ตอนที่ 1919 บังเอิญเสียจริง
ปีนั้นตอนอยู่แหล่งสถานคุนหลุน หลินสวินเคยเห็นระฆังมหามรรคไร้กฎ

และได้เข้าใจความเร้นลับมากมายผ่านพลังเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งที่สมบัติชิ้นนี้เหลือทิ้งไว้

อย่างเช่น เก้าศาสตราจักรพรรดิที่ถือกำเนิดจากเตามารดาหลอมสมบัติ แบ่งออกเป็นกระบี่เทพหนึ่งเล่ม ทวนศึกหนึ่งเล่ม โคมสำริดหนึ่งอัน ธงศึกหนึ่งด้าม ประทับมรรคหนึ่งชิ้น ขวดหยกหนึ่งใบ เกราะศึกหนึ่งชุด จานหยกหนึ่งใบ ดาบเทพหนึ่งเล่ม!

ระฆังมหามรรคไร้กฎเคยกล่าวว่า ‘เตามารดาหลอมสมบัติหล่อเก้าศาสตราจักรพรรดิเพื่อปกป้องคุนหลุน แต่ก็ด้วยละเมิดข้อห้ามจึงประสบมหาเคราะห์อย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เตามารดาหลอมสมบัติหายไปอย่างสิ้นเชิง’

‘ส่วนศาสตราจักรพรรดิเก้าชิ้นนี้ก็ซ่อนอยู่ในแดนเก้าลับนี่ ในเวลาต่อมาถูกผู้มีวาสนาคนแล้วคนเล่าเก็บเอาไป!’

ภายในนั้น ขวดหยกหนึ่งในเก้าศาสตราจักรพรรดินามว่าขวดมหามรรคไร้ขอบเขต ก็ถูกหลี่เสวียนเวยผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเก็บไปแต่แรก

ภายหลังบนเขาเทพพยับครามในดินแดนรกร้างโบราณ ก็ถูกหลินสวินได้มาด้วยความบังเอิญ

โคมสำริดดวงนั้นมีชื่อเรียกว่าโคมมหามรรคไร้มลทิน ปีนั้นตอนหลินสวินข้ามแม่น้ำขุมโลหิตในแดนมกุฎ ได้รับมาจากมือของ ‘ฝีพายโครงกระดูก’ ตนหนึ่ง

หรือก็คือ เก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุน หลินสวินได้รับมาแล้วสองอย่าง

และยามนี้เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงสุดอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นระหว่างประทับสำริด ธงเหลืองอ่อน กับก้อนทองแดงจากเตามารดาหลอมรรค หลินสวินก็นึกถึงเก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนขึ้นมาทันที!

และนึกถึงสมบัติสองชิ้นนี้…

ประทับมหามรรคไร้ชีพ!

ธรงมหามรรคไร้ระเบียบ!

จะเป็นศาสตราจักรพรรดิสองชิ้นนี้หรือไม่

ในใจหลินสวินอดตื่นเต้นไม่ได้ เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พลันพลิกฝ่ามือขึ้น ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตและโคมมหามรรคไร้มลทินก็ปรากฏออกมา

ทันใดนั้นภาพพิสดารหาใดเปรียบก็ปรากฏ

ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตและโคมมหามรรคไร้มลทินต่างเปล่งแสงพร้อมกัน บังเกิดระลอกคลื่นคลุมเครือ ผสานกับกลิ่นอายของก้อนทองแดง ประทับสำริด และธงเหลืองอ่อน ต่างฝ่ายต่างขานรับกัน พลังคลุมเครือดุจดั่งระลอกคลื่น พวยพุ่งคุกรุ่นอยู่ระหว่างสมบัติกลุ่มนี้

เป็นดังคาด!

ลมหายใจหลินสวินยังชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาดำทอประกาย สังเกตเห็นอย่างว่องไวว่าบนประทับสำริดขนาดเท่ากำปั้นอันนั้น ควบรวมอออกมาเป็นแผนภาพอันเลือนราง

ในแผนภาพหมู่ดาวพราวระยับ วัฏจักรไพศาล ภูผาธาราหมื่นลักษณ์ หมื่นชีวิตสถิตอาศัย…

ทว่าเมื่อแสงสำริดเข้มสนิทสายนั้นร่วงจากฟ้า ฟ้าดาราไร้สิ้นสุดนั้นก็แตกระเบิดพังครืนสนั่นหวั่นไหว หมู่ดาวนับไม่ถ้วนกลายเป็นผุยผง ภูผาธาราไม่มีสิ่งใดไม่มอดดับพังทลายทั้งอย่างนี้

และหมื่นชีวิตที่อาศัยอยู่ทั่วหล้าล้วนจิตสิ้นวิญญาณสลายไปด้วย!

