ตอนที่ 1942 โคมราชวังแปดเหลี่ยมสีม่วง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 1942 โคมราชวังแปดเหลี่ยมสีม่วง
“ท่านพ่อ ท่านยังไม่รู้อีกหรือ ต่อให้คนพวกนั้นดีแค่ไหนก็ล้วนไม่เข้าตาข้า!”

ซย่าเสี่ยวฉงกล่าวฮึดฮัด แทบทนไม่ไหวอยากกัดบิดาที่ไม่เอาจริงเอาจังคนนี้ของตนสักที

ซย่าสิงเลี่ยกลั้นยิ้ม กล่าวว่า “แต่ข้าคิดว่าจินตู๋อีนั่นก็ไม่เลวทีเดียว เจ้าลองฟังชื่อดูสิ เป็นหนึ่งไม่มีสอง อหังการจะตาย”

เห็นว่าซย่าเสี่ยวฉงโมโหจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา ซย่าสิงเลี่ยก็ไม่กล้าหยอกเล่นอีก รีบกล่าวเป็นพัลวัน “เอาล่ะๆ ก่อนหน้านี้พ่อล้อเจ้าเล่น”

ซย่าเสี่ยวฉงกะพริบตาละห้อยกล่าวว่า “ท่านพ่อ เช่นนั้นท่านก็ควรบอกข้าหน่อยสิ ว่าพี่หลินสวินอยู่หรือไม่อยู่ในงานชุมนุมถกมรรคนี้”

“อยู่”

ซย่าสิงเลี่ยตอบโดยไม่ลังเล

ดวงตาดำสนิทสุกใสของซย่าเสี่ยวฉงพลันทอประกายวาวขึ้นมาทันที ทั้งตัวเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายน่าทึ่งออกมาทันใด กล่าวว่า “เขาอยู่ไหน”

ในใจซย่าสิงเลี่ยนึกเขม่นอีกระลอก นางหนูคนนี้ลุ่มหลงจนขาดสติไปแล้วหรือ เหตุใดจึงเอาแต่คิดถึงคะนึงหาแต่เจ้าหมอนั่น

นี่จะให้จักรพรรดิกระบี่ยอดมารผู้สูงสง่าอย่างเขารับไหวอย่างไรกัน

“รอตอนงานชุมนุมถกมรรคปิดม่าน เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”

เนิ่นนานซย่าสิงเลี่ยค่อยกล่าวอย่างหมดเรี่ยวแรง

แม้จะเป็นเช่นนี้ซย่าเสี่ยวฉงก็พอใจมากแล้ว นางเงยใบหน้าน้อย จับจ้องม่านแสงที่แสดงภาพในแดนลับโลกาสวรรค์ กล่าวด้วยความใฝ่ปรารถนาเต็มอก “รอให้พบพี่หลินสวิน ข้าจะเชิญเขาไปเป็นแขกที่ตำหนักมหามรรคเก้าฟ้าของพวกเราให้ได้…”

ซย่าสิงเลี่ยอึ้งไป ยิ่งหมดเรี่ยวแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

“ท่านพ่อ ‘สุราแสงเทพ’ ที่ท่านเก็บไว้ไม่ใช่ว่ายังมีอยู่ขวดหนึ่งหรือ ถึงตอนนั้นข้าจะเอามารับรองพี่หลินสวิน”

เมื่อได้ยินประโยคนี้มุมปากซย่าสิงเลี่ยกระตุกแรงๆ คราหนึ่งแล้ว นางเด็กสมควรตายนี่ เพื่อเจ้าหนุ่มนั่น ถึงขั้นเริ่มวางแผนถลุงสมบัติก้นกรุของข้าซะแล้ว!

นี่ช่าง…

บุตรสาวใช้การไม่ได้จริงๆ…

ซย่าสิงเลี่ยปวดจิตระทมใจ เศร้าโศกสารพัด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ภายหน้าจะทำอย่างไรดีเล่า

แดนลับโลกาสวรรค์

หลินสวินรู้สึกเพียงว่าฟ้าหมุนดินเคลื่อนระลอกหนึ่ง ภาพเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไป จากนั้นก็ปรากฏตัวในหุบเขาแห่งหนึ่ง

สวบ!

