิ่นอายก็ยังปิดซ่อนเอาไว้ ทว่าสัญชาตญาณที่บ่มเพาะมานานปีบอกกับหลินสวินว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดายิ่ง!

ชายชุดเทาและชายชราชุดขาวต่างขมวดคิ้ว ตระหนักได้ว่าชายหนุ่มหน้ากากสีเงินคนนี้มากับชายวัยกลางคนผอมแห้ง

ขณะที่พวกเขากำลังจะอ้าปากปฏิเสธ ทั่วร่างกลับแข็งทื่อ

เพราะเมื่อสายตาของชายหน้ากากสีเงินคนนั้นมองมา จิตใจของทั้งคู่ล้วนสั่นกึก ราวกับถูกนายเหนือหัวสูงปรายตาเหยียดหยัน!

ชายชุดเทาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งกล่าวว่า “สหาย ที่นี่คือเรือนเร้นหมอก คำร้องขอที่เจ้าเรียกร้องพวกเรา…”

ไม่รอให้พูดจบชายหน้ากากสีเงินคนนั้นก็กล่าวว่า “เมื่อวานพวกเจ้าจ่ายแปดล้านหกแสนผลึกมรรคซื้อสมบัติเหล่านั้นไว้ ข้าสามารถไถ่คืนในราคาสองเท่าให้พวกเจ้าได้”

น้ำเสียงของเขาเล็กแหลม เจือลักษณะเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง เสียงคล้ายคมดาบกรีดผ่านหินกรวด ถึงแม้น้ำเสียงจะเรียบเฉยแต่กลับเจือแววไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ

ราคาสองเท่า!

ชายชุดเทาและชายชราชุดขาวในใจต่างสะท้านไหว ตระหนักได้ว่าสมบัติเหล่านั้นที่เพิ่งขายให้หลินสวิน ไม่ธรรมดาเกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้หลายโข

ทว่าการค้าขายเสร็จสิ้นลงแล้ว พวกเขานึกเสียใจภายหลังก็ไม่ทันแล้ว

อีกทั้งหลินสวินเป็นแขกพิเศษที่ในมือถือมีป้ายหยกสีม่วง พวกเขาย่อมไม่กล้ากระทำเรื่องอย่างการกลับคำในยามนี้หรอก

“ขออภัย สมบัติพวกนี้ขายไปแล้วจริงๆ”

ทันทีที่ชายชุดเทาเอ่ยคำนี้ออกมา ก็รู้สึกเพียงว่าหายใจติดขัด กลิ่นอายน่าสะพรึงประหนึ่งเขาถล่มคลื่นยักษ์โหมซัดกดดันลงมา ทำให้ร่างเขาเกร็งแน่น เกือบจะพังทลาย ณ ตรงนั้น

ก็เห็นชายหน้ากากสีเงินกล่าวเรียบๆ “ขายให้ใคร ข้าต้องการคำตอบที่แน่ชัด ขืนไม่พูดอีกข้าไม่สนหรอกนะว่าเป็นเรือนเร้นหมอกอะไร”

ทุกถ้อยคำเผยความมุ่งมั่นและบีบคั้นที่แข็งกร้าวอย่างที่สุด

ชายชุดเทาและชายชราชุดขาวต่างเหงื่อไหลพราก จิตใจสั่นผวา กลิ่นอายของอีกฝ่ายน่าสะพรึงเกินไป ทำเอาพวกเขาแทบจะทนรับไม่ไหว

“สหาย บีบบังคับผู้อื่นให้ลำบากไม่ใช่เรื่องดี”

และเวลานี้หลินสวินก็ก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว ขวางอยู่ตรงหน้าพวกชายชุดเทาอย่างไร้สุ้มเสียง มองไปยังชายหน้ากากสีเงิน

ทันใดนั้นพวกชายชุดเทาสองคนประหนึ่งคนใกล้จมน้ำตายได้รับการช่วยชีวิต แรงกดดันทั่วร่างอันตรธานหายไปทันควัน รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว

“หืม?”