ภาพทำลายล้างที่สะท้านโลกนั้น ทำเอาหัวใจหลินสวินยังสะเทือนไหวไปพักหนึ่ง สูดหายใจสะท้าน

สุดท้ายท่ามกลางการมอดดับไร้สิ้นสุด มีเพียงประทับมรรคสายนั้นลอยผลุบโผล่ แผ่แสงสำริดคลุมเครือลึกลับออกมา…

ตูม!

เมื่อได้เห็นถึงตรงนี้ แผนภาพนี้ก็สลายไป บนพื้นผิวประทับสำริดที่วางอยู่นิ่งๆ ในหีบกลับปรากฏลายมรรคเป็นสายๆ วาดเป็นอักษรมรรคที่เก่าแก่มั่นคง…

ไร้ชีพ!

ใต้มหามรรค มีมรณะไร้ชีพ!

ประทับสำริดที่ดูเหมือนไม่สะดุดตานี้ ความจริงแล้วก็คือประทับมหามรรคไร้ชีพ หนึ่งในเก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนอย่างไม่ต้องสงสัย!

สวบ!

ไม่รอให้หลินสวินตอบสนอง แสงเจิดจ้าสว่างไสวสายหนึ่งไหลทะลักออกมาจากธงเหลืองอ่อนผืนนั้นทันที

ผืนธงพลิกสะบัดดังพรึ่บ แสงมรรคพร่างพราวราวกับฝนหมอกโปรยปรายออกมา

ฉับพลันนั้นหลินสวินขนลุกขนพอง

แสงมรรคอันพร่างพราวเหล่านี้ ดูเหมือนภาพฝันมายางดงาม ทว่าความรู้สึกที่มอบให้ผู้คนกลับเหมือนเทพกระบี่แห่งยุคมาเยือนโลกหล้า

แสงมรรคแต่ละสายดั่งปราณกระบี่สูงสุดที่สามารถเบิกฟ้าแหวกปฐพี!

เสมือนว่าขอเพียงธงเหลืองอ่อนยินยอม แสงมรรคไร้สิ้นสุดนี้ก็พร้อมจะเปลี่ยนเป็นพลังเข่นฆ่าอันน่าสะพรึง ไม่ว่าจะหลบซ่อนอยู่ที่ใดก็หนีไม่พ้นพลังเข่นฆ่าระดับนี้!

เวลานี้พลังต่อสู้ของหลินสวินน่ากลัวปานใด ทว่ายามเห็นแสงมรรคพร่างพราวเหล่านี้กลับใจเต้นเนื้อกระตุก รู้สึกว่ามหันตภัยมาอยู่ตรงหน้า ร่างกายล้วนเครียดเกร็งขึ้นมา

สุดท้ายแสงมรรคที่พร่างพราวบาดตา โปรยปรายดุจสายฝนเหล่านี้ล้วนสงบนิ่งเก็บงำอย่างไร้สุ้มเสียง อันตรธานหายเข้าไปในธงเหลืองอ่อน

และบนผืนธงก็ปราฏลายมรรคสองสายออกมาเช่นเดียวกัน ล่องลอยดุจกระบี่ เบาหวิวดั่งขนนก…

ไร้ระเบียบ!

ไร้รูปแบบแน่ชัด ไร้วิธีตายตัว แปรผันหมื่นลักษณ์ แทรกซึมทุกแห่งหน!

เห็นชัดว่าเป็นอย่างที่หลินสวินคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ ธงเหลืองอ่อนผืนนี้ก็เป็นหนึ่งในเก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนด้วยเช่นกัน มีนามว่าธงมหามรรคไร้ระเบียบ!