ดาบหักพุ่งโฉบออกมาฉับพลัน เคลื่อนรอบตัวหลินสวิน สำรวจทุกซอกอย่างรอบคอบ หลังจากสัมผัสได้ว่าไม่มีอันตรายแล้วถึงค่อยผ่อนคลายลงไม่น้อย

เขาพลิกฝ่ามือ ก็มียันต์หยกชิ้นหนึ่งปรากฏเพิ่มขึ้นมา ทำมาจากกระดูกสัตว์สีเขียวน่าพิศวงชนิดหนึ่ง บนนั้นประทับลวดลายมหามรรคที่เหมือนไส้เดือนไม่มีผิด

นี่ก็คือยันต์ชีวิต

หากหายไป ก็หมายความว่าถูกคัดออกจากการแข่งขัน!

หลินสวินเก็บยันต์ชีวิตไว้ ไม่ได้รีบร้อนเคลื่อนไหว บริเวณใกล้เคียงหุบเขาแถบนี้มีเพียงเขาคนเดียว อย่างน้อยก็ยังปลอดภัยไปอีกระยะหนึ่ง

‘ยิ่งได้ยันต์มามาก ก็หมายความการเข่นฆ่าที่ต้องพบเจอยิ่งมีมาก ข้าไม่ฆ่าคนอื่น คนอื่นต้องฆ่าข้า…’

หลินสวินใคร่ครวญ หากหนึ่งต่อหนึ่ง เขาไม่ต้องเกรงกลัวใครทั้งนั้น แต่พวกที่หาพันธมิตรร่วมกันเคลื่อนไหวเหมือนอย่างพวกลู่ตู๋ปู้ เซี่ยอวี่ฮวาต้องมีไม่น้อยเป็นแน่

นี่ทำให้หลินสวินเองก็ไม่อาจไม่ระวังตัว

โดยเฉพาะคนอย่างพวกหลิงหงจวง หวงฝู่เซ่าหนงพวกนี้ หากเป็นพันธมิตรร่วมมือกันเคลื่อนไหว นั่นย่อมเป็นภัยคุกคามยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งแน่นอน

เนิ่นนานหลินสวินก็ตัดสิน

เขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เริ่มเคลื่อนไหวในหุบเขาแถบนี้

ธงกระบวนที่เขาพกติดตัวมาหลายด้ามโปรยปรายดุจสายน้ำไหล เสียบเข้าไปในพื้นที่แตกต่างกันของหุบเขา

ครู่ใหญ่กระบวนผนึกลายมรรคแห่งหนึ่งพลันก่อตัวขึ้น

“เร้น!”

เมื่อหลินสวินทำมุทรา กระบวนผนึกที่คลุมเครือแปลกพิสดารแห่งนี้พลันหายวับไปเงียบๆ อันตรธานหายไปจากฟ้าดิน

‘กระต่ายเจ้าเล่ห์ยังมีสามโพรง นับประสาอะไรกับคน’

หลินสวินปัดมือเบาๆ ลอบกล่าวในใจ ‘ต่อให้เกิดอันตราย อย่างน้อยก็มีสถานที่ให้พอหลบภัยได้’

ในแดนลับโลกาสวรรค์นี้ สำหรับหลินสวินสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่คู่ต่อสู้แข็งแกร่งแค่ไหน หากแต่เป็นการได้รับบาดเจ็บระหว่างโรมรันต่อสู้

หากบาดเจ็บ ต่อให้แข็งแกร่งระดับพวกหลิงหงจวง หวงฝู่เซ่าหนง เกรงว่าก็คงถูกสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องเป็นแน่!

ถึงอย่างไรผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้ได้แทบจะเป็นพวกชั้นยอดในหมู่ระดับมกุฎราชันอริยะ แต่ละคนล้วนเป็นพวกทรงอิทธิพล มีปราณเหนือขั้นสมบูรณ์ในระดับนี้กันแล้วทั้งนั้น ความแตกต่างของพลังต่อสู้ระหว่างกันไม่ได้มากนัก

ระหว่างบุคคลระดับนี้ หากต่างฝ่ายต่างร่วมมือกัน จับมือร่วมกันเคลื่อนไหวอีก แค่คิดก็รู้ว่าภัยคุกคามนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน

หลินสวินวางกระบวนผนึกในบริเวณนี้ก็เป็นการป้องกันภัยล่วงหน้า เพื่อเลี่ยงไม่ให้ยามประสบสถานการณ์อันตรายอะไร จะได้ไม่ต้องถูกฆ่าจนไม่มีที่ให้หลบ

‘จากนี้ต้องรีบรวมตัวกับเสวียนเยวี่ย หากร่วมเคลื่อนไหวพร้อมกับพวกลู่ตู๋ปู้ได้ ก็เป็นวิธีที่มั่นคงทีเดียว…’