สายตาชายหน้ากากสีเงินจับจ้องหลินสวิน นัยน์ตาเขาเป็นสีฟ้าคราม ดุจดั่งน้ำทะเลลึกไพศาล มีลำแสงอสนีชวนสยดสยองโคจรอยู่ภายในนั้น

หลินสวินวางตัวนิ่งเฉย สีหน้าผ่อนคลาย

ถึงแม้อานุภาพที่อีกฝ่ายสำแดงออกมาจะแข็งแกร่ง แต่ยังไม่อาจกระทบสภาวะจิตของเขาได้

“น่าสนใจ ในเมืองหลิงเฟิงเล็กๆ นี่ถึงกับได้เจอคนเช่นเจ้าด้วย”

เสียงของชายหน้ากากสีเงินเจือแววเยียบเย็น “ขอเตือนเจ้าไว้ อย่าได้ยื่นมือมาแทรกเรื่องนี้ หาไม่ในโลกใหญ่หงเหมิงนี่ เกรงว่าคงไม่มีใครช่วยชีวิตเจ้าได้”

น้ำเสียงของเขายังคงราบเรียบ แต่คำพูดกลับใหญ่โตถึงที่สุด!

หลินสวินเลิกคิ้วขึ้นกล่าวว่า “ข่มขู่หรือ”

ชายหน้ากากสีเงินกล่าว “เจ้าจะคิดแบบนั้นก็ได้”

ทันใดนั้นหลินสวินเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

คนอื่นๆ ไม่รู้สึกอะไร แต่ชายหน้ากากสีเงินกลับแข็งทื่อไปทั้งร่าง รู้สึกได้ถึงไอสังหารไร้ทัดเทียมอันน่าสะพรึงเย้ยฟ้าโอบล้อมบนร่าง ทำให้ขนทั่วกายของเขาลุกชัน

ยอดฝีมือ!

นัยน์ตาเขาหดรัด โคจรพลังทั้งร่างไปสลายโดยพลัน แต่ไม่ว่าอย่างไรล้วนไม่สามารถหลุดพ้นการกักขังของไอสังหารน่าสะพรึงสายนั้นได้

สิ่งนี้ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีทันใด

“สมบัติเป็นข้าซื้อไปเอง เจ้าแน่ใจว่าจะไม่เปลี่ยนความคิดหรือ”

หลินสวินเอ่ยปากราบๆ

“อะไรนะ”

ชายวัยกลางคนผอมแห้งที่สภาพตกอับคนนั้นร้องขึ้น “สหาย ให้ข้าซื้อคืนมาได้หรือไม่ ข้าให้ราคาสูงเลย!”

“ตอนนี้ไม่ใช่ธุระกงการของเจ้า ไสหัวไปอยู่ด้านข้าง”

ชายหน้ากากสีเงินโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง

เสียงปึงดังขึ้น ชายวัยกลางคนกระเด็นล้มห่างออกไปหลายสิบจั้งอย่างรุนแรง ในปากกระอักเลือด

“เหตุใดเจ้าถึงกลับคำ เจ้าเคยบอกว่าขอเพียงข้าไถ่สมบัติกลับมาได้ เจ้าก็จะจ่ายให้ข้าสองเท่า”

ชายวัยกลางคนซึ่งหมอบอยู่กับพื้นตะโกนลั่น สีหน้าไม่ยินยอม

คราวนี้พวกหลินสวินถึงรู้ว่าสาเหตุที่ชายวัยกลางคนต้องการไถ่สมบัติเหล่านั้นกลับคืนไป ก็เพราะถูกผลประโยชน์ล่อตาล่อใจล้วนๆ หาใช่เพราะถนอมใส่ใจในสมบัติตกทอดจากบรรพบุรุษพวกนั้นจริงๆ

และคนที่ให้คำมั่นสัญญาแก่เขา ก็คือชายหน้ากากสีเงินตรงหน้าผู้นี้

“สหาย พอจะดูออกว่าเจ้าเป็นคนที่ถือดียิ่งคนหนึ่ง แต่หากเจ้ารู้ฐานะของข้า เกรงว่าจะไม่กล้าทำเช่นนี้อีก”