เวลานี้หลินสวินยินดีล้นใจ คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าแค่เดินเข้าไปในตลาดมืดใต้ดินหนเดียวเท่านั้น ถึงกับทำให้ตนเก็บวาสนาชิ้นโตเช่นนี้มาได้อย่างน่าคาดไม่ถึง

เขาเก็บก้อนทองแดง ขวดไร้ขอบเขต โคมไร้มลทิน จากนั้นก็ชูมือขึ้นโบก และหยิบประทับไร้ชีพและธงไร้ระเบียบที่รูปร่างลักษณะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงออกมา

มองสำรวจอย่างถี่ถ้วน สมบัติสองชิ้นที่ก่อนหน้านี้ไร้ซึ่งพลังวิเศษ ปราศจากระลอกคลื่นกลิ่นอายใดๆ ซ้ำยังไม่สะดุดตาสักนิด

แต่ยามนี้ประทับไร้ชีพเผยกลิ่นอายชวนสยองอันหนักอึ้ง เย็นยะเยือกออกมา ถือไว้ในมือราวกับประคองภูเขาเทพดึกดำบรรพ์ลูกหนึ่ง

ส่วนธงไร้ระเบียบกลับเบาดุจไร้วัตถุ สัมผัสไม่ได้ถึงน้ำหนักใดๆ ถือไว้ในมือผืนธงพลิ้วไหว ประกายแสงวาววับ ให้ความรู้สึกเบาหวิวไม่แน่นอนแก่ผู้คน

สุดท้ายหลินสวินก็ยังคงฝืนระงับแรงกระตุ้นภายในใจเอาไว้ ไม่ได้ไปลองอานุภาพของศาสตราจักรพรรดิสองชิ้นนี้ทันที

‘เซิงหย่วนตู้บอกว่า ‘จี้เย่’ บรรพบุรุษของเขาเคยเข้าไปในแหล่งสถานคุนหลุน ตอนออกมาได้นำสมบัติเหล่านี้ออกมาด้วย ในนั้นยังมีศาสตราจักรพรรดิสองชิ้น ดูจากจุดนี้ ‘จี้เย่’ คนนี้จะต้องเป็นพวกน่าสะพรึงที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่งแน่ๆ!’

แววตาหลินสวินลุ่มลึก เริ่มครุ่นคิดขึ้นมา

แหล่งสถานคุนหลุนกับคีรีดวงกมลมีความเชื่อมโยงแน่นแฟ้นต่อกัน

อย่างในแดนลับท้อแบน เคยมีร่องรอยของศิษย์พี่ผู้ผงาดผยองทะยานฟ้าคนนั้นเหลือทิ้งไว้ จนถึงตอนนี้ยังมีหญิงที่เงาร่างดุจพยับหมอกสีม่วงคนหนึ่งเฝ้ารอศิษย์พี่คนนี้กลับมาอย่างเงียบๆ

ในแดนลับบนยอดเขาพญามังกร ศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยเคยเข้าไปข้างใน นำขวดมหามรรคไร้ขอบเขตออกมา

ในแท่นสักการะหนึ่งในสามแดนผนึกของแหล่งสถานคุนหลุน ศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผูกำราบจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนที่ใต้ยอดเขากักเทพสวรรค์

มรดกตกทอดของบรรพจารย์คีรีดวงกมลทิ้งไว้บนแท่นสักการะ!

เรื่องราวทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่พิสูจน์ว่า ระหว่างสำนักคีรีดวงกมลกับแหล่งสถานคุนหลุน จะต้องมีความเกี่ยวข้องที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้อย่างแน่นอน

และยามนี้หลินสวินยังอดสงสัยไม่ได้ ว่า ‘จี้เย่’ ที่นำศาสตราจักรพรรดิสองชิ้นอย่างประทับไร้ชีพกับธงไร้ระเบียบออกมาพร้อมกันในปีนั้น จะมีความเกี่ยวข้องกับคีรีดวงกมลด้วยหรือไม่

ครุ่นคิดเนิ่นนานหลินสวินก็ยังคิดไม่ตก จึงไม่คิดมากอีก

รอภายหน้ายามได้พบศิษย์พี่ชายหญิงจากคีรีดวงกมลคนอื่นๆ อีกครั้ง ลองถามดูว่าพวกเขาเคยได้ยินชื่อ ‘จี้เย่’ นี้หรือไม่ก็สิ้นเรื่องแล้ว