‘ไม่ว่าอย่างไรการเคลื่อนไหวถัดไปก็ต้องระมัดระวังตัว หากบังเอิญพบคู่ต่อสู้ ฆ่าได้ก็ฆ่า ฆ่าไม่ได้ก็รีบเผ่นหนี…’

ขณะคิดพิจารณา เงาร่างหลินสวินพลันโฉบวูบพุ่งไปยังบริเวณไกลๆ

บนยอดเขาหลักโลกาสวรรค์ ระดับจักรพรรดิทั้งกลุ่มอย่างพวกไท่ซูหงต่างให้ความสนใจการเคลื่อนไหวในแดนลับโลกาสวรรค์

ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคิดว่าผู้สืบทอดของตนไม่ธรรมดา ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร แต่หลังจากสังเกตโดยละเอียดแล้ว พวกเขาต่างพบว่า… ผู้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้ แต่ละคนล้วนฉลาดจัดจ้าดเป็นที่สุด ล้วนมีฝีมือน่าเหลือเชื่อมากมาย ไม่ว่าคนไหนก็ไม่น่าหาเรื่อง

เช่นหลังเข้าสู่แดนลับโลกาสวรรค์ ก็มีคนเรียกหุ่นกระบอกกลุ่มหนึ่งออกมา กระจายตัวกันช่วยเบิกทางทันที

มีคนเงาร่างแปรเปลี่ยนเป็นฝุ่นทรายตลบฟ้า อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย

บ้างก็ควบคุมแมลงพิษที่ดุจดั่งน้ำไหลเชี่ยวกรากออกมา…

“ตอนนี้คนหนุ่มสาวเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าพวกเราในปีนั้นมากโขแล้ว แต่ละคนฝีมือเด็ดๆ ทั้งนั้น”

มีระดับจักรพรรดิหัวเราะพลางทอดถอนใจ

“เส้นทางแห่งมหามรรคย่อมเป็นคนรุ่นใหม่ชนะคนเก่าอยู่แล้ว เจ้าดูสิ ถึงกับยังมีคนกลายร่างเป็นลำธารสายหนึ่ง ผสานเข้าไปในฟ้าดินของแดนลับโลกาสวรรค์ด้วย”

“เจ้าหมอนั่นยอดมาก เพิ่งเข้าแดนลับโลกาสวรรค์ก็โจมตีสังหารไปคนหนึ่ง ชิงยันต์ชีวิตแรกได้แล้ว เขาเป็นใครกัน”

“ไม่รู้จัก”

“ดูเหมือนจะเป็นปีศาจน้อยจากโลกอื่น”

บุคคลระดับจักรพรรดิเหล่านี้พูดคุยหัวเราะกันไป ท่าทางผ่อนคลายนัก

และมีคนสังเกตเห็นวิธีวางกระบวนของหลินสวินแล้ว อดหัวเราะร่วนพลางชื่นชมไม่ได้ “เจ้านี่หลักแหลมนัก เตรียมทางหนีทีไล่ให้ตัวเองก่อน”

ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา ซย่าสิงเลี่ยที่กำลังร่ำสุราอยู่ก็วางจอกสุราลงกล่าวว่า “เจ้าหมอนี่ไม่ใช่แค่หลักแหลมหรอก หากไม่ผิดคาด ในจำนวนหนึ่งร้อยแปดคนที่เข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณ จะต้องมีเจ้าหนุ่มนี่เป็นหนึ่งในนั้นแน่”

เมื่อประโยคนี้ดังขึ้น ทำเอาระดับจักรพรรดิไม่น้อยอึ้งไป

เพราะทุกคนต่างมองออกว่าจินตู๋อีนั่นหาใช่พวกเฉิดฉายจากสำนักมรรคเก่าแก่อะไร เป็นเพียงอันดับหนึ่งศึกถกมรรคแคว้นเมฆาก็เท่านั้น

แต่ตอนนี้จักรพรรดิกระบี่ยอดมารกลับดูคล้ายให้ความสำคัญกับคนรุ่นเยาว์คนหนึ่งเช่นนี้

“คงไม่ใช่เพราะเจ้าหมอนี่เคยโจมตีข่งเจาที่หน้าประตูภูเขาได้หรอกกระมัง”

มีคนหัวเราะกระเซ้า

นี่ทำให้จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ขมวดคิ้ว ตวัดตามองซย่าสิงเลี่ย “สหายยุทธ์คิดเช่นนี้จริงๆ หรือ”