ชายหน้ากากสีเงินไม่ได้สนใจชายวัยกลางคนผอมแห้งที่ตะโกนลั่นอยู่ไกลๆ สายตาเขาเอาแต่จับจ้องหลินสวินเรื่อยมา น้ำเสียงเล็กแหลม “ไม่สู้เอาแบบนี้ พวกเรามาทำการค้าขายกันสักหน ขอเพียงเจ้ามอบสมบัติเหล่านั้นออกมา ข้าจะให้ราคาเจ้าสามเท่า”

สามเท่า!

ชายชุดเทาและชายชราชุดขาวหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง ยิ่งตระหนักได้ว่าสมบัติเหล่านั้นไม่ธรรมดาถึงขีดสุดอย่างแน่นอน

หลินสวินยิ้มแล้ว เจ้าหมอนี่ตั้งแต่ต้นจนจบก็วางท่าโอหังวางตัวสูงส่ง น้ำเสียงฟังดูราบเรียบ อันที่จริงกลับเผยความจองหองอย่างที่สุดออกมา

เขายื่นมือขวาออกไป นิ้วทั้งฟ้าคว้าไปทางลำคอของชายหน้ากากสีเงิน

แผ่วเบาเรียบง่าย และไม่ถึงกับรวดเร็วเท่าใดนัก

นัยน์ตาชายหน้ากากสีเงินสะท้อนประกายเย็นเยียบ คล้ายถูกกระตุ้นต่อมเดือด รวบฝ่ามือเป็นดาบฟันขวางออกไป

วู้ม!

แสงมรรคสีเงินเจิดจ้าพุ่งออกจากฝ่ามือเขา บาดตายิ่งยวด ห้วงอากาศถูกกรีดทึ้งราวกับกระดาษเปื่อยก็ไม่ปาน

คนอื่นๆ ต่างลืมตาไม่ขึ้น จิตใจสั่นผวายกใหญ่

แต่ต่อให้เป็นฝ่ามืออันน่าสะพรึงระดับนี้ แค่ครึ่งทางก็ถูกกลืนกินดับสิ้นอย่างไร้สุ้มเสียง เสียงปึงดังคราหนึ่ง ฝ่ามือของเขาล้วนถูกซัดจนเกือบแหลก ดีดกลับไปอย่างแรง

ส่วนนิ้วทั้งห้าของหลินสวินกลับฉวยจังหวะเข้าบีบคอของอีกฝ่าย พลังพวยพุ่ง ยกอีกฝ่ายลอยขึ้นกลางอากาศในทันที

ชายหน้ากากสีเงินหวาดผวา หมายจะส่งเสียงร้อง กลับรู้สึกว่าลมหายใจติดขัด ลำคอล้วนส่อแววจวนจะถูกบีบหัก

ที่น่ากลัวที่สุดคือ พลังทั่วร่างของเขาล้วนถูกกดทับ ไม่ว่าจะโคจรอย่างไรก็ล้วนไร้เรี่ยวแรงต่อต้านและขัดขืน

เจ้าหมอนี่เป็นใคร

ในแคว้นเมฆาแห่งนี้มีพวกกร้าวแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“เจ้าเองก็เห็นแล้ว หากอยากฆ่าเจ้าก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ”

นัยน์ตาดำหลินสวินลึกล้ำ

ปึง!

เขาสะบัดข้อมือโยนชายหน้ากากสีเงินคนนี้ออกไปเหมือนทิ้งขยะ “ตอนนี้ข้าเองก็จะขอเตือนเจ้าไว้ ไสหัวไป”

ชายหน้ากากสีเงินหายใจหอบถี่หยัดตัวขึ้น บริเวณลำคอเป็นรอยนิ้วมือห้านิ้ว แดงสดดุจเลือด