หลินสวินเก็บประทับไร้ชีพและธงไร้ระเบียบ สายตาก็มองไปยังดินสีเทาก้อนหนึ่งรวมถึงไม้เทพเน่าเปื่อยท่อนหนึ่งที่เหลือยู่ในหีบสำริด

สองชิ้นนี้ เป็นสมบัติระดับใดกันแน่

ขณะที่หลินสวินกำลังหมายจะตรวจสอบดู นอกถ้ำสถิตจู่ๆ ก็มีเสียงของเหิงเซียวดังมา…

“สหายน้อย ขอรบกวนแล้ว เกิดเรื่องใหญ่ที่ไม่บอกไม่ได้จริงๆ”

หลินสวินพลันโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เก็บหีบสำริดเอาไว้แล้วเดินออกจากถ้ำสถิต

“สหายยุทธ์ เกิดเรื่องใดหรือ”

ด้านนอกถ้ำสถิตเหิงเซียวยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว สีหน้าอึมครึม หัวคิ้วขมวดมุ่น สิ่งนี้ทำให้หลินสวินอดประหลาดใจน้อยๆ ไม่ได้

“ก่อนหน้านี้ข้าไปพบแขกที่มาเยือนจากแคว้นกลางมรรคคนนั้น และได้รู้ฐานะของแขกพิเศษคนนั้นแล้ว”

เหิงเซียวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ฟังทีละอย่าง

ที่แท้ยามเขามุ่งหน้าไปโถงใหญ่รับแขก ก็พบเข้ากับคนขบวนหนึ่ง ผู้นำคือชายหนุ่มชุดม่วงท่าทางเกียจคร้านคนหนึ่ง ทว่าทุกท่วงท่าอิริยาบถกลับมีอานุภาพแห่งนายเหนือหัวมาเยือนโลก

ข้างกายชายหนุ่มชุดม่วงรายล้อมด้วยหญิงงามแห่งยุคกลุ่มหนึ่ง ยิ่งขับให้เขาเหนือธรรมดาขึ้นอีก

จากการสนทนา เหิงเซียวถึงได้รู้ว่าชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้ชื่อจวนอวี๋เหิง มาจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลจวนอวี๋ ตั้งแต่เด็กก็กราบอาจารย์เข้าฝึกปราณที่เรือนมรรคจักรวาล ยามนี้เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดแกนหลักของเรือนมรรคจักรวาล เป็นพวกที่เหมือนปีศาจแห่งยุคคนหนึ่ง

เมื่อได้ยินชื่อจวนอวี๋เหิงนี้ นัยน์ตาหลินสวินพลันทอประกายพิกลออกมา นึกถึงตอนอยู่บนแท่นสักการะ หนึ่งในแดนสามผนึกแหล่งสถานคุนหลุนในปีนั้น ในหมู่ผู้แข็งแกร่งที่ประสบความสำเร็จในการไปถึงแท่นสักการะในตอนสุดท้าย ก็มีจวนอวี๋เหิงผู้นี้ด้วย!

“คนผู้นี้มุ่งหน้ามาเพราะอยากบยืมพลังสำนักยุทธ์เสวียนจีของข้า ไปค้นหาและจับตัวผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่เคยปรากฏตัวในตลาดมืดใต้ดินของเมืองหลิงเฟิง”

“ตอนที่ข้าได้เห็นภาพวาดของผู้แข็งแกร่งที่ถูกประกาศจับคนนี้…”

เหิงเซียวกล่าวถึงตรงนี้ สายตาก็เปลี่ยนเป็นพิกลขึ้นมา

หลินสวินชี้ปลายจมูกของตน “หาข้าหรือ”

เหิงเซียวพยักหน้า ยิ้มขื่นกล่าว “จวนอวี๋เหิงนี่เอาฐานะและภูมิหลังมาบีบข้า ซ้ำยังสัญญาว่าขอเพียงสามารถจับเจ้าได้ ต่อไปหากสำนักยุทธ์เสวียนจีมีเรื่องให้ช่วยเหลือ เขาก็จะช่วยเหลือเต็มกำลัง”

“ข้าย่อมไม่เชื่อคำปลิ้นปล้อนพรรค์นี้อยู่แล้ว แต่ตอนรับหน้ากลับไม่อาจไม่ตอบตกลงข้อเรียกร้องของเขา ดังนั้นตอนที่ส่งขบวนของพวกเขากลับไปจึงมุ่งหน้ามาหาสหายน้อยทันที”