“แน่นอน”

ซย่าสิงเลี่ยน้ำเสียงสบายๆ “ข้าไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของพวกเจ้า แค่อยากบอกว่าจินตู๋อีคนนี้ร้ายกาจกว่าที่พวกเจ้าคิด ถ้าไม่เชื่อ ถ่างตารอดูก็พอ”

เขากล่าวเช่นนี้ย่อมคิดพิจารณาดีแล้ว ถ้าหากหลินสวินสำแดงฝีมือได้น่าตกใจเกินไป มีการเกริ่นนำในตอนนี้ อย่างน้อยก็ทำให้เหล่าจักรพรรดิในที่นี้ไม่ถึงขั้นตกอกตกใจกันเกินไป

หาไม่จะต้องเรียกความสนใจจากเจ้าเฒ่ามากมายอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าใครจะชักคลื่นลมอะไรมาสู่หลินสวิน

ถึงอย่างไรต่อให้วิชาปลอมตัวจะพลิกฟ้าแค่ไหน หากถูกระดับจักรพรรดิทั้งกลุ่มหมายหัว มีหรือจะแยบยลไร้ช่องโหว่ได้จริงๆ

ในใจจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นค่อนข้างไม่สบอารมณ์ รู้สึกว่าซย่าสิงเลี่ยกำลังพุ่งเป้าไปยังข่งเจา รวมถึงเพ่งเล็งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของตนอยู่

แต่ติดที่ฐานะของจักรพรรดิกระบี่ยอดมาร เขาเองก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรอีก

ควรรู้ว่าจอมมารอย่างซย่าสิงเลี่ยมีอารมณ์แปรปรวนผิดธรรมดา หากระเบิดขึ้นมาก็ไม่สนงานชุมนุมถกมรรคอะไรทั้งนั้น ใครก็ขวางไม่อยู่

มีเพียงซย่าเสี่ยวฉงที่เผยแววฉงนทั่วใบหน้า เหตุใดท่านพ่อถึงให้ความสนใจจินตู๋อีนั่นขนาดนี้ คงไม่ใช่เพราะนั่นเป็นพี่หลินสวินปลอมตัวมากระมัง

เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็เริ่มใหความสนใจจินตู๋อีเช่นกัน

ซย่าสิงเลี่ยสังเกตเห็นภาพนี้ ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ดูสิ นี่ก็คือบุตรสาวของข้าซย่าสิงเลี่ย เหตุใดจึงฉลาดปราดเปรื่องนัก

เพิ่งออกจากหุบเขานั่นไม่นานนัก

ตูม!

คลื่นการต่อสู้ระลอกหนึ่งก็ลอยมาจากไกลๆ

หลินสวินแทบจะโคจรไอซวนหนีทันที ทั้งตัวดุจดั่งกลายเป็นโปร่งแสง กลิ่นอายรอบตัวล้วนถูกปิดบัง ขยับเข้าใกล้อย่างไร้สรรพเสียง

เห็นเพียงบนพื้นที่รกร้างสีเลือดไกลๆ กำลังมีการต่อสู้ครั้งใหญ่ปะทุขึ้น ฝ่ายหนึ่งมีห้าคน อีกฝ่ายหนึ่งมีสองคน ต่างฝ่ายต่างสำแดงอภินิหารวิชามรรค เข่นฆ่ากันดุเดือด…

ชั่วขณะเดียวฟ้าดินเปลี่ยนสี ประกายศักดิ์สิทธิ์ก้องกระหึ่ม

คนพวกนี้เป็นบุคคลสะดุดตาจากแคว้นต่างๆ ในโลกใหญ่หงเหมิง แต่ละคนล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอด เมื่อเริ่มโรมรันสู้กันขึ้นมา พลังทำลายล้างย่อมน่าตกใจยิ่ง

แต่ว่าแดนลับโลกาสวรรค์นี้วิเศษอัศจรรย์ยิ่งยวด กลางภูผาธาราฟ้าดินปิดครอบด้วยพลังกฎระเบียบคลุมเครือที่ไม่อาจหยั่งรู้ ทำให้พลังทำลายล้างของการต่อสู้ครั้งนี้เบากว่าที่จินตนาการมากโข