เขาจ้องมองหลินสวินอยู่ครู่ใหญ่ ไม่พูดไม่จาสักคำก็หมุนตัวจากไป

หลินสวินไม่ได้ขวาง และไม่กังวลว่าจะถูกอีกฝ่ายแก้แค้น เพราะไม่ว่าจะเป็นเรือนเร้นหมอกหรือชายหน้ากากสีเงินคนนี้ ก็ไม่สามารถมองทะลุการปลอมตัวในเวลานี้ของเขาได้สักนิด

“คุณชาย คนผู้นี้เกรงว่าจะมีที่มาน่ากลัวถึงขีดสุด ท่านต้องระวังไว้หน่อย”

ชายชุดเทาเอ่ยเตือน

หลินสวินคลี่ยิ้ม ไม่ได้พูดมากความอะไร ตั้งใจจะออกไปตอนนี้

ทว่ายามกำลังจะไป ในใจเขาไหวกระตุก จึงพาชายวัยกลางคนผอมแห้งผู้นั้นไปด้วยกัน

ชายวัยกลางคนผอมแห้งสีหน้าหวาดกลัว ไม่ยินยอมเป็นที่สุด แต่มีหรือจะต่อต้านหลินสวินได้ ถูกฟาดสลบแล้วพาตัวไปตรงๆ

ออกจากตลาดมืดใต้ดิน หลินสวินก็ไม่ได้โอ้เอ้อยู่ในเมืองหลิงเฟิงอีก เปลี่ยนเป็นกายมรรคเพลิงแดงอีกครั้งแล้วมุ่งหน้าไปยังทิศที่ตั้งของสำนักยุทธ์เสวียนจี

……

เมืองหลิงเฟิง

ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

ชายหน้ากากสีเงินเดินเร่งรีบเข้าไปข้างใน สุดท้ายก็ไปยืนตรงหน้าห้องหนึ่ง

เขาสูดหายใจลึกแล้วปลดหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าลง

ทันใดนั้นกลิ่นอายทั้งตัวเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง เงาร่างสูงเพรียวแต่เดิม มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ชดช้อยนุ่มละมุนเพิ่มขึ้นมา

และรูปร่างของเขาก็เปลี่ยนเป็นงดงามสะสวย นัยน์ตาสุกใสสีฟ้าครามคู่นั้นดุจหินหยก ริมฝีปากแดงเม้มเบาๆ งดงามเป็นธรรมชาติ

มีเพียงบนลำคอขาวหิมะเรียบเนียนนั่น ยังคงเหลือรอยนิ้วมือสีแดงฉานห้ารอยเอาไว้!

ที่แท้ เขาก็คือหญิงสาวนางหนึ่งที่ปลอมตัวมา!

“นายน้อย”

นางค่อยๆ ยอบกายเอ่ยปากเสียงเบา น้ำเสียงเล็กแหลมแต่เดิมล้วนเป็นเป็นอ่อนโยนดุจสายน้ำ

บานประตูเปิดออกอย่างไร้เสียง เสียงหัวเราะสดใสร่าเริงสายหนึ่งดังลอยออกมา “จื่อเชวี่ย เหตุใดจึงกลับมาไวเช่นนี้ ภารกิจราบรื่นดีหรือไม่”

ภายในห้อง กระถางธูปหอมสัตว์มงคลฟุ้งกำจาย ชายหนุ่มชุดม่วงท่าทางเกียจคร้านคนหนึ่งเอนกายอยู่บนฟูกนุ่ม

ข้างกายเขามีหญิงสาวทรงเสน่ห์กลุ่มหนึ่งคอยปรนนิบัติ แต่ละคนล้วนงดงามดุจเซียนสวรรค์ บ้างก็อรชรหยดย้อย บ้างก็งามวิไลเลอโฉม บ้างก็ซุกซนอ้อนแอ้น…

บางคนช่วยบีบแขนนวดขา บางคนรินสุราป้อนอาหาร ปรนนิบัติอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ผิวสีทองแดงของชายหนุ่มชุดม่วงแข็งแกร่งดุจหินผา โครงหน้าหล่อเหลาคมชัดราวกับใช้มีดแกะสลักก็ไม่ปาน