หลินสวินเข้าใจกระจ่างแล้ว

ชายหน้ากากสีเงินคนนั้นที่เจอในตลาดมืดใต้ดิน คงไม่ใช่จวนอวี๋เหิง แต่ต้องเกี่ยวข้องกับจวนอวี๋เหิงแน่

สาเหตุที่อยากยืมมือสำนักยุทธ์เสวียนจีมาจับตน ก็ไม่พ้นทำไปเพื่อสมบัติในหีบสำริดใบนั้นอย่างแน่นอน!

“ช่างบังเอิญเสียจริง”

หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อย เงาร่างพริบไหว บัดนั้นกลิ่นอายพลันเปลี่ยนไป ได้โคจรกายมรรคดินเหลืองมาแทนที่ร่างเดิม ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน

เหิงเซียวอึ้งค้าง เบิกตากว้าง มองสำรวจหลินสวินอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยกล่าวว่า “เป็นวิชาปลอมตัวที่วิเศษนัก!”

เขาเป็นถึงกึ่งจักรพรรดิ แต่กลับไม่อาจมองทะลุร่องรอยใดๆ ได้สักเสี้ยว

อีกทั้งเขานึกถึงก่อนหน้านี้ในศึกถกมรรคแคว้นเมฆา หลินสวินก็ใช้ลักษณะเช่นนี้ปรากฏตัวต่อคนทั่วหล้า!

หลินสวินยิ้มกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ จวนอวี๋เหิงอยากหาข้าให้เจอ เกรงว่าคงไม่มีหวังแล้ว”

เหิงเซียวก็ยิ้มเช่นกัน “เป็นเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว”

แต่ในยามนี้เอง หลินสวินหน้าเปลี่ยนสี เพราะภายในกายของเขา ศาสตราจักรพรรดิสี่ชิ้นอย่างขวดไร้ขอบเขต โคมไร้มลทินประทับไร้ชีพ ธงไร้ระเบียบถึงกับเกิดระลอกคลื่นแปลกพิสดารขึ้นมา

และพร้อมกันนั้น เศษเสี้ยวของเตามารดาหลอมสมบัติก็เริ่มสั่นระริกดังกระหึ่มขึ้นม

สิ่งนี้ทำให้หลินสวินฉุกคิดขึ้นมาได้ทันควัน ปีนั้นตอนที่อยู่แหล่งสถานคุนหลุน ระฆังมหามรรคไร้กฎเคยกล่าวประโยคหนึ่งเอาไว้

“สหายน้อย ภายหน้าหลังจากเจ้าออกจากแหล่งสถานคุนหลุน หากพบเห็นผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่ในมือถือ ‘เก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุน’ ก็จะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองสุดแสนอัศจรรย์ขึ้น เช่นเดียวกัน เจ้าเองก็จะถูกตอบสนองตั้งแต่จังหวะแรก เป็นพรหรือเป็นภัยก็ยากจะบอกแล้ว”

และยามนี้ การเคลื่อนไหวแปลกประหลาดของศาสตราจักรพรรดิอย่างขวดไร้ขอบเขต เสมือนกำลังพิสูจน์คำพูดของระฆังมหามรรคไร้กฎ!

“ฮ่าๆ น่าสนใจ เจ้าสำนักเหิงเซียว ใครจะไปคาดคิด คนที่ข้าอยากตามหา ถึงกับบังเอิญซ่อนตัวอยู่ในสำนักยุทธ์เสวียนจีของพวกท่าน”

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะดังลั่นสายหนึ่งก็ดังก้องมาจากที่ไกลๆ ซัดขยี้ชั้นเมฆสิบฝ่าย

พร้อมๆ กับเสียงหัวเราะลั่น เงาร่างกำยำสีม่วงสายหนึ่ง ภายใต้วงล้อมของหญิงสาวทรงเสน่ห์ทั้งกลุ่ม เคลื่อนมาเยือนอย่างแผ่วเบา

เหิงเซียวหน้าเปลี่ยนสีทันควัน จวนอวี๋เหิงนี่ถึงกับไม่ยอมจากไป!

——