หากเปลี่ยนเป็นโลกภายนอก การต่อสู้ตะลุมบอนกันระหว่างมกุฎราชันอริยะย่อมสามารถผลาญภูเขาเผาทะเล ซัดถล่มภูผาธารากว้างแถบหนึ่งได้อย่างแน่นอน แต่ที่แดนลับโลกาสวรรค์ กลับยากจะสัมผัสถึงเนินเขาสั่นสะเทือน

นี่ก็คือความแตกต่างของกฎระเบียบฟ้าดิน

“ทุกท่านไม่ต้องสู้กันอีกแล้ว พื้นที่บริเวณนี้อย่างน้อยก็มีผู้แข็งแกร่งสิบกว่าคนซุ่มอยู่ ขืนยังสู้กันต่อมีแต่จะปล่อยให้ชาวประมงได้ประโยชน์”

ในการต่อสู้ดุเดือด ชายชุดดำคนหนึ่งโพล่งเสียงดัง

“อะไรนะ สิบกว่าคนหรือ” คนอื่นๆ ล้วนใจสะท้าน

ใครต่างไม่รู้แน่ชัดว่าแดนลับโลกาสวรรค์กว้างใหญ่เพียงใด ยังนึกว่าเป็นเพียงแค่การต่อสู้ดุเดือดครั้งหนึ่งเท่านั้น ภายในเวลาสั้นๆ คงไม่เรียกผู้อื่นมาได้หรอกกระมัง แต่ใครเลยจะคิด มีคนซุ่มเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียงนานแล้ว!

ฮูม…

จิตรับรู้ของพวกเขาแผ่กว้าง เริ่มทำการสัมผัสและสืบค้น

แต่ในเวลานี้ชายชุดดำที่โพล่งขึ้นมาแรกสุดก่อนหน้านี้ก็หัวเราะเสียงดังทันควัน “โคมเรียกวิญญาณผลาญปฐม ทะยาน!”

ในมือเขามีโคมราชวังแปดเหลี่ยมสีม่วงดวงหนึ่งลอยออกมา ไส้โคมไหววูบ ปลดปล่อยรุ้งวิเศษเปลวเพลิงอันเจิดจ้าเป็นสายๆ ออกมากะทันหัน

จิตรับรู้ที่ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นปลดปล่อยออกไปคล้ายถูกเปลวเพลิงเป็นสายๆ พันธนาการไว้ เริ่มลุกไหม้รุนแรงขึ้นมา

เบื้องหน้าคนไม่น้อยพลันดำมือ จิตวิญญาณเจ็บปวดรุนแรง ส่งเสียงอู้อี้ออกมา

“แย่แล้ว นี่เป็นสมบัติลับที่เล่นงานจิตวิญญาณ!”

“สมควรตาย เจ้านี่โกหก!”

เสียงตะโกนดังกึกก้อง ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้แต่ละคนล้วนเป็นพวกสะดุดตาถึงขีดสุด แต่เวลานี้กลับเลือกหนีโดยไม่ลังเล

“จะหนีรอดหรือ”

ชายชุดดำคนนั้นหัวเราะลั่น เหนือศีรษะโคมราชวังแปดเหลี่ยมสีม่วงลอยวน เงาร่างไหววูบ ฟันหนึ่งดาบออกไปโดยพลัน

ฮูม…!

คนผู้หนึ่งหนีไม่ทัน ถูกพลังดาบเจิดจ้าระฟ้าปิดครอบ เห็นอยู่ว่าใกล้จะตายแล้ว ก็เห็นห้วงอากาศพลันพลิกม้วนรอบหนึ่ง หอบคนผู้นี้ออกจากแดนลับโลกาสวรรค์

ยันต์ชีวิตสีเขียวที่แต่เดิมเป็นของคนผู้นี้ก็ร่วงหล่นตามไปด้วย ถูกชายชุดดำคนนั้นคว้าไว้ในมือ

เขาไม่ได้หยุดชะงักแม้แต่น้อย หัวเราะลั่นพลางพุ่งสังหารใส่ผู้แข็งแกร่งอีกคน

โคมราชวังแปดเหลี่ยมสีม่วงที่ลอยเหนือศีรษะเคลื่อนโคจร รุ้งวิเศษเปลวเพลิงที่ปลดปล่อยออกมากักขังร่างผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นไว้อย่างเหนียวแน่น ประหนึ่งโซ่ตรวนที่พันธนาการวิญญาณเอาไว้ ไม่อาจสลัดทิ้งได้

สมบัติลึกลับน่าพิศวงระดับนี้ ทำเอานัยน์ตาของหลินสวินยังหดรัด

……………….