โดยเฉพาะนัยน์ตาคู่นั้น เจิดจรัสดุจดวงดารา ยามเหลือบมองทอประกายทะนงตัว มีกลิ่นอายหยิ่งผยองโอหังเจืออยู่

หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าจื่อเชวี่ยใบหน้างามซีดขาว หลังเดินเข้าไปในห้องก็คุกเข่ากับพื้นกล่าวเสียงสั่น “นายน้อย ภารกิจล้มเหลวเจ้าค่ะ”

ทันใดนั้นบรรยากาศภายในห้องพลันเงียบกริบขึ้นมา การเคลื่อนไหวในมือของหญิงสาวเหล่านั้นต่างหยุดลง ล้วนทอดสายตามองไปยังจื่อเชวี่ย

บางคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น บางคนกลับเวทนาและเห็นใจอย่างที่สุด ภารกิจที่นายน้อยมอบหมายให้ ถึงกับทำพัง!

ชายหนุ่มชุดม่วงถ่มเมล็ดองุ่นในปากออกมา ค่อยหยัดตัวขึ้นนั่งบนฟูกนุ่มอย่างเกียจคร้าน กล่าวเสียงนุ่มว่า “จื่อเชวี่ยเจ้าไม่ต้องกลัว ไหนลองเล่ามาหน่อยว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่”

น้ำเสียงเขานุ่มนวล แต่จื่อเชวี่ยกลับสั่นเทิ้มไปทั้งตัว นางรู้ดีเป็นที่สุด นายน้อยผู้นี้อารมณ์แปรปรวน วิปลาสกระหายเลือดปานใด!

นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง บอกเล่าเรื่องราวในตลาดมืดใต้ดินก่อนหน้านี้ทีละเรื่อง

เมื่อฟังจบชายหนุ่มชุดม่วงก็กล่าวอย่างประหลาดใจ “ถูกคนกระตุกหนวดแล้ว? รู้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นมีฐานะใด”

จื่อเชวี่ยส่ายหน้า

ชายหนุ่มชุดม่วงหยัดตัวลุกยืน เดินไปหยุดตรงหน้าจื่อเชวี่ยที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วประคองนางขึ้นมา มองรอยนิ้วมือแดงบนลำคอขาวหิมะของนาง ก่อนกล่าวอย่างปวดใจว่า “เจ้าหมอนั่นอำมหิตเกินไปชัดๆ ไม่รู้จักถนอมหยกงามเลยสักนิด ดูสิทรมานเสี่ยวจื่อเชวี่ยของพวกเราได้ลงคอ ทำให้ข้ายังทนมองต่อไปไม่ได้”

จื่อเชวี่ยเผยสีหน้าขวยเขิน กล่าวเสียงเบา “นายน้อย บ่าวทำงานแย่เองเจ้าค่ะ”

“ไม่โทษเจ้า ใครจะไปคิดว่าเมืองหลิงเฟิงเล็กๆ นี้จะถึงกับมีผู้แข็งแกร่งที่สยบเจ้าอย่างง่ายดายโผล่ออกมาได้ เสี่ยวจื่อเชวี่ยของเราเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎราชันอริยะขั้นปลายคนหนึ่งเชียว”

ชายหนุ่มชุดม่วงตบไหล่นางเบาๆ กล่าวว่า “แต่เรื่องนี้ไม่ถือว่าจบสิ้น สมบัติพวกนั้นมีที่มายิ่งใหญ่มาก นายน้อยอย่างข้าทุ่มหยาดเหงื่อแรงใจกว่าจะสืบหาเบาะแสมาได้ไม่ง่ายดาย ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามวางมือทั้งอย่างนี้เป็นอันขาด”

กล่าวพลางเขาเคาะหัวของตัวเองเบาๆ “ข้านึกขึ้นได้แล้ว สำนักแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด รู้สึกจะชื่อสำนักยุทธ์เสวียนจีกระมัง หากจะตามหาคน ใช้พลังของพวกเขาสักหน่อยก็น่าจะพอหาพบได้อย่างรวดเร็ว”

——